ชางหลิงเอารายงานการตรวจให้โหมวยู่ดูอย่างระมัดระวัง
“คุณดูสิ” ดวงตาของเธอเปล่งประกาย “ลูกของเรา”
ดวงตาของโหมวยู่จ้องใบรายงานแผ่นนั้น ราวกับมือสัมผัสของร้อน มือเปิดมัน
เป็นไปไม่ได้! ทั้งทั้งที่พวกเขาทำกันอย่างรัดกุม มีแค่…
ครั้งนั้นที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง…
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหยุดกะทันหัน
“มีเด็กคนนี้ไม่ได้”
ถ้ามีลูก ความผูกพันระหว่างพวกเขาจะยิ่งมากขึ้น เขาเติบโตมาในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว รู้ดีว่าในภายภาคหน้าเด็กต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
“โหมวยู่…” ชางหลิงไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ “คุณกำลังพูดอะไรอยู่ คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง”
โหมวยู่หมดหนทาง เขาถอนหายใจหนัก เมื่อเห็นแววตาที่เจ็บปวดนั้นของชางหลิง เขาก็อยากตบตัวเองอย่างมาก
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“โหมวยู่” ถงเอินทนดูไม่ได้อีกต่อไป เธอเดินไปข้างกายชางหลิง ขมวดคิ้วแน่น “คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า นี่ก็ลูกของคุณนะ ไม่ใช่ว่าเลี้ยงไม่ได้ คุณถือดีอะไรมาต้องการให้ชางหลิงเอาเขาออก”
โหมวยู่หันหลัง เขาเดินไปที่หน้าต่าง พ่นลมหายใจยาวเหยียด
ถือดีอะไร…เพราะเขาไม่มีเวลาเหลือแล้ว ต่อไปชางหลิงที่มีเด็ก เธอจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง
“โหมวยู่…” ชางหลิงยังคงมองไปทางโหมวยู่ น้ำตาร่วงหล่นลงมาทันที
“ฉันไม่ชอบเด็ก” โหมวยู่ปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับชางหลิง “ฉันไม่เคยมีความต้องการที่จะอยากเป็นพ่อคน”
“เธอไม่เข้าใจเหรอ ทำไมฉันต้องทำอย่างรัดกุมในทุกครั้ง เพราะฉะนั้น ที่เธอเป็นอยู่มันคือสิ่งที่ฉันรังเกียจที่สุด”
ชางหลิงสีหน้าซีดขาว เธอกุมท้องน้อยตัวเอง รู้สึกว่าความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“เพราะอะไร…” ชางหลิงยังไม่สามารถเข้าใจได้ “นี่คือลูกของเราเอง ต่อให้ตอนนี้ไม่เกิด ต่อไปก็ต้องเกิดไม่ใช่เหรอ”
“คุณไม่อยากเป็นพ่อ แต่ฉันอยากเป็นแม่”
“ตอนนี้ฉันไม่ต้องการ! ต่อไปก็ไม่ต้องการ!” โหมวยู่ขึ้นเสียง
เขาเห็นแม่ตัวเองให้กำเนิดต่อหน้ากับตา ภาพนั้น เขาจะไม่มีวันลืมชั่วชีวิต ถ้ามีลูก ต้องให้ชางหลิงแบกรับความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น ถึงขั้นชีวิตอาจตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะเกลียดเด็กคนนั้นมาก
ชางหลิงไม่อยากเชื่อ ผู้ชายตรงหน้าที่พูดอย่างเย็นชาว่าไม่ต้องการลูก คือโหมวยู่ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันคนนั้นจริงเหรอ
“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างกะทันหัน…” น้ำเสียงของชางหลิงยังคงนุ่มนวล เธอยิ้มอย่างซีดเซียว พลางมองเขาอย่างเอาใจ
“ตอนที่ฉันเพิ่งรู้ก็ตกใจมาก ไม่เป็นไร รอเขาโตอีกหน่อย คุณจะปรับตัวได้เอง ดีไหม”
“เอาเด็กออก” โหมวยู่มีทัศนคติแข็งแกร่งและไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
“ฉันง่วงแล้ว ฉันอยากนอนหลับ” ชางหลิงพูดอย่างนั้นแล้วถดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม
“คลอดเด็กคนนี้ไม่ได้” โหมวยู่ยังคงพูดต่อ
“ถงเอิน คุณให้เขาออกไปได้ไหม” ชางหลิงสะอื้น “ฉันเหนื่อยมากแล้ว ฉันอยากพักผ่อน”
ถงเอินจ้องโหมวยู่อย่างโกรธจัด และเดินไปที่ประตู
“คุณชายรองโหมว คุณควรไปซะ ถ้ารู้ก่อนว่าคุณมีความคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่ควรให้คุณเข้ามาเลย”
โหมวยู่กำมือแน่น เขาจ้องมองคนที่ขดตัวกลมอยู่บนเตียงผู้ป่วย แล้วจมอยู่กับความเงียบอยู่นาน
“ฉันจะให้หมอจัดการผ่าตัดให้เธอทันที” พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็เดินไปที่ปากประตู
“ฉันไม่ต้องการ——” ชางหลิงกรีดร้อง ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “โหมวยู่ ถ้าคุณกล้าแตะต้องลูกของฉัน ฉันจะตายไปพร้อมกับเขา!”
โหมวยู่หรี่ตาลง ทั้งร่างแข็งทื่อ
ความเจ็บปวดในสมองโจมตีอย่างหนัก โหมวยู่ก้าวเท้าออกจากห้องพักผู้ป่วย
ถงเอินเห็นการก้าวเดินของเขาสะดุดเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงทัศนคติไม่ดีของเขาที่มีต่อชางหลิง จึงไม่ตามไป
โหมวยู่รีบเดินเข้าไปตรงทางหนีไฟ แทบจะทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็กุมศีรษะตัวเอง พิงผนังอย่างไร้แรงกำลัง
ความเจ็บปวดกำลังจะระเบิดทะลุสมองของเขา โหมวยู่ต่อต้านอาการจะล้มลง เอาโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ของหลินจื้อ
……
“คุณชายรอง?”
“คุณชายรองโหมว?”
โหมวยู่ค่อยๆ ลืมตา ในสายตา เป็นเพดานสีขาวบริสุทธิ์ เสียงของหลินจื้อดังอยู่ในหูของเขา เห็นเขาตื่นขึ้นมา อารมณ์ที่ตึงเครียดจึงบรรเทาเบาบางลงบ้าง
ความรู้สึกปวดหัวหายไปบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นนั่ง และนวดขมับ
“คุณชายรอง อาการของคุณแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว” หลินจื้อวางฟิล์มไว้ตรงหน้าโหมวยู่ “ส่วนที่เป็นเงามืดกำลังแพร่กระจาย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เป็นไปได้ว่าจะไปกดทับประสาทการมองเห็น”
โหมวยู่เงียบ
หลายวันนี้เขาก็รู้สึกว่าสายตาพร่ามัวแล้ว เดิมทีคิดว่าเหนื่อยกับการจัดการเรื่องต่างๆ มากเกินไป
“ผมรู้ว่าคุณกังวลมาก” หลินจื้อถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ในสถานการณ์แบบนี้ ปัจจัยเสี่ยงนั้นสูงมากไม่ว่าจะทำการผ่าตัดหรือไม่ก็ตาม แต่ทำไมคุณต้องปิดบังแบบนี้ คุณกับคุณชางเป็นสามีภรรยากัน พวกคุณสองคนควรเผชิญหน้าไปด้วยกันถึงจะถูก”
“บางที บอกเธอตอนนี้ ให้เวลาเธอสักหน่อย เธอจะค่อยๆ ยอมรับได้ และอยู่เป็นเพื่อนคุณในการรักษา”
หลินจื้องง
เขาไม่เคยมีความรัก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนสองคนที่หยั่งรากลึกซึ้งว่าเป็นอย่างไร เขาเป็นหมอ หน้าที่ของเขาคือการรักษาคนป่วยและช่วยชีวิตคน ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเซิ่งยังเป็นผู้มีพระคุณของเขาด้วย
“ผมไม่มีทางเลือกอื่น”
“ไม่ว่าจะเลือกการผ่าตัดหรืออะไรก็ตาม ผมต้องมีความมั่นใจเพียงพอ” โหมวยู่ดวงตาเศร้าหมอง
“เธอต้องไปจากผมก่อน เป็นแบบนี้ ต่อให้ถึงตอนนั้นผมไม่รอด อย่างน้อยความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมก็จะจางหายไปแล้ว”
เหมือนที่เธอเป็นกับหยูเฉิน
เพราะเขาเคยทำร้ายเธอ ดังนั้น ชางหลิงที่อาฆาตแค้น จึงเลือกจะลืมเขาอย่างแน่นอน
“คุณทำได้จริงเหรอครับ” หลินจื้อค่อนข้างสงสัย
เขารู้สึกว่าบางทีโหมวยู่ยังไม่ทันได้ทำร้ายชางหลิงจนเจ็บหนัก ก็ต้องทรมานตัวเองจนตายไปเสียก่อนมากกว่า
โหมวยู่ไม่พูด หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เงียบไปเป็นเวลานาน
……
ตกค่ำ
อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น ชางหลิงนอนบนเตียงตลอดทั้งวัน ร้องไห้จนตาแดงก่ำ
ถงเอินเฝ้าอยู่ข้างเธอ นำโจ๊กเนื้อไก่เข้ามาหนึ่งชาม
“ทานอะไรสักหน่อยนะ”
ชางหลิงไม่ตอบกลับ เฉยเมยไม่แยแส
ถงเอินถอนหายใจ “หมอต่างบอกแล้วว่าตอนนี้คุณมีสัญญาณต่อการแท้ง เด็กไม่ปลอดภัย ถ้าคุณยังร้องไห้ต่อไป แถมยังไม่ทานอะไรเลย ไม่ต้องให้โหมวยู่จัดการการผ่าตัดให้คุณ ตัวคุณเองนั่นแหละจะไม่สามารถรักษาลูกเอาไว้ได้”
ในที่สุดชางหลิงก็มีปฏิกิริยา ร่างกายของเธอขยับ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
ถงเอินยังจะพูดอะไรต่ออีก แต่ชางหลิงรับชามโจ๊กในมือของเธอไปแล้ว และทานเข้าไปคำใหญ่
หยดน้ำตาเท่าถั่วเม็ดใหญ่ตกลงไปในชาม เธอตักอาหารเข้าปากตัวเองอย่างตะกละตะกลาม พยายามใช้วิธีนี้ระงับความเศร้าโศกของตัวเอง
“เฮ้อ” ถงเอินหน้านิ่วคิ้วขมวด “โหมวยู่เป็นบ้าอะไร แม้ปกติเขาจะเย็นชา แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนี้นะ”
“ผู้ชายน่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ร้อยทั้งร้อยก็คือ ได้ใหม่ลืมเก่า…”