วันนี้เป็นวันแรกของการกลับไปทำงาน ดูเหมือนว่าการประชุมของโหมวยู่จะไม่ได้จบเร็วนัก ชางหลิงจึงจัดการทำความสะอาดตัวเองแล้วลงไปชั้นล่าง กลับไปยังอาคารแผนกออกแบบ
เพิ่งออกมาจากลิฟต์ ก็พบโจวลี่ลี่ที่หอบกล่องกำลังจะเข้าลิฟต์ เมื่อเห็นชางหลิง เธอมีสีหน้าประหลาดใจ
“ชางหลิง!” โจวลี่ลี่รีบเดินเข้ามาหา “ฉันยังเพิ่งถามถึงคุณอยู่เลย”
ชางหลิงมองกล่องที่เธอหอบอยู่ในอ้อมแขนแล้วเลิกคิ้ว “จะไปแล้วเหรอ”
“อืม” โจวลี่ลี่พยักหน้า “ฉันติดต่อกับบริษัทใหม่ไว้แล้ว พรุ่งนี้จะไปเริ่มงาน”
“แม้ไม่ได้ใหญ่โตอย่างเซิ่งซื่อ แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉันที่จะเริ่มต้นก้าวเล็กๆ กับบ้านหลังใหม่” โจวลี่ลี่ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ
“งั้น ขอให้คุณประสบความสำเร็จในอนาคต” ชางหลิงก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เพราะถึงอย่างไรเธอก็เคยเป็นคนของหลิวจื่อเวย
“ตอนที่อยู่ที่มิลาน ขอบคุณคุณมากนะ” โจวลี่ลี่ขอบคุณเธออย่างจริงใจ “และก็ขอบคุณคุณด้วย ที่ไม่ติดใจเอาความฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันคงเหมือนกับหลิวจื่อเวย อยู่ในเมืองหนานไม่ได้อีก”
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน” ชางหลิงกอดอก “แค่จำสิ่งที่ฉันพูดไว้ก็พอ ต่อไป เลือกคบเพื่อนหน่อย”
โจวลี่ลี่ตอบตกลง “ฉันเตรียมของขวัญอย่างหนึ่งไว้ให้คุณด้วย ไม่รู้ว่าคุณจะชอบหรือเปล่า เมื่อครู่ไม่เห็นคุณ ก็เลยวางไว้บนโต๊ะคุณ”
ของขวัญเหรอ ชางหลิงมองไปทางสำนักงาน
“ฉันไปก่อนนะ” โจวลี่ลี่ปล่อยมือข้างหนึ่งมาโบกให้เธอ หลังจากนั้นก็บอกว่าลาก่อนแล้วพบกันใหม่
ชางหลิงยิ้มแล้วโบกมือให้เธอ
โจวลี่ลี่เดินเข้าไปในลิฟต์ และหายไปต่อหน้าเธอ
ชางหลิงค่อนข้างสะเทือนใจ
บางทีชีวิตคนก็เป็นแบบนี้ มีคนที่เข้ามาและจากไปเสมอ ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะเข้าไปมีบทบาทอย่างไรในชีวิตของผู้อื่น และไม่รู้ว่าออกจากโลกของผู้อื่นไปด้วยบทบาทแบบไหน
ชางหลิงไปที่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง บนนั้นมีกล่องของขวัญวางอยู่จริงๆ เธอเปิดดู เป็นชุดเครื่องมือตัดเย็บครบครัน
ชางหลิงมองดูป้ายแบรนด์ แบรนด์นี้เป็นบริษัทท้องถิ่นในมิลาน มีการส่งออกน้อยมาก ก็เท่ากับว่าโจวลี่ลี่เตรียมไว้อย่างดีตั้งแต่อยู่มิลาน และใส่สัมภาระโหลดกลับมาด้วย
ก็นับว่าเธอใจดีมีน้ำใจ
“พังพอนอวยพรปีใหม่ไก่ ไม่มีเจตนาดี” ซูเสี่ยวเฉิงเดินมาพร้อมกับถ้วยชาร้อน มองของขวัญในมือชางหลิงแล้วพึมพำ
โจวลี่ลี่คนนั้น ตอนที่อยู่มิลานแย่งตำแหน่งผู้ช่วยของเธอไป โชคดีที่เธอไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อไปเห็นเธอส่ายไปส่ายมาตรงหน้า คงอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดตาย
“ทำไมล่ะ” ชางหลิงเก็บของไว้ในที่เหมาะสม “ยังติดใจเรื่องพวกนั้นอยู่เหรอ”
ซูเสี่ยวเฉิงนั่งบนเก้าอี้ พิงพนักด้านหลัง “ติดใจอะไร ไปแล้วก็ไปสิ”
“ไม่เพียงแต่ไป เด็กฝึกงานที่ไม่ผ่านพวกนั้นก็ไปกันหมด”
พูดอย่างนั้นแล้วชางหลิงก็มองไปยังโต๊ะอื่น เป็นอย่างที่ว่า สิ่งของบนโต๊ะหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์โดดเดี่ยว
ดังนั้น เธอกับซูเสี่ยวเฉิง ก็นับว่าผ่านการฝึกงานไปอย่างราบรื่นและอยู่ในเซิ่งซื่อได้แล้วน่ะสิ?
ชางหลิงกำลังจะดีใจ แต่เมื่อหันหน้ากลับมาเห็นซูเสี่ยวเฉิงก็ค่อนข้างมีข้อสงสัย
“แล้วเธอล่ะ” เธอถามหล่อน “เธอไม่ใช่ว่า ไม่อยากอยู่เซิ่งซื่อหรอกเหรอ”
ซูเสี่ยวเฉิงนั่งตัวตรงทันที เธอรีบจิบชาร้อน สายตาล่อกแล่ก
“จะดีร้ายก็มีงานทำ…” ซูเสี่ยวเฉิงพูดอ้อมแอ้ม “ช่วงฝึกงานในเซิ่งซื่อก็ได้เงินเดือนมากกว่าที่อื่นทั้งหมด จะไม่ทำได้ยังไง”
ชางหลิงจับสังเกตท่าทีของซูเสี่ยวเฉิง และรู้สึกว่าเธอดูแปลกๆ
“ไม่ใช่ว่าเธอมีเรื่องปิดบังอะไรฉันหรอกนะ” ชางหลิงนั่งลง ไม่อยากรบกวนคนอื่น จึงลดเสียงให้เบาลงเพื่อคุยกับเธอ “ครั้งก่อนที่เธอกับหลีซินมาวิลล่าหนานวานด้วยกันฉันก็อยากจะถาม เธอสองคน…มีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม”
ทันทีที่พูดถึงหลีซิน ใบหน้าของซูเสี่ยวเฉิงก็แดงก่ำ แทบจะสำลักน้ำชา
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ไหนกัน หลังจากส่งเธอกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ พวกเราก็กลับบ้านใครบ้านมันไปหาพ่อแม่ของตัวเอง” ซูเสี่ยวเฉิงพูดปดออกไป
เหตุผลหลักคือจนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงอยู่เลย ซึ่งแน่นอนว่าเธอมีความเห็นแก่ตัวนิดหน่อย อยากรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีเสียก่อนถึงค่อยบอกชางหลิง
ชางหลิงมองออกนานแล้วถึงการคิดอย่างรอบคอบของเธอ เพราะตอนที่เธอกับโหมวยู่เพิ่งเริ่มต้น เธอก็ปิดบังซูเสี่ยวเฉิงแบบนี้
เธอไม่ได้ถามอีก ไม่นาน ถงเอินก็เดินโบกของขวัญเข้ามา นำซองแดงเปิดงานมาแจก
ถือโอกาสนำใบสัญญาแจ้งการเข้างานสองฉบับมาให้กับมือชางหลิงและซูเสี่ยวเฉิงด้วย
“นื่ ปีนี้พวกคุณทำให้ฉันหน้าบานเลยล่ะ” ถงเอินยิ้ม “ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีปรากฏเลยว่าบริษัทจะตัดสินรับเด็กฝึกงานถึงสองคน”
“นั่นก็เพราะพวกเราเส้นใหญ่ไงล่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงมีความสุขมาก
หันไปเห็นชางหลิงมีท่าทีกระอักกระอ่วน ซูเสี่ยวเฉิงจึงรีบพูดอีกครั้งว่า “เป็นเพราะผอ.ถงมีความสามารถทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพไงล่ะ”
“คุณไม่ต้องมาประจบฉันเลย” ถงเอินพูด แล้วมอบเข็มกลัดดีไซเนอร์เหรียญทองแดงให้พวกเธอทั้งสอง
“ยินดีกับพวกคุณด้วย ตอนนี้พวกคุณเป็นสมาชิกของเซิ่งซื่ออย่างเป็นทางการแล้ว เป็นดีไซเนอร์ตัวจริง”
ชางหลิงจ้องมองตัวอักษรบนนั้นด้วยความตราตรึง ใช้นิ้วสัมผัสมันเบาๆ
“วันหนึ่ง ฉันจะทำให้เหรียญทองแดง กลายเป็นเหรียญทองให้ได้”
“คุณยังไม่ต้องพูด” ถงเอินเขี่ยจมูกตัวเอง “คุณเป็นดีไซเนอร์เหรียญทองแดง ชื่อเสียงในตอนนี้โด่งดังกว่าเหรียญทองเสียอีก”
“อยู่ที่มิลาน คุณกลายเป็นที่รู้จักในการแข่งขัน ตอนนี้ยังมีข่าวเรื่องการถอนตัวจากการแข่งขันอีกด้วย” ถงเอินกระทุ้งไหล่เธอ “คุณใจเย็นเถอะ ต่อจากนี้จะมีปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ตามมา”
เมื่อพูดจบเธอก็หันตัวเดินจากไป
ชางหลิงไม่เห็นด้วย
เธอมีปัญหาอะไรที่ไม่เคยเจอบ้าง ร่างกายผลิตแอนตี้บอดี้ทั้งหมดแล้ว
เธอเปิดซองแดง เห็นธนบัตรปึกหนา จึงส่งเสียงประหลาดใจ
โหมวยู่นี่ช่างรวยจริงๆ ให้ซองแดงเปิดงานเยอะมาก
“นี่เสี่ยวเฉิงจื่อ ได้ซองแดงแล้ว หลังเลิกงานเราไปกินหม้อไฟกันเถอะ” พอดีเลยเรียกป๋ายจื๋อมาด้วย จะได้ไปล้างโชคร้ายด้วยกัน
“วันนี้ฉันมีธุระ ช่วงบ่ายลาน่ะ” ความคิดของซูเสี่ยวเฉิงไม่ได้อยู่ตรงนี้ จ้องโทรศัพท์มือถือในมือพลางยิ้มโง่ๆ
ชางหลิงรู้สึกสงสัย พยายามเข้าไปดู แต่ซูเสี่ยวเฉิงกลับตาไวรีบซ่อนโทรศัพท์มือถือ
“มีธุระจริงๆ” เธออธิบายด้วยความจริงใจ “เธอวางใจ ถ้าฉันเสร็จเรื่องแล้ว ต้องเชิญไปเลี้ยงอาหารแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าเธอจะกินแพคเกจแบบไหนฉันก็ตกลงกับเธอหมดเลย”
ชางหลิงขมวดคิ้ว “ลึกลับซับซ้อน น่าเบื่อ”
เป็นอย่างที่ว่า ไม่นาน ซูเสี่ยวเฉิงก็ถือกระเป๋าออกจากบริษัทไป
เธอเดินตรงไปที่ประตู รถของหลีซินจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“มานานแล้วเหรอ” ซูเสี่ยวเฉิงขึ้นไปนั่งเบาะหลังอย่างเคยชิน
“เพิ่งมาถึง” หลีซินยิ้ม นำช่อดอกไม้ที่อยู่บนเบาะข้างคนขับมอบให้เธอ
“ขอบคุณ” ซูเสี่ยวเฉิงรับมาอย่างประหลาดใจระคนยินดี กอดไว้ในอ้อมแขนและดอมดมมัน
“เอาทุกอย่างมาหมดแล้วใช่ไหม” หลีซินถามเธอ
“อื้ม” ซูเสี่ยวเฉิงพยักหน้า และตอบยืนยันด้วยอีกที
เปิดกระเป๋า หยิบเอาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านออกมาจากในนั้น