“คุณคิดจะทำอะไรอีก?”
ชางหลิงถูกชายที่อยู่ข้างๆคนนี้ทรมานจนเหนื่อยไปทั้งกายและใจ เธอหันหน้าออกไปไม่มองเขา สักพักใหญ่ๆกว่าจะฟื้นฟูอารมณ์กลับมาเหมือนเดิม
“พูดสิ!”
เห็นโหมวยู่ไม่เอ่ยปากพูดมาโดยตลอด อารมณ์โกรธของชางหลิงก็ก่อขึ้นมาอีกครั้งนึง กดเสียงตวาดออกมาเบาๆ
โหมวยู่เหมือนกับว่าถูกทำให้ตกใจขึ้นมา ร่างกายนิ่งแข็งไปเล็กน้อย ค่อยๆหันหน้าไปช้าๆ ดวงตาลุ่มลึกล็อกอยู่ที่ร่างของเธอไม่ละไปไหน น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนและทั้งจนใจ “หลิงเอ๋อ เชื่อฟัง หยุดโวยวายได้หรือเปล่า”
เธอโวยวาย?
ชางหลิงโกรธจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
คนที่เอะอะก็จะหย่า ไม่อธิบายอะไรเลยสักอย่างหรือว่าจะไม่ใช่เขาโหมวยู่หรือไง?
ชางหลิงพยายามให้ตัวเองใจเย็นลง สภาพของโหมวยู่ในตอนนี้มองดูก็นับว่ายังปกติอยู่ บางทีเธออาจจะสามารถพูดคุยดีๆกับเขาได้
หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆไปหลายครั้ง ชางหลิงพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเท่าที่จะเป็นไปได้ “ได้ ฉันจะไม่โวยวาย พวกเรามาพูดกันดีๆ”
โหมวยู่พยักหน้าออกมาเล็กน้อย เขาเองก็อยากจะพูดคุยดีๆกับชางหลิง เขาไม่ได้มีเวลามากมาย มีบางเรื่องที่เขาจะต้องกำชับให้เรียบร้อยก่อนถึงจะวางใจได้”
หาได้ยากที่เขาจะให้ความร่วมมือกันขนาดนี้ ชางหลิงดีใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่อ้าปากพูดออกไปก็รีบถามออกมาอย่างทนรอไม่ไหว “ทำไมถึงต้องหย่า?”
เห็นสีหน้าที่หม่นลงอย่างรวดเร็วของโหมวยู่แล้ว ชางหลิงนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแทบไม่ทัน ต้องโทษที่เธอรีบร้อนเกินไป การพูดคุยจบสิ้นลงไปอีกแล้ว
ยังดีที่โหมวยู่ไม่เหมือนคนจำพวกที่จะชักสีหน้าไม่พอใจออกมาแล้วเดินหนีไปอย่างที่เธอคิด และก็ไม่ได้ปฏิเสธการสนทนาไปเงียบๆด้วยเหมือนกัน หลังจากที่มีสีหน้าที่หม่นลงไปแป๊บนึงเขาก็รีบปรับอารมณ์ให้เรียบร้อยไปอย่างรวดเร็ว
“หลิงเอ๋อ พวกเราอย่าไปเสียเวลาอยู่กับประเด็นที่มันไม่มีความหมายอันนี้เลย ตอนนี้ความปลอดภัยของคุณต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณจำไว้ โหมวฉี่ไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด ถ้าเป็นไปได้หลังจากนี้ไปคุณพยายามเลี่ยงเขาเอาไว้หน่อย และก็โรงพยาบาลที่คุณตรวจครรภ์นั้น ผมได้ช่วยคุณจองโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่คุณท้องในทุกๆสัปดาห์หลินจื้อจะเข้ามาครั้งนึง เพื่อช่วยตรวจร่างกายให้คุณ เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ตระกูลเซิ่งเลี้ยงดูมา สามารถไว้วางใจได้ จำได้แล้วหรือยัง?”
“ฉันรู้ว่าโหมวฉี่มีปัญหา สถานที่ที่ฉันไปตรวจครรภ์เองก็มีปัญหาด้วยเหมือนกัน แต่หลินจื้อคนของคุณคนนี้ก็คงจะไม่ได้มือสะอาดขนาดนั้นเหมือนกัน โหมวยู่ คุณก็ไม่ควรจะเชื่อใจเขาขนาดนั้น”
ชางหลิงรู้ว่าถึงแม้ว่าเธอจะบอกไปแล้วเขาก็ไม่มีทางจะเชื่อด้วยเหมือนกัน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องเตือนเขาเอาไว้
เซ้นส์บอกกับเธอว่าหลินจื้อจะต้องไม่ใช่คนดีอะไรอย่างแน่นอน เขาเข้าใกล้เธอผ่านทางโหมวยู่จะต้องมีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
“โหมวยู่ ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันรู้สึกว่าจะรักษาลูกเอาไว้ไม่อยู่ตลอดเวลา
ในดวงตาของชางหลิงเต็มไปด้วยความกลัวและความรู้สึกหมดหนทาง เปราะบางเสียจนเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
ความกลัวที่จะสูญเสียลูกไปตั้งแต่วันที่เธอตั้งท้องวันนั้นมันก็ได้ก่อตัวขึ้นมาในใจ เวลาผ่านไปในแต่ละวัน เมล็ดพันธุ์ความกลัวในใจของเธอมันก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งภายในใจของเธอ เธอถอนออกไปไม่ได้ หลบเลี่ยงไปไม่ได้ ทำได้แค่เพียงทนทุกข์ทรมานทั้งวันทั้งคืน
“หลิงเอ๋อ มีผมอยู่ไม่มีใครสามารถทำร้ายคุณได้ เชื่อใจผม!”
โหมวยู่เข้าชิดร่างของชางหลิง โอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น
เขาในตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องแผนการเมื่อก่อนหน้านี้พวกนั้นไปนานแล้ว เห็นท่าทางหวาดกลัวอับจนหนทางนี้ของชางหลิงแล้ว เขาเพียงแค่อยากจะกอดเธอเอาไว้แน่นๆ อยู่เป็นเพื่อนเธอ ปกป้องเธอเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น
ถูกเขาโอบอยู่ในอ้อมแขนแน่นแล้ว สมองของชางหลิงก็ได้ตื่นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกได้ถึงความรักและความอาลัยอาวรณ์ที่รุนแรงที่โหมวยู่มีต่อเธอได้ชัดเจน เธอสูดจมูกเล็กน้อย น้ำเสียงสะอึกสะอื้น เอ่ยออกมาเสียงเบาอย่างน่าสงสารและทั้งอับจนหนทาง “โหมวยู่ อย่าไป ฉันกลัว”
“ได้ ผมไม่ไป ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ!”
มุมปากของชางหลิงยกขึ้นเล็กน้อย ถูไถอยู่ในอ้อมแขนของโหมวยู่ไปเบาๆ
ทั้งสองคนรู้ใจกันดีจึงไม่ได้เอ่ยถึงความไม่อภิรมย์เมื่อก่อนหน้าออกมาอีก คำพูดของโหมวยู่ในวันนี้เหมือนจะมากเป็นพิเศษ ถามเธอถึงรายละเอียดในชีวิตมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก
ในทุกๆวันกินข้าวกี่มื้อ? กินข้าวตอนไหน? นอนกี่โมง? ตอนกลางคืนฝันร้ายหรือเปล่า?…
คำถามยิบย่อยกองใหญ่ถามออกมาไม่หยุด ชางหลิงเกือบจะนึกว่าผู้ชายที่กอดเธออยู่คนนี้ถูกลักลอบสับเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ในตอนที่ชางหลิงถูกคำถามของโหมวยู่ถามออกมาซ้ำๆจนคอแห้ง จนความอดทนหายไปหมดนั้นเอง ผู้ชายในชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่งก็เคาะประตูเข้ามา “ท่านประธาน ข้อตกลงในการถ่ายโอนทรัพย์สินทั้งหมดได้ตรวจสอบแล้ว คุณกับคุณชางสามารถเซ็นชื่อได้แล้ว”
ชางหลิงมองโหมวยู่ไปอย่างสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ออกมา เขาสงบนิ่งมาก เหมือนกับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเงินก้อนใหญ่นี้เลย
โหมวยู่ประคองชางหลิงมายังห้องรับแขกอย่างระมัดระวัง ชางหลิงเอาแต่คิดหาวิธีอยู่ตลอดเวลา ทำยังไงถึงจะสามารถไม่ให้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างนี้แล้วเธอถึงจะสามารถซื้อเวลาให้ตัวเองเท่าที่จะทำได้
ในตอนที่เธอเห็นข้อตกลงในการถ่ายโอนทรัพย์สินชุดนั้นยังต้องให้ผู้รับผิดชอบตระกูลโหมวเซ็นชื่อด้วย ชางหลิงก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอเซ็นไปแล้ว ตามนิสัยของนายท่านโหมวแล้วไม่มีทางจะเซ็นชื่อเห็นชอบด้วยแน่
ชางหลิงหลุบตาลง เซ็นชื่อไปอย่างให้ความร่วมมืออย่างดี ประทับรอยนิ้วมือไป เรื่องนี้มันราบรื่นเกินกว่าการคาดหมายของโหมวยู่
หลังจากที่เซ็นเสร็จ ชางหลิงนั่งอยู่ข้างๆโหมวยู่ไปเงียบๆ ดึงมือของเขาในจุดที่คนอื่นมองไม่เห็น
“ประธานโหมว คุณชาง พวกเราขอตัวก่อน”
ทนายหลายคนที่ตามโหมวยู่มาเก็บข้าวของเสร็จไปอย่างรวดเร็ว กล่าวลาไปอย่างรู้กาลเทศะแล้วก็หายไป
หลังจากที่ส่งทนายหลายคนออกไปแล้ว ชางหลิงเหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิทบ้านนั้นของป๋ายจื๋อไปอย่างรวดเร็ว แล้วดึงโหมวยู่กลับเข้าห้องนอนไป
โหมวยู่โอบเธออยู่ในอ้อมแขน จูบลงบนใบหน้าของเธอ ลูบผมยาวนุ่มบนแผ่นหลังของเธอ “ทำไมวันนี้ถึงได้เป็นเด็กดีขนาดนี้?”
ความลุกลนในดวงตาของชางหลิงแวบผ่านออกมาอย่างรวดเร็ว คงไม่ได้ถูกเขามองเห็นช่องโหว่ออกเสียแล้วหรอกมั้ง!
แท้จริงแล้วเธอเก็บโหมวยู่เอาไว้ถึงได้ตั้งใจให้ความร่วมมือขนาดนี้
ศีรษะของชางหลิงถูไถอยู่ที่โหมวยู่ ร่างแนบอยู่กับเขาไปอย่างอ่อนปวกเปียก “ฉันไม่อยากให้คุณไป และไม่อยากจะเสียคุณไปอีกแล้ว ขอเพียงแค่คุณอยู่กับฉันตลอด ต่อจากนี้ไปคุณบอกอะไรฉันจะเชื่อฟังอย่างดี”
หน้าอกของโหมวยู่สั่นรัวอยู่สักพักนึง ทั้งเจ็บและทั้งหดหู่ใจ เจ็บจนเขาพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว ทำได้แค่เพียงใช้กำลังที่มีทั้งหมดโอบกอดชางหลิงเอาไว้ ราวกับว่าอยากหลอมรวมเธอเข้าไปกับเลือดเนื้อของตัวเอง
“โหมวยู่ ฉันรักคุณ รักคุณมากๆ!”
ชางหลิงคิดว่าเวลามันก็ประมาณนึงแล้ว เป็นเวลาที่จะแสดงจุดที่ดึงความสนใจนัดต่อไปแล้ว
“หลิงเอ๋อ ผมเองก็รักคุณ ผมก็รักคุณเหมือนกัน!”
เสียงของโหมวยู่สั่นออกมา มีเสียงขึ้นจมูกออกมาอย่างหนัก ยากที่จะจินตนาการเลยว่าผู้ชายที่ตายด้านที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวขนาดนี้อย่างเขาจะเกิดความรู้สึกรักหลงออกมาได้ถึงขั้นนี้
ในเมื่อโหมวยู่รักเธอขนาดนี้ อย่างนั้นแล้วทำไมเขาถึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะผลักไสเธอออกไป คิดทุกหนทางเพื่อที่จะหย่ากันล่ะ?
ชางหลิงคิดไม่ตกเลยจริงๆ ทำได้แค่เพียงค่อยๆค้นหาความลับจากตัวเขาไปทีละขั้นๆ
ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้เอ่ยถึงความไม่น่าอภิรมย์เมื่อก่อนหน้านี้กันอีกอย่างรู้ใจกัน ราวกับว่าไม่เคยมีจี้เหยากวงมาก่อนเลย ราวกับว่าโหมวยู่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้อยากบีบบังคับให้เธอจากไปเลย
ตอนเย็น โหมวยู่ต้องการจะทำอาหารเองด้วยความฮึกเหิม เพื่อให้ชางหลิงได้ลิ้มลองฝีมือของเขาดู
บนโต๊ะอาหาร เห็นโหมวยู่ยกชามกับตะเกียบมาสองชุดเข้ามา ชางหลิงถึงได้นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าตั้งแต่โหมวยู่มาหาเธอก็ไม่เห็นป๋ายจื๋ออีกเลย
“ป๋ายจื๋อล่ะ? ฉันจะไปเรียกเขาให้มากินข้าว”
โหมวยู่กดร่างของชางหลิงที่เตรียมจะลุกขึ้นมา ยิ้มพลางคีบผักลงไปในชามของเธอ “ผมให้เขาหยุดสองสามวัน ช่วงหลายวันนี้ผมจะมาแทนที่ตำแหน่งในการดูแลคุณแทนเขาเอง”
เห็นผักที่เขียวขจีหลายก้านพวกนั้นในชามแล้ว ความอยากอาหารของชางหลิงจู่ๆมันก็หมดไป เธอนั่งอยู่บนที่นั่งไม่มีความคิดที่จะขยับตะเกียบเลยแม้แต่น้อย
“เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่ถูกปาก” สีหน้าของโหมวยู่เองก็ไม่ได้ดีนัก