ทำไมเธอถึงนอนหลับลึกขนาดนี้ไปได้เนี่ย?
เมื่อคืนวานทั้งๆที่เธออยากจะรอให้โหมวยู่กลับมาแล้วลองถามอะไรสักอยากได้บ้าง ทำไมพอเอนหลังนอนลงก็หลับสนิทเลยล่ะ?
ชางหลิงรีบจัดการกับตัวเองอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เดินไปยังห้องรับแขก ก็ไม่เห็นร่างกายอันคุ้นเคย เธอตามหาตัวภายในคอนโดมาแล้วหนึ่งรอบ มันเวิ้งว้างว่างเปล่า โหมวยู่ออกไปแล้ว
ชางหลิงโทรศัพท์หาซูเสี่ยวเฉิงทันที “เสี่ยวเฉิงจื่อ คนที่แกหามานั้นรู้ไหมว่าโหมวยู่ไปไหน?”
“ห๊ะ? คุณชายรองโหมวออกไปแล้วเหรอ? ฉันไปถามแป๊บหนึ่งนะ”
ซูเสี่ยวเฉิงกำลังนั่งดูแฟชั่นโชว์อยู่ที่บ้าน พอโดนชางหลิงถามมาจนหน้าเสีย เลยรีบติดต่อเด็กอ้วนที่อยู่ชั้นบนทันที
ไม่นานนักเธอก็ได้ข้อความตอบกลับมา “คนที่สะกดรอยตามคุณชายรองโหมวพูดว่าเขาไปที่เป่ยเม้าโก๋จี้ แต่ว่าตึกนั้นมีแค่พนักงานเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ เขาเองก็ไม่รู้รายละเอียดว่าคุณชายรองโหมวไปพบเจอกับใคร”
เป่ยเม้าโก๋จี้ ที่นั่นเป็นศูนย์การแพทย์ของหลินจื้อไม่ใช่เหรอ?
โหมวยู่แอบลับๆ ล่อๆ หนีเธอไปเช่นนี้ ร่างกายของเขาต้องเกิดปัญหาขึ้นมาเป็นแน่
เมื่อเห็นทุกครั้งที่เขาออกไปและกลับมาถึงบ้านด้วยท่าทางสภาพอิดโรยเช่นนั้นแล้ว และด้วยการเตรียมตัวทำงานเหล่านั้นด้วย ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาอาการหนักเอาการมากแล้วเหรอ?
ให้ตายสิ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ทำไมถึงปิดได้อย่างมิดชิดไม่มีพิรุธใดๆได้ขนาดนี้ ยังคิดว่าเธอเป็นคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาไปชั่วชีวิตหรือเปล่าเนี่ย
เธอระงับกับความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ พลางใช้น้ำเสียงอันสงบนิ่งพูดกับซูเสี่ยวเฉิง “โอเค ฉันรู้เรื่องแล้ว ลำบากเพื่อนอย่างแกด้วยนะ งั้นให้เขามาที่ใต้ตึกบ้านฉันตอนกลางคืนมาดูโหมวยู่สักหน่อยว่าทำอะไรอยู่ใต้ตึก?”
“อื้อ เสี่ยวหลิงหลิงแกอย่าเพิ่งใจร้อนเกินเหตุนะ ระวังสุขภาพร่างกายของตัวเอง หรือว่าให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับแกเอาไหม”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องให้แกมาหรอกลำบากเปล่าๆ”
ตอนนี้ในหัวสมองของชางหลิงสับสนไปหมด ไม่มีความคิดจะมาคุยอะไรกับซูเสี่ยวเฉิงจริงๆ เรื่องส่วนตัวระหว่างเธอกับโหมวยู่ก่อนหน้านี้เธอไม่อยากให้เพื่อนสนิทรู้มากเกินควร
“ได้ งั้นพวกเราค่อยนัดกันวันหลัง” หลังจากซูเสี่ยวเฉิงกดวางสายแล้วก็ถอนหายใจยาวๆออกมา
เฮ้อ การอยู่กับคุณชายรองโหมวผู้มีวุฒิภาวะสูงเช่นนั้นช่างเหนื่อยใจเหลือเกิน ชางหลิงเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องขนาดนั้นต้องวุ่นวายจนสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน เธอยังคงชอบใช้ชีวิตที่มีแต่ความสุขราบเรียบอบอุ่นของตนเองกับหลีซินอยู่ดี
ส่วนทางหลินจื้อนั้น หลังจากที่โหมวยู่ไปหาแล้วก็พูดเร่งรัดทันที “หลินจื้อ ยาของฉันใกล้จะหมดแล้ว นายรีบจ่ายยาให้ฉันมากกว่าเดิมหน่อย ฉันไม่สะดวกที่จะออกมาบ่อยๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าของโหมวยู่ที่ดูย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ในใจของหลินจื้อนั้นพลันปวดใจ เพราะว่าเขาเห็นคุณชายรองโหมวเติบโตมาตั้งแต่ตนเองเป็นเด็ก ตอนนี้มาเห็นทางที่เขาเลือกเดินว่าไม่สามารถหวนกลับมาได้กับตาของตัวเอง ถ้าพูดว่าไม่มีความรู้สึกละอายใจนั่นโกหกแล้วแหละ
“คุณชายรอง พลังอันยิ่งใหญ่ร่างกายของคุณหมดลงแล้ว คุณรีบเข้าการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเถอะ? อย่าถ่วงเวลาอีกเลย”
“อย่าพูดมาก รีบจ่ายยามา”
โหมวยู่เห็นหลินจื้อเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆเลย จนเริ่มแสดงอาการเบื่อจนต้องขมวดคิ้วเอาไว้
ไม่ง่ายเลยที่เขาจะฉีดพ่นยาลงบนหมอนของชางหลิงช่วยให้หลับสนิท ก็เพื่อไม่ให้เธอรู้ว่าเขาออกจากบ้านแล้ว เลยไม่มีเวลาพอจะมานั่งเสียเวลาอยู่ที่นี่
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
หลินจื้อก้มหน้าก้มตาเดินออกไป พร้อมทั้งคิดอยู่ในใจการที่ชางหลิงไม่พบความผิดปกติของโหมวยู่แม้แต่น้อยถือว่าผิดปกติแล้ว
เผลอแป๊บเดียวหลินจื้อก็เอายาจำนวนมากกว่าเดิมสองเท่าของก่อนหน้านี้เอามาให้โหมวยู่ โหมวยู่ตะลึงเล็กน้อย เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? เขาอ้าปากอยากถามอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเหลือบตามองเวลาบนนาฬิหาข้อมือแล้ว ก็พูดขอบคุณและก้าวเท้ายาวๆออกมาทันที
ตลอดทางการขับรถกลับนั้นโหมวยู่ขับรถเร็ว เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เขายังจงใจขับอ้อมถนนเพื่อไปซื้อเค้กที่ดังมากในอินเทอร์เน็ตที่ชางหลิงชอบมาด้วย
เมื่อเข้ามาในคอนโดแล้ว ก็เห็นชางหลิงนั่งอยู่บนโซฟาตามปกติ โหมวยู่เริ่มแสดงอาการหดหู่ใจเล็กน้อยจนต้องเบนหนีจากสายตาของเธอ พลางจงใจพูดด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“หลิงเอ๋อตื่นแล้วเหรอ หิวหรือเปล่า ผมตั้งใจออกไปซื้อเค้กที่ดังในอินเทอร์เน็ตที่คุณชอบที่สุดมาเลยนะ มาชิมเร็ว”
โหมวยู่อ้าปากพูดเพื่อกันท่าคำพูดของชางหลิงที่อยากจะพูดออกมา เธอเองก็ไม่อยากซักไซ้ถามให้มากอีก ทำได้แค่เดินไปกินเค้ก
เค้กนุ่มเนียนละมุนรสชาติหวานหอมเมื่อตักใส่ปากแล้วกลิ่นมันก็อบอวลเต็มปาก ทว่าหัวใจของเธอไม่ได้มีความรู้สึกหวานหอมไปด้วยแม้แต่น้อย เมื่อเอามาเทียบกับโหมวยู่แล้ว ไม่ว่าเค้กจะอร่อยสักเพียงใดก็ไม่มีความรู้สึกอยู่ดี
พอกินไปได้สองคำเธอก็ไม่รู้สึกอยากอีกแล้ว กระทั่งจนเกิดอาการตีกลับขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าเธอจู่ๆก็หยุดกิน โหมวยู่เลยถามกลับ “หลิงเอ๋อคุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่สบายตรงไหนไหม ผมจะไปเรียกให้หลินจื้อมาเดี๋ยวนี้เลย”
ชางหลิงรีบห้ามทันที “ไม่ต้องหรอก เมื่อกี้กินเยอะไปหน่อย ตอนนี้กินไม่ลงแล้ว เค้กอร่อยมากค่ะ คุณก็ลองชิมดูนะ”
“ได้สิ”
เรื่องที่อยู่ในใจนั้นมันเยอะเหลือเกิน โหมวยู่ลืมว่าไปเสียสนิทว่าตนเองแทบไม่แตะต้องของหวานเลย เขารับเค้กคำนั้นที่ชางหลิงป้อนให้เขาตามปกติ จนจับสัมผัสได้ว่าแววตาของชางหลิงที่มองมาที่เขานั้นผิดปกติไป เลยหยุดกินและถามกลับ
“ทำไมเหรอ? บนหน้าผมมีอะไรเหรอ?”
“เปล่า เค้กอร่อยไหม?”
ชางหลิงฝืนให้ตัวเองยิ้มออกมา พลางถามกลับอย่างอ่อนโยน
“อร่อย”
โหมวยู่พยักหน้า พร้อมทั้งตอบกลับอย่างจริงจัง
โหมวยู่ที่รังเกียจการกินของหวานที่สุดจะรู้สึกกับเค้กที่ทั้งเลี่ยนขนาดนี้ให้เป็นของอร่อยไปได้อย่างไรกัน?
เห็นการแสดงออกอย่างจริงจังของเขาไม่เหมือนว่ากำลังโกหกแม้แต่น้อย โหมวยู่ไม่จำเป็นต้องดูถูกพูดโกหกมาเพื่อเอาใจเธอแบบนี้
จิตใจของชางหลิงในเวลานี้คลื่นซัดถาโถมพลิกตีไปหลายตลบตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่สามารถแสดงให้เขาเห็นถึงความรู้สึกใดๆได้ ได้แต่หาเหตุผลให้ตัวเองเพื่อกลับไปหลบในห้อง
วินาทีที่ปิดประตูในเวลานั้น น้ำตาของชางหลิงก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่จนมันไหลรินออกมา ด้วยความกังวลถึงสภาพร่างกายของโหมวยู่ยิ่งทำให้ร่างกายอันผอมแห้งแรงน้อยของเธอสั่นสะท้าน เธอกอดแขนตัวเองเอาไว้แน่น พลางนั่งหันหลังพิงกับบานประตูและนั่งลงบนพื้นอย่างช้าๆ ศีรษะมุดลงตรงหัวเข่า พร้อมทั้งเม้มริมฝีปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องไห้ของตนเองเล็ดลอดออกมา
มันไม่ง่ายเลยที่จะทนให้ถึงตอนกลางคืน โหมวยู่ก็ยังทำเหมือนเมื่อก่อนเฉกเช่นเดิมก็คือการออกไปวิ่ง หลังจากที่ตรวจสอบว่าเพื่อนซูเสี่ยวเฉิงมาถึงแล้ว ชางหลิงก็นั่งรอคอยบนโซฟาด้วยอาการร้อนรน
แป๊บเดียว เธอก็ได้รับข้อความจากซูเสี่ยวเฉิง
“หลังจากที่คุณชายรองโหมวกลับไปที่ใต้ตึกคอนโดแล้วก็เอาแต่อยู่ในรถตลอด มองไม่เห็นว่าเขาทำอะไรอยู่ในรถ?”
“รบกวนให้เพื่อนของแกจับตาดูเขาต่อ”
หลังจากนั้น 20 นาที ก็ถึงเวลาที่โหมวยู่จะกลับมาแล้ว ชางหลิงก็ได้รับข้อความจากซูเสี่ยวเฉิงอีกครั้ง
“คุณชายรองโหมวนั่งอยู่ในรถตลอด 20 กว่านาที ตอนนี้ออกจากรถแล้ว ดูจากสภาพแล้วเขาเหนื่อยมาก เดินก็ช้ามาก แถมยังปาดเหงื่ออยู่ตลอดเวลา”
“ฉันรู้แล้ว ขอบใจนะ”
หลังจากที่ชางหลิงตอบกลับข้อความของซูเสี่ยวเฉิงก็จัดการลบข้อความออกทันที แถมยังสั่งให้ทางฝั่งซูเสี่ยวเฉิงที่ออกคำสั่งการกับคนทางฝั่งนั้นลบข้อความเหล่านั้นออกด้วย
ตกลงแล้วโหมวยู่ไปทำอะไรอยู่ในรถกันแน่?
นั่งเฉยๆอยู่ในนั้น 20 กว่านาทีแล้วเหนื่อยจนเขาเหนื่อยจนอยู่ในสภาพนั้นเลยเหรอ?
แม้ว่าเธอจะเชื่อใจโหมวยู่มากก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกเสมอว่าความรู้สึกของพวกเธอสามารถทนต่อการทดสอบ อีกทั้งโหมวยู่ก็ไม่ใช่คนเคยทำตัวฉาบฉวยหลงระเริงไปกับความสวยงาม
ทว่า ตอนนี้ถือว่าสถานการณ์มันเกินคาด ถ้าเกิดว่าโหมวยู่คิดเตลิดไปไกลแล้ว แล้วทำเรื่องที่ต้องขอโทษกับเธอล่ะ?
ถึงอย่างไรทุกวันเขามัวแต่ไปขลุกตัวไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่ในรถทุกวันทั้งตอนเช้าและตอนเย็น 20 กว่านาที พอออกจากรถก็อยู่ในสภาพเหนื่อยล้าถึงขั้นนี้เลยเหรอ?
ผิดปกติขนาดนี้ เธอไม่รู้จะไปสรรหาเหตุผลใดๆ มาช่วยแก้ตัวให้เขาแล้วได้จริงๆ
เวลานั้นเอง ประตูห้องคอนโดก็เปิดออก และร่างกายเดินเข้ามาในสภาพเหนื่อยล้า พอเดินเข้าประตูก็มาดื่มแก้วใหญ่ๆ ทันที จากนั้นก็เงยหน้าเอนพิงกับโซฟาโดนไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
ความคิดต่างๆ นานาของชางหลิงผุดแผนการขึ้นมานับไม่ถ้วน จนสุดท้ายเธอรีบจัดการปัญหานี้อย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากฉุดรั้งยื้อต่อไปแล้ว ความรู้สึกการที่โดนคนข้างกายปิดบังมันเป็นการทรมานที่สุดแล้ว