ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 321 สะกดรอยตาม

บทที่ 321 สะกดรอยตาม

สมองของโหมวยู่หมุนติ้วทันควัน นอกจากเรื่องความลับนี้แล้วที่ไม่สามารถให้ชางหลิงรู้อย่างเด็ดขาด ยังมีเรื่องอะไรที่สามารถพูดกับเธอได้อีก เธอไม่รู้มาก่อนเลยเหรอ?

คงจำเป็นต้องหนักแน่นเพิ่มขึ้นอีกนิดถึงจะได้มีประโยชน์มากขึ้น

เขาเกิดฉุกคิดถึงข้ออ้างที่ดูไปวัดไปวาได้ขึ้นมาอย่างทันควัน เลยพูดเรื่องที่ว่าหลังจากที่ผู้ชายแต่งงานแล้วแอบเก็บเงินส่วนตัวเอาไว้และถูกจับได้มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก “ไม่ใช่ว่าผมโอนทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของคุณหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ความจริงแล้วผมก็ยังมีเงินอีกก้อนหนึ่งที่ยังไม่ได้บันทึกลงไปนะ”

ชางหลิงได้ยินแล้วถึงกับตกตะลึงทันที ผู้ชายตรงไปตรงมา อย่างโหมวยู่กลายเป็นคนคิดมากตั้งแต่ตอนไหนกัน ถึงได้หลงกลได้ขนาดลึกขนาดนี้ “คุณใช้ได้นะเนี่ยเก่งล้ำขึ้นไปอีกขั้น แล้วเก็บเงินนั่นเอาไว้ไปทำอะไรล่ะ?”

“ถ้าวันหนึ่งเกิดถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้าน ก็เท่ากับต้องไปนอนข้างถนนแหละมั้ง ยังพอจะมีเงินไปซื้อเต็นท์สักหลังเพื่อเอาไว้มาคอยเฝ้าคุณอยู่ใต้ตึกไง” ตอนนี้โหมวยู่คิดได้อย่างถ่องแท้แล้ว ไม่สนใจภาพลักษณ์หน้าตาบ้าบออะไรอีกแล้วแหละ ชางหลิงสบายใจถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว

ผลที่ได้คือ ชางหลิงหัวเราะจนตัวงอ ความรู้สึกไม่สุขใจและความรู้สึกกระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้มลายหายสิ้นไปทันที เหลือแค่ความสุขหวานชื่นเบ่งบานท่วมท้นทั้งห้อง

หลังจากนั้นสองวัน ชางหลิงก็จับพิรุธความผิดปกติของโหมวยู่ได้ อีตานี่เวลาเช้าและเย็นจะต้องออกไปกำลังกายครึ่งชั่วโมงทุกวันตามเวลากำหนดเป๊ะเลย แถมยังไม่ให้ชางหลิงตามไปด้วย มีการพูดติดท้ายว่าไม่เหมาะให้คนท้องมาออกแรงหนักๆ

เขาเอาแต่พูดว่าวิ่งอยู่ใต้ตึก แม้ว่าตอนที่โหมวยู่กลับมานั้นเหงื่อไหลเต็มตัวทุกครั้ง กระทั่งถึงขั้นนั่งหายใจหอบแฮกๆ จนโอเว่อร์เกินขนาดอยู่ตรงพรมหน้าประตูด้านในห้อง

อาศัยความเข้าใจในตัวของโหมวยู่สำหรับเธอแล้วนั้น แรงในการออกกำลังกายแค่นี้ไม่ควรจะทำให้เขาเหนื่อยถึงขั้นนี้ได้ อย่างน้อยก็ไม่สามารถที่จะเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรง จนทำให้เขาต้องลงไปนั่งกองกับพื้นบนพรมหน้าประตูได้หรอก

ผ่านไปอีกหนึ่งคืน พอกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว โหมวยู่เก็บจานชามตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วเสร็จแล้ว จากนั้นก็จัดแจงเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกายเพื่อออกจากบ้านตามกำหนดเวลาทันที

ครั้งนี้ชางหลิงต้องดูให้ได้ว่าตกลงเขาวิ่งยังไงกันแน่ เพราะว่าตัวตึกบ้านหลังนี้ของเธอนั้นพอออกไปแล้วถนนทางวิ่งมีแค่สองสายเท่านั้นเอง บังเอิญเสียจริง ที่ตำแหน่งบ้านของเธอสามารถมองเห็นถนนทั้งสองสายเลย

ชางหลิงจ้องมองถนนเส้นหนึ่งเอง ส่วนอีกเส้นหนึ่งนั้นก็ใช้กล้องบันทึกวิดีโอเอาไว้แทน หลังจากที่เปิดโหมดอัดวิดีโอแล้วก็ให้ทางวิดีโออัดเองตามระบบทันที

เมื่อชางหลิงเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อันคุ้นตาร่างนั้นก้าวเท้าออกไปจากสายตาตนเองแล้ว ชางหลิงอดไม่ได้ที่เคาะหัวจนเองอย่างอดไม่ได้ทันที

มัวแต่มาคิดเล็กคิดน้อยเลยเถิดอะไรเนี่ย อาจจะเป็นเพราะว่าโหมวยู่คิดได้แล้วจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องการร่างกายให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตสามคนพ่อแม่ลูกอย่างมีความสุขนั้นสำหรับพวกเธอแล้วมันสำคัญมากกับคนที่ได้รับความรักและความอบอุ่นไม่มากพอในช่วงวัยเยาว์

ชางหลิงคิดไปด้วยและเดินไปทางจุดที่ตั้งกล้องเอาไว้อีกฝั่ง แสงอ่อนๆยามเช้ากระทบลงบนตัว ช่างทำให้คนเราทั้งมีความสุขและอิ่มเอมเหลือเกิน ตอนที่เธอคิดจะเก็บกล้องในเวลานั้น ก็เห็นร่างกายอันคุ้นเคยนั้นอีกครั้ง ในดวงตาของชางหลิงพลันแสดงอาการตกใจอยู่ เพราะว่าโหมวยู่วิ่งเข้าไปในลานจอดรถใต้ตึกแล้ว

จู่ๆ ชางหลิงก็เกิดความสนใจขึ้นมา นี่หมายความว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องออกไป หรือว่าเขาทำแบบนี้เป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว ความจริงแล้วเขาแอบหักหลังเธอไปพบใครสักคนหรือว่าไปทำเรื่องอะไรกันแน่

เธอเริ่มนำกล้องออกมาติดตั้งอีกครั้ง ส่วนตนเองก็กลับไปเฝ้าตรงหน้าต่างอีกฝั่งก่อนหน้านี้ จนเหลือเวลาอีก 1 นาทีจากครึ่งชั่วโมง ชางหลิงก็ไม่เห็นรถของโหมวยู่เข้าออกแต่ประการใด และก็ไม่เห็นตัวของเขาด้วย

เพื่อไม่ให้โหมวยู่เกิดความสงสัยขึ้นมา เธอรีบอาศัยจังหวะตอนที่โหมวยู่ยังไม่กลับมารีบเก็บกล้องและอุปกรณ์ต่างๆให้มิดชิดอย่างเร่งด่วน จากนั้นก็ทำท่าทีหยิบกล้องขึ้นมาและถ่ายรูปต้นไม้ดอกไม้ตรงริมระเบียง

จากนั้นหนึ่งนาทีผ่านไป เธอก็ได้ยินเสียงกุญแจไขประตูอันคุ้นเคย โหมวยู่ผลักประตูเดินเข้าประตูมาด้วยอาการเหงื่อไหลท่วมหัว พร้อมทั้งนั่งพักอยู่ตรงพื้นพรมด้านหน้าประตูในบ้านอย่างเหนื่อยล้าหลายนาทีถึงได้เดินเข้ามาในห้องรับแขกอย่างเชื่องช้า เขาไม่ได้เดินไปที่ระเบียง แต่นั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขกและพูดคุยกับชางหลิงอยู่ตรงนั้น

“หลิงเอ๋อก็ชอบถ่ายรูปเหรอ?”

“เมื่อก่อนเคยเรียน ช่วงที่ทางโรงเรียนจัดการแข่งขันนั้นฉันก็ถ่ายรูปให้นางแบบมากับมือเลยนะ”

ชางหลิงคิดมาตลอดว่า มีแค่ตัวของนักออกแบบเองเท่านั้นที่สามารถเลือกมุมมองที่สมบูรณ์แบบอันงดงามที่สุดกับสีสันความโดดเด่นส่วนโดดเด่นสะดุดตาของความรู้สึกการออกแบบและจิตวิญญาณของแต่ละชุดของเสื้อผ้าออกมาได้

“หลิงเอ๋อของผมนี่ช่างเก่งจริงๆเลย ถ้าต่อไปผมเกิดล้มละลายขึ้นมาหลิงเอ๋อสามารถเลี้ยงดูผมได้ใช่ไหม?”

“งั้นสิ ฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความยุติธรรมสักหน่อย”

“สัญญากันแล้วนะ ถึงตอนนั้นคุณก็อย่าผิดคำพูดล่ะ”

น้ำเสียงของโหมวยู่ดูทำตัวสบายๆผ่อนคลายดี ชางหลิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองหลงกลไปกับเขาด้วย

“ใครผิดสัญญาคนนั้นเป็นหมา”

ชางหลิงได้แต่ค้อนจนหน้าคว่ำด้วยความโมโหอยู่บ้าง แถมยังอยากจะพุ่งตัวเข้าใส่เพื่อไปถามให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยว่าจริงๆตกลงแล้วเมื่อครู่เขาไปไหนมา และทุกครั้งที่ออกไปในหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ก็เป็นการวิ่งแบบนี้ใช่หรือเปล่า

น่าโมโหชะมัดเลย เดิมก็คิดว่าโหมวยู่คิดได้แล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมากไปเอง คนที่เคยชื่นชมทัศนียภาพอยู่บนยอดตึกพีระมิดสูงที่สุดเหนือคนอื่น ทำไมถึงได้ยอมปล่อยวางตำแหน่งทัศนียภาพอันสูงสุดเพื่อเธอไปได้อย่างไรกัน

คืนนี้ค่อยมาดูซ้ำอีกรอบ ถ้าคืนนี้โหมวยู่ยังเป็นแบบนี้อยู่ เธอต้องตรวจสอบให้ได้ว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

หลังจากวันแห่งความสุขผ่านพ้นไปหนึ่งวัน ชางหลิงทั้งรอคอยและทั้งกลัวเวลากลางคืนที่จะมาถึง หลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปแล้ว ชางหลิงก็รีบเอากล้องมาตั้งตรงตำแหน่งเดิมอย่างเร่งรีบ ส่วนตัวเองก็ไปนั่งมองจดจ้องไม่กะพริบตาอยู่อีกฝั่งทันที

ถ้าไม่มีอะไรพลิกแพลงไปจากจินตนาการของเธอแล้ว โหมวยู่ก็คงทำเหมือนเมื่อเช้า ที่ใช้เวลาอยู่ข้างนอกไม่เกินสี่นาทีเป็นอย่างมากก็จะกลับมาที่ตึกนี้แล้ว จากนั้นก็ไปอยู่ที่ไหนสักแห่งใช้เวลา 25 นาทีค่อยกลับมาที่บ้าน

เวลาตั้งยาวนานขนาดนี้ แถมยังล็อกเวลา1วัน 2 ครั้ง ถ้าเขาพูดว่าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายใครจะกล้าเชื่อล่ะ

ชางหลิงมองหน้าท้องของตนเองในที่สุดก็เริ่มนูนออกมา ประกอบกับเธอที่เข้าใจในตัวโหมวยู่ จะอย่างไรแล้วก็ไม่สามารถออกตัวไปจ้องมองเขาด้วยตนเองได้

ชางหลิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลางมองวีแชทของป๋ายจื๋อ จนสุดท้ายก็กดออกแทน

ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีตานั่น เหมือนว่าจะเชื่อฟังคำพูดของโหมวยู่มาก ทุกครั้งที่เขามาเขาก็กลับปุ๊บทันที ทำเหมือนไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ก่อนหน้านี้ช่วงที่ฉันเพิ่งอยู่กับโหมวยู่ก็ไม่เคยเห็นเขาขี้ขลาดได้ขนาดนี้นี่

จนสุดท้ายก็ชางหลิงก็ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากซูเสี่ยวเฉิง

“เสี่ยวเฉิง แกว่างอยู่หรือเปล่า?”

“เสี่ยวหลิงหลิง นี่แกยังจำได้ว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทของแกอยู่ใช่ไหม ฉันคิดว่าแกคงมีความสุขท่วมท้นจนหลงทาง ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครแล้วมั้ง? ได้ยินว่าคุณชายรองโหมวไม่ได้ไปบริษัทมา10 กว่าวันแล้ว นี่หลงสาวจนหักปักหัวปำจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกซะแล้วสิ เสี่ยวหลิงหลิงแกต้องระวังเด็กในท้องของแกด้วยนะ อย่ามัวแต่จัดหนักรุนแรงเกินไปนะ”

มัวแต่หมกมุ่นบ้าคลั่งอยู่กับการขับรถอยู่ตลอด ชางหลิงเริ่มแสดงอาการมึนหัวเล็กน้อย จนเกือบลืมเรื่องประเด็นสำคัญในการติดต่อกับซูเสี่ยวเฉิง

“หยุดหาเรื่องก่อน ฉันมีเรื่องที่จะให้แกทำ ช่วยฉันสักเรื่องสิ ติดต่อคนที่แกสนิทมากให้คนหนึ่ง คนที่พวกของโหมวยู่ไม่รู้จัก พรุ่งนี้ช่วยฉันจับตาดูเขาหน่อย”

“ห๊ะ แกจะหาสายลับส่วนตัวใช่ไหม คุณชายรองโหมวตอนนี้ไปทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่เป็นเพื่อนแกเหรอ? แล้วเขาทำอะไรอีกเนี่ย”

ชางหลิงได้ยินคำพูดที่มีความรู้สึกนินทาออกมาจากปากของเธออย่างหนักหน่วงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ ปล่อยไปก่อน อาศัยที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี บัญชีนี้เธอต้องจดเอาไว้ก่อน

อย่างไรก็ตามคนอย่างซูเสี่ยวเฉิงแม้ว่าจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ โชคดีที่ว่าเธอก็ติดต่อโดยตรงกับคนคนนั้นให้เธอเลย

“ไม่มีอะไร คือว่าทุกวันตอนเช้ากับเย็นโหมวยู่ก็จะออกไปวิ่งครึ่งชั่วโมง แต่ว่าที่ฉันเห็นในวันนี้คือเขาออกไปวิ่งอยู่ข้างนอก4นาทีทั้งสองช่วงเวลาจากนั้นกลับมาที่ใต้ตึก ฉันอยากจะรู้ว่าระยะเวลาที่เหลือหลังจากนั้นเขาทำอะไรที่ไหนอย่างไร”

“จัดให้ พรุ่งนี้รอคำตอบจากฉันได้เลย”

ซูเสี่ยวเฉิงไม่พูดพร่ำทำเพลงตอบตกลงทันที บังเอิญจริงๆ เด็กอ้วนที่บ้านอยู่เลยบ้านเธอไปอีกชั้นเป็นพวกคนคลั่งนักสืบมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ทำงานเป็นปาปารัสซี่แบบพาร์ทไทม์ การสะกดรอยตามโหมวยู่สักพักน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

“ขอบใจนะ ใช่สิ เรื่องนี้อย่าให้หลีซินรู้เรื่องนะ”

“รู้เรื่อง”

ชางหลิงคิดว่าคืนนี้ตนเองคงเครียดจัดจนนอนไม่หลับ ไม่คิดเลยพอเธอเพิ่งจะเอนหลังพิงกับหมอนไม่ถึงสองนาทีตาก็ปิดจนหลับสนิทอย่างมึนๆ งงๆ จนนอนยาวลากเวลาไปถึงเที่ยงวันเลย

ตอนที่ตื่นขึ้นมาและมองเวลานั้น ชางหลิงตกใจกับตัวเอง

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท