ฉินซางพูดจบ หลีซินกับต้วนเหิงเงียบไปทันที แววตาของฉู่ฉือมืดมนลง
เขารู้ว่าเมื่อก่อนคุณชายรองปฏิบัติภารกิจที่อันตรายมามาก แต่ตระกูลโหมวไม่ใช่คนอ่อนแอที่ใครจะมาทำร้ายก็ได้ ทำไมคุณชายรองถึงแบกรักไว้คนเดียวนะ เขาคิดไม่ออกจริงๆ
ฉินซางตบบ่าชางหลิงเบาและพูดปลอบใจว่า “เสี่ยวหลิงหลิง เธออย่าร้อนใจไปเลยนะ ตอนนี้พวกเราจะไปสืบคนที่พี่ใหญ่เจอในช่วงนี้ทุกคน จะต้องมีวิธีแก้ไขแน่”
“นั่นสิ พี่สะใภ้อย่ากังวลไปเลย พวกเราจะต้องช่วยพี่ใหญ่แก้ไขปัญหาแน่” แววตาของหลีซินเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“รบกวนพวกนายด้วยนะ มีข่าวอะไรจะต้องมาบอกฉันเป็นคนแรกด้วยล่ะ”
“ได้”
หลังจากที่ส่งพวกเขากลับไปแล้ว ชางหลิงก็นั่งเหม่ออยู่ในห้องรับแขกที่ว่างเปล่า นึกถึงโหมวยู่อาจจะถูกศัตรูเมื่อก่อนข่มขู่อยู่ เธอก็อดไม่ได้ขนลุกซู่ทั่วแผ่นหลัง
“เธออย่ากังวลไปเลย ตอนนี้ฉันกำลังตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้าย”
“นายว่าไงนะ?”
ป๋ายจื๋อเป็นแบบนี้ตลอด คำพูดแสนเรียบง่ายของเขากลับทำให้ชางหลิงอึ้งตะลึงทุกครั้ง
การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้ายงั้นเหรอ?
ป๋ายจื๋อจะตรวจสอบยังไง?
วัยรุ่นหนุ่มตรงหน้าของเธอที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายแล้วยังทำกับข้าวเป็นอีก เมื่อก่อนเขาคงไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นหรอกนะ!
แววตาที่ชางหลิงมองป๋ายจื๋อก็เปลี่ยนไปทันที มีเหงื่อออกมาเต็มฝ่ามือของเธอ “นายจะตรวจสอบยังไง ต้องการเงินไหม?”
“ไม่ต้อง ฉันมีวิธี”
ป๋ายจื๋อพูดจบก็เดินไปที่ห้องตัวเองทันที ชางหลิงได้ยินเสียงเขาคุยโทรศัพท์รางๆ
ตกดึกชางหลิงนอนไม่หลับตามเดิม เธอนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก แสงจันทร์อันเย็นเฉียบสาดส่องเข้ามาในบ้านที่ไม่คึกคักอยู่แล้วให้เย็นเฉียบลงไปอีก
“ยังไม่นอนเหรอ”
ป๋ายจื๋อเดินออกมาจากห้องนอน เห็นชางหลิงที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็รู้สึกตกใจ
เขาเทน้ำแล้วเดินไปข้างๆชางหลิง พูดเสียงเบาว่า “ตรวจสอบได้แล้ว ไม่มีใครไปหาเรื่องโหมวยู่”
เห็นสายตาที่ลึกลับของป๋ายจื๋อ ชางหลิงก็ถามกลับไปว่า “ข่าวพึ่งพาได้ไหม?”
“พึ่งพาได้แน่นอน”
ป๋ายจื๋อพูดด้วยแววตาและสีหน้าที่จริงใจ ชางหลิงไม่อาจสงสัยในคำพูดของเขา
ได้ยินข่าวนี้แล้ว ชางหลิงก็โล่งอก เขาไม่เจอเรื่องวุ่นวายเป็นเรื่องที่ดี
“รอเขามาหาเธอ ฉันจะหาโอกาสต่อยกับเขาสักยก เธอก็คอยเก็บเลือดเขาแล้วกัน”
ป๋ายจื๋อรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำในช่วงนี้ของโหมวยู่มาก ไม่ว่าเขาจะหวังดีหรือไม่ก็แล้วแต่ ทำร้ายจิตใจชางหลิงเป็นสิ่งที่เขาอภัยให้ไม่ได้ จะต้องสั่งสอนให้เขาหลาบจำ
“อย่า นายสู่เขาไม่ได้หรอก”
การต่อสู้ของโหมวยู่ชางหลิงเห็นมากับตาแล้ว ป๋ายจื๋อน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ป๋ายจื๋อมองกลับไปด้วยแววตาที่เย็นชา ชางหลิงพูดแทงใจดำเขามาก เธอคิดได้ยังไงว่าเขาสู้กับโหมวยู่ไม่ไหว “ฉันมีปืน สู้เขาได้แน่”
“นี่นาย อย่าใจร้อนได้ไหม ที่นี่ประเทศจีนนะ ใช้ปืนไม่ได้”
พอปลอบใจป๋ายจื๋อแล้ว ทันใดนั้นชางหลิงก็นึกปัญหาอะไรขึ้นมาได้ มองเขาและถามอย่างจริงจังว่า “ป๋ายจื๋อ นายไปเอาปืนมาจากไหน?”
“คนอื่นให้ฉันมา”
“ปืนในมือนายใช่อันเดียวกันกับในมิลานไหม?”
“ไม่ใช่ พกปืนไปก็ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยบนเครื่องไม่ได้หรอกนะ กระบอกนั้นฉันทำลายมันไปแล้ว”
ได้ยินน้ำเสียงที่เรียบเฉยของป๋ายจื๋อ ชางหลิงก็รู้สึกแผ่นหลังตัวเองเย็นเฉียบไปหมด รอบข้างเธอมีแต่คนแบบไหนกันเนี้ย!
“ในมือนายตอนนี้มีกี่กระบอก”
“กระบอกเดียว เธออยากได้เหรอ? เดี๋ยวฉันลองหาวิธีเอาไว้ให้เธอป้องกันตัวอีกหนึ่งกระบอกแล้วกัน”
“ไม่ต้องๆ ปกติฉันก็ไม่ไปสถานที่อันตรายอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ของแบบนั้นหรอก”
“อืม งั้นเธอก็รีบเข้านอนได้แล้ว ฉันง่วงแล้วไปนอนก่อนนะ”
เห็นแผ่นหลังที่ซื่อตรงของป๋ายจื๋อ ชางหลิงก็รู้สึกปวดหัวมาก
เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่ น้ำเสียงเมื่อกี้ของเขาดูเฉยชามาก เธอมักจะรู้สึกเมื่อก่อนป๋ายจื๋ออาจจะได้จับปืนบ่อยๆ ไม่งั้นก็คงไม่พูดเรื่องปืนด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยหรอก
เรื่องของโหมวยู่ยังไม่ทันทำให้ชัดเจนเลย ทางด้านป๋ายจื๋อก็เกิดปัญหาใหม่อีกแล้ว ชางหลิงรู้สึกเหมือนยี่สิบปีก่อนไร้ประโยชน์มาก คนข้างกายเธอนอกจากซูเสี่ยวเฉิงแล้ว คนอื่นเธอก็ไม่เคยเข้าใจเลย
อดทนมาจนถึงตีสี่ ในที่สุดชางหลิงก็หลับได้สักที
รอจนเธอตื่นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นข้างเตียงของเธอก็มีผู้ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น เธอขยี้ตาหลายครั้ง แน่ใจว่าตัวเองมองไม่ผิด
โหมวยู่มาอยู่ในห้องตัวเองตอนกลางวันแสกๆแบบนี้ได้ยังไง
ชางหลิงขยี้หลายครั้ง จนตาแดงไปหมด โหมวยู่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็หายไปอีกครั้ง
โหมวยู่เห็นผู้หญิงบนเตียงที่ยังไม่รู้สึกตัวอยู่นาน ก็รู้สึกเป็นห่วง หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ชางหลิงจะดูแลตัวเองให้ดีได้จริงเหรอ?
ตอนนี้ยังมีเด็กเพิ่มมาอีกคนอีก ต่อไปเธอจะอยู่คนเดียวยังไง!
โหมวยู่ทำหน้าบึ้งโยนสัญญาการหย่าให้ชางหลิง “เซ็นชื่อ”
“บอกเหตุผลมาก่อน ไม่งั้นนายอย่าคิดจะหย่าได้”
“ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่รักเธอแล้ว”
พูดถึงครึ่ง โหมวยู่ก็รีบหลบสายตา เขาพูดโกหกต่อหน้าดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นของชางหลิงไม่ลงจริงๆ
โหมวยู่นั่งอยู่ข้างเตียง เจ็บปวดหัวใจเหมือนถูกมีดแทงครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่มีที่ว่างให้แทงแล้ว อาการปวดหัวก็เหมือนจะกำเริบอีกครั้งแล้วด้วย
“ฉันไม่เชื่อ!”
ชางหลิงเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง เธอรับรู้ได้ว่าโหมวยู่ยังรักตัวเองอยู่ ไม่มีทางเป็นเหตุผลนี้แน่ เธอจะต้องถามเหตุผลที่เขาอยากหย่าให้ได้ จากนั้นก็อยู่แก้ปัญหาและเผชิญหน้าไปพร้อมกันกับเขา
เมื่อกี้เขาเพิ่งกลับออกมาจากหลินจื้อ เขามีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว จะต้องทำให้ชางหลิงตัดใจให้ได้โดยเร็ว
เพื่อจะได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จ โหมวยู่จึงต้องจำใจพูดแทงใจดำเธอ
“น่ารำคาญจริงๆ ผู้หญิงจอมหลอกลวงอย่างเธอช่างด้อยค่าเสียจริง จากกันด้วยดีไม่ได้หรือไง? เงินที่ฉันให้เธอเพียงพอสำหรับทั้งชีวิตของเธอแล้ว เธอยังไม่พอใจอะไรอีก เอาแต่ยื้อเสียเวลาอยู่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? ชางหลิง เหลือศักดิ์ศรีให้ตัวเองหน่อยเถอะ เซ็นชื่อซะ”
คำพูดของโหมวยู่ทำเอาชางหลิงแทบกระอักเลือด ผู้ชายเลวคนนี้ ทำไมถึงพูดทำร้ายจิตใจได้ขนาดนี้กันนะ เมื่อก่อนทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าฝีปากของโหมวยู่ดีขนาดนี้
ชางหลิงคว้าสัญญาหย่าขึ้นมาโยนไปที่โหมวยู่ “ฉันไม่เซ็น เชิญนายออกไป”
ในตอนนั้น เธออยากจะให้ป๋ายจื๋อเข้ามา เอาปืนจ่อที่หัวของเขา และบังคับเค้นถามความจริงออกมา
น่าโมโหจริงๆเลย!
โหมวยู่จ้องมองชางหลิงนิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาช้าๆ ไม่ได้เดินออกไปข้างนอก แต่กลับขยับเข้าใกล้เธอแทน
เขาอยากทำอะไร?
ชางหลิงตกใจจนบีบผ้าห่มแน่น
โหมวยู่ขยับเข้ามาใกล้เธอถึงเห็นว่า ขอบตาเขาดำแค่ไหน ภายในดวงตายังมีเส้นเลือดแดงอีก หนวดเคราตรงข้างก็ไม่ได้โกน ดูแล้วเรื่องนี้คงทำให้เขาเครียดจริงๆ ไม่งั้นคนที่ให้ความสำคัญกับบุคลิกภายนอกอย่างเขาไม่ปล่อยให้ตัวเองโทรมแบบนี้หรอก
“นายทำอะไร อย่าเข้ามานะ”
โหมวยู่มองดูชางหลิง ขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เขาจ้องมองชางหลิงโดยไม่ละสายตาจนทำให้เธอกลัว หัวใจเต้นรัว เธอมีความรู้สึกที่ไม่ดีเอามากๆ
ชางหลิงถูกบีบบังคับไปจนถึงมุมกำแพง ถอยต่อไปอีกไม่ได้ โหมวยู่กระตุกยิ้มมุมปาก ใบหน้าเย็นชาจนไม่มีความอบอุ่นเลย
ทันใดนั้นโหมวยู่ก็ยื่นมือออกมา จับมือชางหลิงไว้อย่างแรง หยิบของที่เตรียมไว้ตั้งนานแล้วออกมาจากกระเป๋า
“อย่านะ……ไม่ นายปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
ชางหลิงอยากจะชักมือออกจากฝ่ามือใหญ่ของโหมวยู่ และตะโกนขัดขืนออกไปอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์