พอสบตาที่ดื้อรั้นของชางหลิงเข้า โหมวยู่ก็เบนหน้าไปทางอื่นอย่างลำบากใจ
แม้ในใจจะไม่อยาก แต่เขาก็ต้องจำใจไล่ชางหลิงออกไปโดยเร็ว ถ้าเกิดถูกเธอจับได้ขึ้นมาก็จะลำบากมากขึ้น เขากลัวว่าตัวเองจะไม่มีเวลามากขนาดนั้น
“รีบพูด!”
ชางหลิงตะคอกเสียงดัง โหมวยู่ตกใจจนลืมข้ออ้างที่เขาเพิ่งจะคิดได้
เธอจะดูสิ โหมวยู่จะหาข้ออ้างอะไรมาหลอกเธออีก!
โรคระยะสุดท้าย!
ล้มละลาย!
หรือว่าเจอรักแท้!
“ฉันไม่รักเธอแล้ว อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราเลิกกันด้วยดีเถอะ”
น้ำเสียงของโหมวยู่ทุ่มต่ำดูทรงพลัง จริงจังและเข้มงวด ชางหลิงฟังไม่ออกว่าเขาล้อเล่นหรือเปล่า
น้ำตาชางหลิงรื้นขึ้นมาเต็มขอบตาทันที เธอลืมตาโตเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอเดินไปตรงหน้าโหมวยู่ ระหว่างทั้งสองห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว โหมวยู่ไม่สามารถหลบหน้าได้
“โหมวยู่ นายมองที่ตาฉัน แล้วพูดอีกทีสิ”
โหมวยู่เห็นดวงตาที่เสียใจและเด็ดเดี่ยวของชางหลิงได้อย่างชัดเจน และเห็นแววตาเบื้องลึกของเธอที่พร้อมจะตราหน้าเขาว่าเป็นผู้ชายเจ้าชู้
ความรู้สึกเจ็บปวดมันมาอีกแล้ว โหมวยู่รู้ว่าอาการตัวเองกำลังจะกำเริบแล้ว
จะให้ชางหลิงเห็นท่าทางตอนที่อาการเขากำเริบไม่ได้ จะต้องให้เธอตายใจแล้วออกไปเสีย
โหมวยู่ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ และพูดสามคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุดจะเย็นชาเท่าที่จะทำได้
“รีบหย่ากัน!”
“นายแน่ใจเหรอ?”
ชางหลิงเดิมพันความรักที่มีให้เต็มเปี่ยมและศักดิ์ศรีสุดท้าย แล้วถามไปอีกครั้ง
คนที่รักที่สุดอยู่ตรงหน้า โหมวยู่กำลังถูกความเจ็บปวดทรมาน เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีควบคุมความใจร้อนที่จะพุ่งเข้าไปเธอเอาไว้
เจ็บ! เจ็บมาก!
อยากกอดเธอจัง
สติเส้นสุดท้ายในหัวเขาบอกเขาว่าไม่ได้ ร่างกายเขาเริ่มอ่อนแอลงทุกที เขาจะต้องทำให้ชางหลิงตายใจในวินาทีสุดท้ายนี้ให้ได้ แบบนี้เธอถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างเข้มแข็งในตอนที่ไม่มีเขาอยู่ได้
โหมวยู่ตบโต๊ะอย่างแรง ใช้แรงสุดท้ายที่มีอยู่ตะคอกอย่างดุดัน
“ไสหัวออกไป!”
ชางหลิงควบคุมความรู้สึกเสียใจที่เพิ่มระดับขึ้นมาอีกไม่ได้แล้ว ในตอนที่น้ำตาจะไหลออกมาเธอรีบกลับหลังหันวิ่งออกไปข้างนอก
พอชางหลิงหายออกไปจากตรงหน้าของโหมวยู่ สุดท้ายเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และล้มสลบลงไปบนเก้าอี้
“คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
ป๋ายจื๋อมองดูชางหลิงที่รีบวิ่งออกมาจากห้องทำงาน จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ กลัวว่าเธอจะไม่ระวังลื่นล้ม
ชางหลิงอ้าปาก ภายในใจมีคำพูดมากมายอยากจะพูดออกมา แต่กลับจุกอยู่ในอกจบแทบหายใจไม่ออก สุดท้ายเธอก็พูดไม่ออกเลยสักคำ
ตลอดทางก็โซเซกลับมาถึงคฤหาสน์ป้านซาน หลังจากที่หมอตรวจสอบร่างกายเธอเสร็จแล้วออกไป สมองที่วุ่นวายของชางหลิงก็ถึงชัดเจนขึ้นมา
คำพูดในห้องทำงานเมื่อกี้ของโหมวยู่ยังคงดังอยู่ในสมองของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เธอเพิ่งจะเข้าใจว่า โหมวยู่อยากจะหย่ากับเธอจริงๆ!
หย่า!
ตั้งแต่กลับมาจากมิลาน เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าคำนี้จะปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ
ทั้งที่โหมวยู่บอกว่าจะรักและอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต พวกเขาสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ตายไปด้วยกัน ทำไมเขาถึงกลับใจกะทันหันแบบนี้ล่ะ!
เธอพร้อมตายไปพร้อมกับเขา เขากลับบอกว่าไม่รักตัวเองแล้ว อยากจะจากกันด้วยดี……
ชางหลิงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
……
ณ ห้องทำงานประธานบริษัทเซิ่งซื่อ หลังจากที่ชางหลิงออกไปแล้วก็ไม่มีใครเข้าไปอีกเลย จนกระทั่งฉู่ฉือเข้ามาถึงเห็นว่าโหมวยู่เป็นลมล้มพับอยู่บนเก้าอี้ทำงาน
ฉู่ฉือเดินไปข้างๆโหมวยู่ ผลักไหล่เขาเบาๆ “คุณชายรอง คุณชายรองครับ ทำไมถึงนอนตรงนี้ล่ะ? ให้ผมพยุงไปที่ห้องพักผ่อนนะครับ”
โหมวยู่ถูกปลุกให้ตื่น เห็นคนข้างๆรางๆ ฟังเสียงแล้วน่าจะเป็นฉู่ฉือ
สมองเขาตอนนี้สับสนไปหมด ตรงที่บาดเจ็บก็ยังรู้สึกเจ็บมาก “ฉันไปพักผ่อนก่อน นายเสร็จงานแล้วก็กลับไปได้เลย ไปอยู่กับถงเอินเยอะๆ”
“คุณชายรอง ผม……”
โหมวยู่เอ่ยถึงถงเอินกะทันหัน ฉู่ฉือที่เข้มงวดและใจเย็นมาตลอดก็กลับเขินอาย
ช่วงนี้เรื่องบริษัทกับเรื่องส่วนตัวคุณชายรองค่อนข้างเยอะ ถงเอินเคยพูดครั้งสองครั้งแล้วว่า ให้เขากลับบ้านเร็วๆ
“กลับไปเถอะ!”
โหมวยู่ปัดมือ กลับหลังหันเดินไปที่ห้องพักผ่อน
ยังดีที่ตอนนี้เขายังมีสติมากพอควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาได้ หลังจากที่เดินได้นิ่งแล้วก็เดินไปที่ห้องพักผ่อนทันที เพื่อไม่ให้ฉู่ฉือเกิดสงสัย
นอนอยู่บนเตียงห้องพักผ่อนข้างๆห้องทำงาน โหมวยู่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง ดึงลิ้นชักบนหัวเตียง กินยาแก้ปวดเข้าไปสี่เม็ด
หลังจากนั้นไม่นาน อาการเจ็บหัวก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ เขายัดเม็ดยาเข้าปากไปอีกสองเม็ด
หลังจากที่อาการปวดหัวเริ่มหายแล้ว โหมวยู่ก็ลองหลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าออกลึกๆ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ทำแบบนี้อยู่สามครั้ง เขาก็ต้องจำใจยอมรับความจริงที่แสนทรหดที่ว่าดวงตาเขาเริ่มเลือนราง
มันมาเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้!
ลิ่มเลือดในสมองเขากระทบถึงการมองเห็นของเขา เรื่องที่จะหย่ากับชางหลิงต้องรีบจัดการแล้วล่ะ
คฤหาสน์ป้านซาน ในตอนที่ชางหลิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นอกหน้าต่างก็มีอากาศสดใสในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกท้อด้านนอกหน้าต่างก็กำลังเบิกบานเต็มที่ ทำให้ทั้งลานกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ
นั่งอยู่ท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม ที่เห็นภายนอกคือลานกว้างที่สวยงาม ทันใดนั้นชางหลิงก็รู้สึกว่าเธอกับลานนี้ดูไม่เข้ากันเลย ดูแล้วคงถึงเวลาไปแล้วสินะ สุดท้ายแล้วที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่
เพื่อให้บ้านที่อบอุ่นและมั่นคงกับเด็ด ตอนนี้สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือย้ายไปในบ้านที่เป็นของตัวเอง
ตอนนี้เอง ในที่สุดชางหลิงก็เข้าใจความรักของแม่ที่ทิ้งบ้านหลังนั้นไว้ให้ตัวเองในตอนนั้น สามารถใช้มันได้ในตอนที่เธอลำบากมากที่สุด
“ป๋ายจื๋อ เก็บของย้ายไปบ้านของพวกเรากันเถอะ ช่วยฉันตรวจสอบทุกเรื่องเกี่ยวกับโหมวยู่ให้หน่อย”
“กลับไปได้แล้วเหรอ” ป๋ายจื๋อนานๆทีจะยิ้มทีหนึ่ง
ทุกครั้งที่เจอโหมวฉี่สำหรับเขาก็รู้สึกทรมานมาก ในที่สุดก็ออกจากสถานที่เฮงซวยนี้ได้สักที ดีจริงๆ!
ในตอนที่ป๋ายจื๋อขนกล่องเล็กกล่องใหญ่ออกมา ชางหลิงก็ได้รับรู้การจัดการของป๋ายจื๋อใหม่อีกครั้ง
ข้าวของเยอะขนาดนั้น หมอนี่กลับเก็บทั้งหมดในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอสงสัยว่าป๋ายจื๋อใช้อาวุธลับอะไรหรือเปล่า ประสิทธิภาพสูงจนน่าตกใจ
“พวกเราไปกันเถอะ”
ป๋ายจื๋อขนของขึ้นรถด้วย และพูดเร่งชางหลิงที่กำลังเหม่อลอยด้วย
“นายเก็บของเสร็จแล้ว พวกเราไปบอกลาโหมวฉี่กันก่อน”
ยังไม่รอชางหลิงไป หลังจากที่โหมวฉี่รู้ข่าวที่ว่าชางหลิงจะไปแล้วก็รีบออกมาทันที
“คุณชาง ผมดูแลไม่ดีตรงไหนคุณบอกมาได้นะครับ ทำไมถึงไปกะทันหันแบบนี้ล่ะ?”
การกระทำของชางหลิงเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันได้ตั้งตัว โหมวฉี่ยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อยู่ที่นี่ไม่ดีเหรอ เขาคิดไม่ออกว่าทำไมชางหลิงถึงเก็บข้าวของออกไปกะทันหันแบบนี้
“คุณชายฉี่ รบกวนคุณมานานขนาดนี้ ตอนนี้ร่างกายฉันก็ดีมากแล้ว เรื่องวุ่นวายด้านนอกก็จัดการแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะพึ่งพาคุณอีกต่อไปแล้วค่ะ”
ไม่รอโหมวฉี่รั้งไว้ ชางหลิงก็พูดต่อว่า “คุณชายฉี่ บุญคุณครั้งนี้ของคุณฉันจะจำไว้ พวกเรากลับก่อน ไม่ต้องส่งแล้วค่ะ”