ศัตรูความรักเจอหน้ากันก็แสดงท่าทางโกรธแค้นใส่กันอย่างออกนอกหน้า จี้เหยากวงยังไม่นับว่าเป็นศัตรูหัวใจของเธอ
สาวน้อยที่ชมชอบโหมวยู่มีนับไม่ถ้วน เธอไม่คิดจะไปคิดเล็กคิดน้อยหรอก สถานะของจี้เหยากวงถึงแม้ว่าจะพิเศษขึ้นมาหน่อย แต่สถานะที่เธอมีมันก็เพียงแค่บุญคุณนั้นของพี่ชายจี้เพียงเท่านั้น
บนรถ โหมวยู่ถามชางหลิงหลายประโยคว่าช่วงสองวันนี้เธอกินดีนอนหลับพักผ่อนดีหรือเปล่าอยู่เป็นครั้งคราว ชางหลิงไม่ค่อยชินที่จะมาพูดคุยกันในประเด็นส่วนตัวอย่างนี้ต่อหน้าคนนอกอย่างนี้ ก็ไม่อยากไปกระตุ้นจี้เหยากวงเลยด้วย
โหมวยู่เห็นเธอไม่ค่อยอยากจะพูดนักก็ไม่ได้พูดออกไปอีก เพียงไม่นานบนรถก็เงียบลง
ไม่รู้ว่าจี้เหยากวงคิดจะทำอะไร จู่ๆก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของเธอกดต่ำมาก ต่อหน้าโหมวยู่มักจะมีท่าทีน่ารักว่าง่ายอยู่เสมอ
“เหยากวง อย่าร้องเลย พี่ชายเธอไม่อยากเห็นเธอเป็นอย่างนี้หรอก”
ชางหลิงถูกเธอร้องไห้มาจนรู้สึกปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็ต้องพูดปลอบออกไปอยู่ดี ช่างมันเถอะ เห็นแก่เป็นวันครบรอบวันตายของพี่ชายจี้ เธอจะอดทนกับการเกาะแกะนี้เอาไว้ชั่วคราว
“พี่ชางหลิง ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกพี่ต้องอารมณ์เสีย ฉันเพียงแค่เสียใจ พี่ชายตกลงแล้วว่าจะอยู่กับฉันตลอดไป แต่เขากลับจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เหลือแค่ฉันโดดเดี่ยวอยู่เพียงแค่คนเดียว ฉันกลัวมากจริงๆ”
ทางจี้เหยากวงพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง นั่งอยู่บนที่นั่งเบาะหลังเพียงลำพังอย่างน่าสงสาร กอดตัวเองแน่น ร่างกายสั่นออกมาเล็กน้อย น่าสงสารเหมือนกับสัตว์เลี้ยงถูกคนทิ้งตัวหนึ่ง
เพียงชั่วขณะหนึ่ง ชางหลิงก็เกือบจะรู้สึกละอายใจขึ้นมา
เกือบจะถูกคำพูดของเธอนำพาไป คิดว่าความไม่พอใจเมื่อกี้นี้ของตัวเองเป็นเรื่องที่โหดร้ายและชั่วร้ายมากเลย
แต่เพียงไม่นานชางหลิงก็ได้สติมา หันหน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่างเงียบๆ เป็นการบ่งบอกว่าจะไม่ปลอบใจเธออีก
เธอนับได้ว่ามองออกเลยว่าขอเพียงแค่เธอเอ่ยปากพูดออกไป จี้เหยากวงก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาข้ออ้างมาใส่ร้ายเธอ พยายามคิดทุกวิธีเพื่อให้โหมวยู่คิดว่าเธอเป็นคนใจคอชั่วร้ายใจจืดใจดำคนหนึ่ง เธอไม่ได้อยากจะให้โอกาสให้เธอได้มาทำให้ตัวเธอรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาหรอกนะ
จี้เหยากวงเห็นชางหลิงพูดมาประโยคเดียวแล้วก็ไม่สนใจเธอแล้ว นั่นเรียกว่าเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เธอโกรธจนร้องไห้ออกมาอีกรอบนึง
ชางหลิงคิดแค่เพียงว่าเป็นเสียงภูติผีดังแว่วๆผ่านหูเท่านั้น เด็กผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้ร้องเก่งขนาดนี้กันนะ? กำลังทางกายที่บอบบางก็ยังดีๆอยู่
ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้โหมวยู่อยู่ต่อหน้าจี้เหยากวงแล้วดูเย็นชาเป็นพิเศษ เธอร้องไห้อยู่ตรงเบาะหลังจนจะเป็นตะคริวไปหมดแล้ว โหมวยู่ก็ยังไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว กำลังตั้งใจขับรถอยู่เหมือนกับมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ชางหลิงอดไม่ได้ที่จะมองเขาไปหลายที โหมวยู่เป็นอะไรไป ช่วงนี้เขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
บ้านของจี้เหยากวงเป็นบ้านส่วนตัวสองชั้น เก่าโทรมกว่าที่ชางหลิงคิดเอาไว้เสียอีก ประตูใหญ่มีสีกระดำกระด่าง ผนังบ้านเก่ามาก ลานบ้านยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ชางหลิงรู้สึกหดหู่ขึ้นมา บรรยากาศดูอึมครึม ไม่มีความรู้สึกอบอุ่นของบ้านอยู่เลยแม้แต่น้อย
ชางหลิงเดินมายังหน้าประตู และก็ได้ชะงักฝีเท้าไปทันที ไม่ได้อยากจะเข้าไปนัก
โหมวยู่เหมือนกับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจของเธอ จึงกุมมือของเธอแน่น ทั้งสองคนเดินเคียงกันเดินเข้าไปข้างหน้า
สายตาของจี้เหยากวงกวาดมองมือที่จับกุมเข้าด้วยกันแน่นของทั้งสองคน ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดครึ้ม กัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับก้าวเท้าเร็วๆเดินเข้าห้องรับแขกของบ้านตระกูลจี้
“บ้านฉันดูเรียบๆมอซอไปหน่อย พวกพี่อย่ารังเกียจกันเลยนะคะ”
จี้เหยากวงยกน้ำมาให้ทุกคน เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
หลีซินรีบพูดปลอบออกมาทันที เขาไม่อาจทนดูสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของหัวหน้าหน่วยจี้ต้องมากล้ำกลืนความรู้สึกเพื่อรักษาหน้าของทุกฝ่ายเอาไว้ “ฉันชอบบ้านเก่าๆสไตล์อย่างนี้ ไม่มีใครรังเกียจหรอก”
“พี่หลีซินพี่รู้จักปลอบใจคนเก่งจังเลยนะคะ”
ทันใดนั้นเองจี้เหยากวงก็ยิ้มไปให้หลีซิน รอยยิ้มของเธอดูสดใสบริสุทธิ์ ซูเสี่ยวเฉิงทีนั่งอยู่ข้างๆภายในใจชะงักกึกไปเล็กน้อย จู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดกับนิสัยเป็นผู้ชายอบอุ่นอย่างนี้ของหลีซินขึ้นมาเล็กน้อย มันช่างสามารถยั่วยวนสาวน้อยได้ดีเกินไปแล้ว
ซูเสี่ยวเฉิงก้มหน้าลง ความรู้สึกมีส่วนร่วมต่ำมากตลอดทาง ชางหลิงเองก็ขี้เกียจพูด เหลือเพียงแค่จี้เหยากวงกับผู้ชายทั้งสองคนที่กำลังพูดเรื่องเมื่อเธอตอนเด็กกับหัวหน้าหน่วยจี้
ชางหลิงว่างจนเบื่อมาก ถือโอกาสหยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาปอกแอปเปิล
ในดวงตาของจี้เหยากวงมีประกายความดีใจอย่างคาดไม่ถึงออกมา น้ำเสียงที่พูดออกมามีความร่าเริงมากขึ้น “พี่ยู่ พี่หลีซิน ฉันจำได้ว่าหลังบ้านวางตู้หนังสือเมื่อก่อนของพี่ชายเอาไว้ พวกพี่ช่วยย้ายมาให้ฉันหน่อยได้มั้ยคะ? ฉันอยากจะเช็ดทำความสะอาดสักหน่อย”
ทั้งสองคนพยักหน้าตอบรับออกมา เพียงไม่นานก็ออกจากห้องรับแขกไป
“ฉันไปห้องน้ำสักหน่อย”
หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักนึงแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงก็ออกจากห้องไปด้วยอีกคน
ในตอนที่ภายในห้องรับแขกเหลือเพียงแค่สองคน ในใจของชางหลิงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมา
เธอชำเลืองมองจี้เหยากวงไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้จี้เหยากวงกำลังมองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง แต่ชางหลิงกลับรู้สึกกลัวจนเหงื่อเย็นไหลอาบไปทั้งตัว
จี้เหยากวงไม่มีทางจะยิ้มอย่างนี้ให้เธออย่างแน่นอน เธอมีแผนร้ายอะไรอยู่กันแน่ เมื่อกี้เธอจงใจให้พวกโหมวยู่ออกไป
ชางหลิงป้องท้องขยับไปข้างหลัง พยายามให้ตัวเองใจเย็น
ถ้าจี้เหยากวงจะลงมือขึ้นมาเธอก็จะร้องตะโกนออกไปดังๆ พวกโหมวยู่คงจะรีบมาภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีได้
จี้เหยากวงค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆ เข้าประชิดร่างชางหลิงไปทีละก้าวๆ เธอมองจ้องจี้เหยากวงพร้อมเอ่ยออกไป “จี้เหยากวง เธออย่าทำอะไรบ้าๆนะ”
“พี่ชางหลิง พี่อย่าโกรธไปเลย ฉันไม่ทำร้ายพี่หรอก”
ดวงตาทั้งสองข้างของจี้เหยากวงดูน่าสงสารออกมา ทักษะการแสดงยอดเยี่ยม มิน่าล่ะตอนแรกทุกคนถึงได้คิดว่าเธอเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาบอบบางคนหนึ่ง
“อย่าเข้ามา!”
จี้เหยากวงยิ่งเข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชางหลิงข่มเสียงตวาดออกไป
จี้เหยากวงมองชางหลิงไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แต่น้ำเสียงกลับฟังดูมีความหวาดกลัวออกมาเป็นพิเศษ เธอพูดออกมาอย่างตื่นตระหนก “พี่ชางหลิง พี่ทำอะไร อย่านะ อย่า!”
ในตอนที่ชางหลิงอยากจะถามเธอออกไปว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแสบหูดังขึ้นมา
“อ้าก!”
หลังจากนั้น ชางหลิงก็เห็นจี้เหยากวงร่วงลงข้างเท้าเธอ เธองอตัว ตรงบริเวณท้องมีมีดปอกผลไม้ด้ามนึงเสียบอยู่ เลือดสดๆลามมายังกระโปรงสีขาวบนร่างของเธออย่างรวดเร็ว
“ชางหลิง เธอกำลังทำอะไร?”
ซูเสี่ยวเฉิงไม่รู้ว่าเข้าห้องรับแขกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอมองชางหลิงไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปความช็อก พลางถามออกมาอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดกันมาตั้งแต่เด็ก เธอจำไม่ได้แล้วว่าครั้งที่แล้วที่ซูเสี่ยวเฉิงเรียกชื่อเต็มๆของเธอคือเมื่อไหร่
ตอนที่ซูเสี่ยวเฉิงพยายามที่จะพยุงจี้เหยากวงขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ชางหลิงที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆก็มองเห็นสายตาท้าทายกับมุมปากที่แสยะออกมาด้วยความพอใจของจี้เหยากวงได้อย่างชัดเจน
คนบ้านี่!
เพื่อที่จะใส่ความเธอนึกไม่ถึงว่าจะแทงมีดใส่ตัวเองไปอย่างไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เธอโรคเก่ากำเริบ แล้วทำตัวเอง”
น้ำเสียงของชางหลิงเรียบนิ่งเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดๆออกมา ราวกับว่าเป็นผู้ชมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
อันที่จริงเดิมทีแล้วเธอก็คือผู้ชมคนนึงอยู่แล้ว แล้วยังเป็นผู้ชมที่ถูกคนอื่นวางแผนให้จะต้องดูเรื่องตลกฉากนี้
ความเร็วที่โหมวยู่กับหลีซินตามมาช้ากว่าที่ชางหลิงคิดไปนาทีนึง เห็นโหมวยู่เข้ามา จี้เหยากวงที่จากเดิมยังมีกะจิตกะใจมายั่วเย้าท้าทายชางหลิงอยู่ในนาทีนั้นเองก็ได้เปลี่ยนมาจะเป็นจะตายขึ้นมาทันที ยื่นมือออกมาพลางร้องวิงวอนด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา “พี่ยู่ ฉันเจ็บจังเลย ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันหน่อยค่ะ”
โหมวยู่ไม่ได้พุ่งเข้าไปอุ้มจี้เหยากวงทันทีเหมือนกับที่วิลล่าเมื่อก่อนหน้านี้อย่างนั้น แต่กลับส่งสัญญาณบอกให้หลีซินเข้าไป
“รีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล”
หลีซินมึนงงอยู่ครู่นึง รีบเข้าไปอุ้มจี้เหยากวงไปยังเบาะหลังรถของตัวเอง ซูเสี่ยวเฉิงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดด้วยกันกับพวกเขา
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไปแล้ว ชางหลิงมองโหมวยู่ไปเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป
เธอไม่ได้ถูกทำให้เสียหายอย่างนี้ต่อหน้าจี้เหยากวงเป็นครั้งแรก ครั้งนี้เธออยากรอให้โหมวยู่เป็นคนเอ่ยปากพูดออกมากก่อน