แต่ถ้าเฉียนจื้อหย่วนเป็นคนชน หลี่กุ้ยเฟินแล้วทำไม หลี่กุ้ยเฟินถึงมาปรากฏตัวที่หน้ารถของพวกเขาอีกล่ะ?
เหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ในตอนนั้นมันแค่เธอคนเดียวจริงๆ นะ ซึ่งตัวเธอก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยแล้วเธอต้องทนเจ็บปวดขนาดไหนกัน?
“ไปกันเถอะ” ชางหลิงได้คาดเดาคร่าวๆ ไว้ในใจอยู่แล้ว
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงในเมือง ชางหลิงก็ได้จัดเก็บรวบรวมสิ่งของที่พวกเขาเห็นและได้มานั้นไว้ และเตรียมที่ไปคุยกันต่อหน้ากับโหมวฉี่และเซียวฉู่
หลิวเย่นฟางก่อความวุ่นวายในโรงพยาบาลอีกแล้วทั้งสองเลยแยกกันออกไปเป็นคนละทาง ป๋ายจื๋อไปที่โรงพยาบาล ส่วนโหมวฉี่ก็ได้ส่งตำแหน่งให้ชางหลิง และเธอก็โบกรถออกไป
รถก็แล่นมุ่งหน้าไปทางเหนือ ซึ่งเป็นทิศทางตรงข้ามกับวิลล่าหนานวาน และในที่สุด รถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์ป้านซาน
ชางหลิงก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มาก่อนเช่นกันซึ่งตำแหน่งของที่นี่นั้นไม่เหมือนกับ Novaเพราะที่นี่จะเน้นไปด้านการเที่ยวพักผ่อนมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังได้ยินมาว่าทั้งตัวป้านซาน ถูกรับเหมาจากเถ้าแก่ของบริษัทเอกชน และถูกเขาพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
เมื่อพนักงานบริการเห็นชางหลิงลงมาจากรถ ก็ได้ต้อนรับเธอด้วยความเคารพ
เมื่อเห็นท่าทางนี้ความคลุมเครือในใจของชางหลิงก็มีคำตอบ
ข่าวลือที่ว่าเถ้าแก่ที่เหมาภูเขาทั้งลูกนั้น……คงจะไม่ใช่โหมวฉี่ใช่ไหม
“คุณชาง มาถึงแล้วครับ” พนักงานบริการพาชางหลิงไปยังลานบ้านที่แยกออกมาต่างหาก ซึ่งเป็นประตูลานบ้านที่งดงามและมีสีสันแบบโบราณ เมื่อมองไปรอบๆ ก็เป็นลานกว้างของเรือนสี่ประสาน ซึ่งข้างในก็เต็มไปด้วยต้นสนและไผ่
และมันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจอย่างดีเลย
“คุณชางครับ” เซียวฉู่ยืนอยู่หน้าประตู และพยักหน้าให้พนักงานบริการ “เดินทางมาคงลำบากแย่เลย”
ชางหลิงมองไปรอบๆ ลานบ้าน ซึ่งมีระเบียงทางเดินที่ทอดยาวและวนซ้ำไปมาด้วย และสไตล์นี้ทำไมมันรู้สึกเหมือนว่าจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลย……
เธอเห็นคนที่ยืนอยู่ในศาลาที่ปลายระเบียงทางเดินคนหนึ่งจากระยะไกลและชางหลิงก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เธอกะพริบตา เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไป
โหมวฉี่ยืนพิงเสาอยู่ที่นั่น ซึ่งยังคงเป็นคุณชายที่สะโอดสะองคนเดิม แต่เนื่องจากเขายืนขึ้น บุคคลิกของเขาจึงแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“คุณชายฉี่” ชางหลิงประหลาดใจ “นี่คุณ……”
“มาแล้วเหรอ” โหมวฉี่มักจะมีท่าทีที่อ่อนโยนอยู่เสมอ เขาหันมามองชางหลิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เซียวฉู่เดินเข้าไป และถือไม้เท้าที่อยู่ด้านข้างยื่นไปที่มือของโหมวฉี่
“คุณหมอบอกว่า ผมต้องหมั่นลุกขึ้นมาออกกำลังกายบ้าง แบบนี้ถึงจะมีส่วนช่วยการในการฟื้นตัว”
ชางหลิงมองไปที่ขาคู่นั้นที่ซ่อนอยู่ในกางเกงของโหมวฉี่ ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ขาของโหมวฉี่ สามารถฟื้นตัวได้ด้วยเหรอ? แล้วทำไม เวลาที่ผ่านมาตั้ง 10 ปีนั้น เขาถึงเอาแต่นั่งรถเข็นมาโดยตลอดล่ะ
โหมวฉี่ยันไม้เท้าไว้ นี่ไม่ใช่โอกาสทางการอะไร เขาจึงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆ เซียวฉู่ช่วยประคองเขามานั่งบนเก้าล้อเลื่อนที่อยู่ข้างๆ
“ฉันรบกวนคุณหรือเปล่า” ชางหลิงรู้สึกอายเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพของเขาก่อน
“ไม่ครับ” โหมวฉี่รินชาให้เธอแก้วหนึ่ง “นั่งลงสิ”
ชางหลิงนั่งลงและมองดูศาลาที่กว้างขวางและสว่างไสวหลังนี้ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า แท้จริงที่แล้วคุณชายฉี่จะชอบสไตล์แบบนี้”
โหมวฉี่ยิ้ม “คุณแปลกใจมากเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เมื่อก่อนฉันคิดว่า สไตล์ของคุณชายฉี่ คงต้องเป็นสไตล์หรูหราแบบยุโรป” ชางหลิงจินตนาการถึง “นิยายที่อ่านตอนสมัยเรียนเหล่านั้น มีคุณชายแวมไพร์ที่อาศัยอยู่ในปราสาท พร้อมด้วยเหล่าตระกูลผู้ดีที่แสนจะเย็นชา”
โหมวฉี่จ้องมองคิ้วของเธอด้วยกลิ่นอายที่หลงใหล
“ผมถูกคุณแม่เลี้ยงดูมาน่ะ” โหมวฉี่พูด
“คนที่มาจากตระกูลเซิ่ง มักจะแยกแยะได้ง่าย”
เมื่อพูดถึงตระกูลเซิ่ง ชางหลิงก็เข้าใจได้ในทันที
ถึงว่าทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้คุ้นเคยแบบนี้นะเพราะเมื่อก่อนที่เคยไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเซิ่งสไตล์ของที่นั่น ก็งดงามไม่แพ้กันเลย
ชางหลิงก้มหน้าลง พอนึกถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงโหมวยู่ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอารมณ์ของเธอก็ตกต่ำลงอีกครั้ง
“มาคุยกันเรื่องของคุณก่อนดีกว่า” โหมวฉี่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของชางหลิง เขาจึงเปลี่ยนเรื่องอย่างเสียงเบา
เขาหันหน้ามา แล้วมองเซียวฉู่แวบหนึ่ง เซียวฉู่ก็พยักหน้า พร้อมกับหยิบกระเป๋าเอกสารจากด้านข้างออกมา และนั่งลงตรงหน้าชางหลิง
“นี่คือข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมาได้ค่ะ” ชางหลิงยื่นข้อมูลให้เซียวฉู่ “พวกเราตั้งใจไปที่บ้านของเฉียนจื้อหย่วนมาและเพื่อนบ้านเขาบอกว่า เฉียนจื้อหย่วนมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงกับครอบครัว มักจะทุบตีดุด่าหลี่กุ้ยเฟินที่ซึ่งเป็นแม่ยายของเขาอยู่เสมอ ส่วนหลิวเย่นฟางคนนี้ก็เป็นคนที่พูดประชดประชันและปฏิบัติตัวต่อคนอื่นด้วยความเย็นชาและไม่มีความเห็นอกเห็นใจ และเธอก็ไม่ดีกับแม่คนนี้สักเท่าไหร่”
“ดังนั้น ฉันสงสัยว่า บาดแผลบนตัวของหลี่กุ้ยเฟินนั้น เฉียนจื้อหย่วนเป็นคนทำค่ะ เพียงแต่ฉันยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเธอถึงปรากฏตัวอยู่หน้ารถของพวกเรา”
โหมวฉี่หยิบข้อมูลเหล่านั้นของชางหลิงขึ้นมา และตรวจสอบอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง
“ข้อมูลเหล่านี้ แม้ว่าจะช่วยให้คดีคืบหน้าได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการยื่นอุทธรณ์ได้” เซียวฉู่พูดอย่างมีระเบียบแบบแผน “แต่อย่างไรก็ตาม คุณชางโปรดวางใจ ผมจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะถูกผิดยังไง ความจริงจะต้องปรากฏออกมาแน่ครับ”
ชางหลิงพยักหน้า
เซียวฉู่ได้ทำการบันทึกรายละเอียดเอาไว้แล้ว และเขาไม่กี่คนก็พูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับมือ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เวลาได้ผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง
“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ” โหมวฉี่ได้จบการสนทนาในครั้งนี้ เซียวฉู่ก็เข็นรถเข็นเข้ามา และช่วยประคองโหมวฉี่นั่งลงบนรถเข็น
ชางหลิงกับโหมวฉี่คุยกัน และเดินออกจากลานบ้านไป แต่ทันทีที่พวกเขาออกมา ก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะกำลังเข้าไปข้างใน
“ผู้ช่วยโจว?” ชางหลิงประหลาดใจ
นับตั้งแต่ที่เจอกันที่มิลานครั้งก่อน หลังจากที่โจวหลินหันหลังให้กับโม่โม่ ชางหลิงก็ไม่ได้เจอเธอมานานมากแล้ว
ใบหน้าของโจวหลินที่เดิมทีมีรอยยิ้มอยู่นั้น หลังจากเห็นชางหลิง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที ซึ่งดวงตาของเธอก็ดูเย็นชาเล็กน้อย
“คุณชายฉี่คะ” โจวหลินกล่าวทักทายโหมวฉี่ด้วยความเคารพ “มื้อเย็นพร้อมแล้วค่ะ”
“อืม” โหมวฉี่ส่งเสียงตอบรับ
แค่ครู่เดียว ชางหลิงก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดเล็กน้อย
แม้ว่าโจวหลินเคยเป็นผู้ช่วยของโม่โม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นคนของโหมวฉี่ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่เต็มใจช่วยโหมวฉี่อย่างสุดใจ จะต้องมีความสนิทสนมบางอย่างต่อเขาอย่างแน่นอน
แต่ว่า ทำไมเธอถึงรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า โจวหลิน……มีเจตนาร้ายต่อเธอ?
เมื่อพวกเขามาถึงห้องอาหาร พนักงานเสิร์ฟก็ยกอาหารขึ้นมา ซึ่งโดยภาพรวมแล้วล้วนเป็นอาหารที่ชางหลิงชอบทั้งนั้น โจวหลินตรวจสอบเมนูอาหาร และวางอาหารมังสวิรัติสองสามจานไว้ตรงหน้าโหมวฉี่ อย่างเงียบๆ
“คุณชายฉี่คะคุณไม่ชอบทานเนื้อเหรอคะ?” ฉางหลิงคีบขาไก่ชิ้นหนึ่งแล้วถามเขา
“ช่วงนี้ผมกำลังพักฟื้น มียาบางชนิดต้องหลีกเลี่ยงของมีที่มันมาก จึงต้องกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน” โหมวฉี่ตอบ พร้อมกับยื่นมือออกไปวางเนื้อตงพอไว้ตรงหน้าเธอ “ทำโดยเชฟชั้นนำด้านอาหารจีนของประเทศเลยนะ คุณลองชิมดูสิ”
“คุณชายฉี่คะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” โจวหลินพูดแทรกขึ้นมา
ชางหลิงใช้สายตาส่งโจวหลินเดินออกไปเซียวฉู่ก็ตามหลังเธอไปด้วย และออกจากห้อง Vip ไป ดังนั้นในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
“ที่จริงแล้วที่ผมให้คุณมาครั้งนี้เพราะผมอยากให้เรามีโอกาสในการทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น” โหมวฉี่พูด
“รู้จักกันมานานขนาดนี้แล้วหรือว่าคุณ จะไม่รู้แม้แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของผม”
“ ไม่รู้จริงๆ ค่ะ” ชางหลิงตอบเขา “ความยากจนมันจำกัดขอบเขตการจินตนาการของฉัน”
“คิดไม่ถึงใช่ไหมว่า ผมเป็นแค่ลูกบุญธรรมคนหนึ่ง” แต่กลับสามารถมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้?”
มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลโหมวแต่เป็นเพราะโหมวฉี่ทำให้เธอรู้สึกถึงความอ่อนโยนอย่างมาก จนเธอไม่สามารถจินตนาการถึงท่าทางการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดบนวงการค้าของเขาได้เลย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ผู้ชายที่อ่อนโยนตรงหน้าเธอนั้น เขายังคงมีความลับอีกมากมายเลย