“ขอโทษ เมื่อกี้ผมประมาทไป ทำให้คุณกลัวแล้วใช่มั้ย” โหมวยู่โอบชางหลิงเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ตบหลังเธอไปเบาๆอย่างปลอบประโลม
เป็นเขาที่ประมาทไป นึกไปถึงมีดที่วาววับด้ามนั้นแล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าจี้เหยากวงไม่ได้ทำร้ายตัวเอง แต่ได้หันใบมีดแทงไปทางท้องของชางหลิงแทน เขาจะต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่
เมื่อก่อนเขาพยายามที่จะผลักไสชางหลิงออกไปอยู่ตลอด เพียงแค่เพื่อที่จะสามารถทำให้หลังจากที่เธอจากเขาไปแล้วสามารถมีชีวิตดีๆต่อไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่อาจทนกับทุกวินาทีที่เธอไม่อยู่ข้างๆอย่างนั้นได้
ก็คิดเสียว่าเขาเห็นแก่ตัวล่ะมั้ง ในวันที่อาการป่วยในระยะสุดท้ายนี้มันยังสามารถควบคุมได้อยู่ เขาอยากมอบความรักในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับเธอ
“คุณปลอบผิดคนแล้ว คนที่ถูกทำให้กลัวควรจะเป็นเหยากวงน้องสาวคนนั้นของคุณมากกว่า”
ในโทนน้ำเสียงของชางหลิงประดับไปด้วยความดูถูกและสีหน้าที่ย่ำแย่ วิธีการนี้ของจี้เหยากวงตอนที่เธออยู่ม.ต้นก็เลิกเล่นไปแล้ว เธอเพียงแค่โกรธจี้เหยากวงว่าทำไมต้องเลือกที่จะลงมือในตอนนี้ มันแทบจะเป็นมลทินต่อพี่ชายของเธอเลยด้วย
“หลิงเอ๋อ ผมแคร์แค่คุณคนเดียว คนอื่นจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม”
ไม่รู้ว่าทำไม ชางหลิงในตอนนี้เกิดรู้สึกว่าโหมวยู่เหมือนกับสุนัขเลี้ยงที่กลัวว่าจะถูกเจ้าของทอดทิ้ง กำลังพยายามที่จะประจบเอาใจเธออย่างสุดกำลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนได้กัน
สลัดความคิดยุ่งๆพวกนี้ออกไปจากหัว ชางหลิงอุทานออกมาเบาๆประโยคนึง “ช่องว่างของพี่น้องแท้ๆทำไมมันถึงได้ใหญ่ขนาดนี้กันนะ?”
โหมวยู่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด “ผมผิดเอง ผิดที่หลังจากที่ผมกลับมาก็หาเธอไม่เจอเลย ให้เธอได้รับความลำบากมากมายอย่างนั้นอยู่ข้างนอก ถึงได้กลายเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ได้ กลับไปผมจะส่งเธอกลับวิลล่าหนานวานไป”
“คนโตที่มีชีวิตอยู่คนนึงสามารถซ่อนตัวอยู่ในถิ่นของฉินซางมาสี่ปีโดยที่ไม่ถูกพวกคุณพบเข้าเลย สุดยอดไปเลย”
ชางหลิงไม่เคยผ่อนคลายความระวังตัวต่อจี้เหยากวงมาก่อนเลย การก่อความวุ่นวายของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำได้แค่เพียงยืนยันความคาดเดาของเธอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
“ฉันจะให้คนไปตรวจสอบ คุณดูแลร่างกายไปอย่างสบายไปเถอะ อย่าไปคิดเรื่องพวกนี้เลย”
ทั้งสองคนขับรถชมวิวในชนบท ชางหลิงลืมเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เมื่อก่อนหน้านี้ไปอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง คลินิกขนาดเล็กที่ใกล้กับบ้านของจี้เหยากวงที่สุด หลีซินเป็นคนดึงมีดปอกผลไม้ด้ามนั้นที่เสียบอยู่ตรงช่วงท้องของจี้เหยากวงไปด้วยตัวเอง เก็บมีดไปเดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“พี่ใหญ่ จี้เหยากวงจะจัดการยังไง”
ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเห็นแก่หัวหน้าหน่วยจี้ที่เสียชีวิตไป จี้เหยากวงกล้าเล่นอุบายพวกนี้ต่อหน้าพวกเขา เขาจะสอนความเป็นคนให้กับเธอไปแล้ว
“ส่งเธอกลับวิลล่าหนานวาน” น้ำเสียงของโหมวยู่ที่ถูกรบกวนบรรยากาศหวานๆไปได้เอ่ยพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“พี่ใหญ่ มีดของจี้เหยากวงเธอแทงเข้าไปเอง”
ได้ยินน้ำเสียงของเขาแย่ขนาดนี้แล้ว หลีซินก็นึกว่าชางหลิงกับโหมวยู่จะทะเลาะกันอีก จึงรีบร้อนอธิบายออกไป
“นายคิดว่าฉันตาบอดหรือไง กลอุบายเล็กน้อยๆอย่างนี้จะมองไม่ออกเลย” โหมวยู่พูดจบก็วางสายไปทันที เวลาอยู่ด้วยกันกับชางหลิงเขาไม่อยากจะเสียไปเลยสักวินาทีเดียว
“หลีซินเหมือนกับว่าจะมีเรื่องอะไรจะพูดนะ” ชางหลิงมองการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวไร้ที่ติของเขา ถือโอกาสแขวะไปคำนึง
“คุณรู้จักเขาดีมากเลยนะ” คิ้วของโหมวยู่เลิกขึ้นมา หันมามองชางหลิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
ชางหลิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำส้มที่เข้มขึ้นหึ่งขึ้นมาจากข้างๆตัวอีกครั้ง จึงพูดเล้าโลมออกไป “พูดไปอย่างนั้นเอง”
“ต่อจากนี้ไปตอนที่อยู่กับผมห้ามพูดถึงผู้ชายคนอื่น”
หลิงเอ๋อ วันเวลาที่ผมสามารถอยู่กับคุณได้มันแค่ไม่กี่วันแล้ว ผมอยากเห็นแก่ตัวสักหน่อย ในช่วงเวลานี้ในสายตาและในใจของคุณจะต้องมีเพียงแค่ผมเท่านั้น
ชางหลิงตั้งใจมองสีหน้าของโหมวยู่ จริงจังมากเสียจนไม่มีความล้อเล่นอยู่เลย โหมวยู่ที่ใจเย็นมีไหวพริบมาโดยตลอด ได้เปลี่ยนมาสุดโต่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
······
จี้เหยากวงเพื่อที่ให้ตัวเองดูน่าสงสารขึ้นมาหน่อย จึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะแทงตัวเองไปทีนึง แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถได้เห็นโหมวยู่ แม้แต่โอกาสที่จะโยนความผิดให้กับชางหลิงต่อหน้าเขาก็ไม่มีเลย
จนกระทั่งถูกส่งกลับมาวิลล่าหนานวาน นอนอยู่บนเตียงที่คุ้นเคย น้ำตาของเธอจึงได้เริ่มไหลลงมาเหมือนกับไข่มุกที่สายขาดไป
อย่างที่คิดเลยโหมวยู่พูดจริงทำจริง ของที่ไม่มีทางที่จะแบ่งมาให้เธอได้เลยเธอก็ไม่ควรที่จะไปอยากได้ เดิมทีแล้วคนที่ในใจของเขารู้สึกแตกต่างออกไปเพียงหนึ่งเดียวมีเพียงแค่ชางหลิงเท่านั้น สุดท้ายก็เป็นความอัปยศที่เกิดมาจากสิ่งที่ตนได้ทำเรื่องที่มันเกินควรลงไป
ช่างเถอะ พักอยู่ที่วิลล่าขนาดใหญ่ ในบัตรก็มีเงินที่ทั้งชาตินี้ก็จ่ายไม่หมดมันก็ดีอยู่แล้ว ชีวิตในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นชีวิตที่เมื่อก่อนเธอต้องการมันมาตลอดหรือไง?
ลูบผ้าก๊อซที่อ่อนนุ่มตรงสีข้าง ร่างกายของเธอในตอนนี้เย็นมาก แต่สมองกลับปลอดโปร่งมาก
ทันใดนั้นเองจี้เหยากวงก็คิดว่าตัวเองนั้นโง่มาก โง่มากเลย! พี่ชายจากไปนานมากแล้ว สิ่งพวกนั้นที่เมื่อก่อนพี่ชายเคยสอนเธอ เธอเกือบจะลืมไปหมดแล้ว เธอเกือบถูกโลกที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดใจนี้ทำเอาดวงตาพร่าเบลอไป ยังดีที่ตอนนี้เธอยังไม่ได้ทำความผิดที่ใหญ่หลวงลงไป ยังกลับตัวทันอยู่
หายไปสองวัน หลังจากที่โหมวยู่กลับมาก็เป็นเหมือนเดิมอีก ดูแลชีวิตของชางหลิงไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็น24ยอดสามีที่ดีไปโดยสมบูรณ์
“โหมวยู่ คุณรู้จักทำสิ่งพวกนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตอนที่เห็นท่าทางเขาทำงานบ้านไปอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ชางหลิงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ที่โรงเรียนทหารงานภายในครัวเรือนของผมนั้นทำได้ดีที่สุดเลย”
“เมื่อก่อนคุณอยู่บ้านทำไมไม่เห็นจะขยันอย่างนี้เลย”
ชางหลิงมักจะคิดอยู่ตลอดว่าวันเวลาในตอนนี้ของทั้งสองคนผ่านไปได้อย่างหวานชื่น หวานชื่นเสียจนราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเธอ เธออยากจะหาประเด็นโต้ไปสักสองสามประโยค มันจะได้ลดท่าทีที่ดูจริงแท้ลงไปหน่อย
“เมื่อก่อน ที่บ้านไม่ใช่ว่ามีคนใช้หรือไง?”
โหมวยู่ถูกเธอถามมาจนตอบไม่ถูกไปบ้าง ในวิลล่าของเขาคนใช้หลายสิบคนที่เลี้ยงเอาไว้ต่างไร้ประโยชน์กันทั้งนั้นเลยเหรอ? ใครกล้าให้คุณชายรองโหมวอย่างเขาไปทำงานด้วยตัวเอง จะมีเพียงแค่ชางหลิงเท่านั้นที่เขาจะยอมลงไปปรนนิบัติด้วยตัวเอง
“คุณทำท่าทีแบบนี้หมายความว่าอะไร” ชางหลิงลากเสียงสูงขึ้นสองระดับ มองโหมวยู่พลางถามออกไป
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้มันจะต้องเหมือนกับมนุษย์ป้าที่งี่เง่าไม่มีเหตุผลมากแน่ๆ แต่เธอหาวิธีอื่นที่จะระบายอารมณ์ไม่สบายใจและความกลัวที่อยู่ในใจไม่เจอเลย ทำได้เพียงต้องทำผ่านวิธีการอย่างนี้ไปถึงจะสามารถทำให้ภายในใจของตัวเองสงบลงสักหน่อย
“หลิงเอ๋อ หยุดโวยวาย เป็นความผิดของผมทั้งหมดตกลงมั้ย อย่าอารมณ์เสียมันจะไม่ดีกับร่างกาย”
ครั้งนี้โหมวยู่ไม่ได้เงียบเหมือนกับเมื่อก่อน และก็ไม่ได้ผันร่างเดินออกไป แต่กลับเป็นเดินเข้ามากอดชางหลิงปลอบโยนเธออย่างไม่มีขีดจำกัดเลยแม้แต่น้อย
ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ถูกต้องเลย
โหมวยู่ไม่ควรจะเป็นคนที่มีท่าทีแบบนี้
ถ้าไม่เพราะอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ชางหลิงเกือบจะนึกว่าผู้ชายที่กำลังกอดตนอยู่ถูกลักลอบเปลี่ยนไปเสียแล้ว
“วิธีการปลอบใจคนพวกนี้ใครสอนคุณ”
“ฉินซาง”
โหมวยู่ทำไปเพื่อให้ชางหลิงยิ้มได้ จึงขายเพื่อนร่วมทีมไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ชางหลิงปวดหัวไปสักพักนึง มิน่าล่ะหลายวันมานี้โหมวยู่ถึงได้ผิดปกติอย่างนี้ จะต้องถูกฉินซางคนที่น่ากังวลคนนั้นชักจูงไปแน่ๆ
“สิ่งพวกนี้ที่คุณทำที่บ้านไปเรียนมาจากที่ไหนอีกกัน”
“หลีซินบอกว่าที่บ้านของพวกเขาไม่เคยให้ซูเสี่ยวเฉิงทำงานบ้านเลย นี่ผมไม่ใช่ว่ากลัวว่าคุณจะเสียหน้าต่อหน้าเพื่อนสนิทมั้ยล่ะ ถึงได้ทำ”
เพื่อนสองคนเอาความผิดไปคนละอย่าง จัดวางเอาไว้อย่างชัดเจน
ดูไม่ออกเลยว่า ตอนนี้สถานะในครอบครัวที่บ้านของซูเสี่ยวเฉิงสูงมากอยู่
“ยังมีอะไรอีกล่ะ?” ชางหลิงชำเลืองมองเขาไปนิ่งๆ
“ยังมีอะไรอีก? ผมอธิบายทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว”
“คุณแน่ใจว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดแล้วใช่มั้ย? ถือโอกาสตอนที่ฉันยังอารมณ์ดีๆอยู่ สารภาพผิดมาโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา เป็นโอกาสที่หายากเลยนะ คุณคิดดูให้ดีๆล่ะ”
ชางหลิงพิงเข้ากับโหมวยู่มองเขาไปด้วยอิริยาบถที่ดูสวยงาม แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความอันตราย โหมวยู่ตกใจกลัวจนหลังอาบไปด้วยเหงื่อเย็น บอกตัวเองออกมาซ้ำๆ “ชางหลิงไม่มีทางรู้เรื่องนั้น เธอไม่มีทางรู้”