ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันแบบนี้มานานมากแล้ว ต่างคนต่างไม่คุ้นชินกัน ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรกันต่อดี
หลังจากเงียบงันกันมาสักพัก โหมวยู่ก็เรียกทนายข้างนอกให้เข้ามาด้านใน พร้อมทั้งเอาเอกสารทั้งหมดวางยาวกันเป็นแถวต่อหน้านายท่านโหมว “เซ็นชื่อเถอะ”
“ตารอง …..”
นายท่านโหมวอยากจะเกลี้ยกล่อมลูกชายอีกครั้ง นี่เขาจะยอมปล่อยวางทุกอย่างไปแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม? ทำไมตารองดูไม่ดีใจ แล้วเขาจะดีใจไปได้อย่างไรกัน
โหมวยู่เบนสายตาหนี ไม่ได้จ้องมองแววตาที่แสนเศร้าโศกของนายท่านโหมว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน นายท่านโหมวก็ถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างเบื่อหน่าย พลางเซ็นชื่อตรงจุดที่ควรจะเซ็นด้วยอาการมือสั่นเทา
หลังจากเซ็นชื่อเสร็จแล้ว เขาก็ทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างทิ้งตัว หน้าดำคร่ำเครียด ดวงตาหม่นหมองไร้แววตา ราวกับแก่ลงกว่าเดิมอีก 10 กว่าปีในชั่วขณะนั้น
เมื่อมองเห็นชายชรานั่งอยู่บนโซฟาอย่างโดดเดี่ยว เป็นครั้งแรกที่โหมวยู่รับรู้ได้อย่างชัดเจน ที่แท้เขาก็แก่แล้ว เขาเองก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ทว่าไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาสองคนยังสามารถพูดอะไรได้ จนสุดท้ายแล้วได้แต่พูดคำพูดห้วนๆอย่างมะนาวไม่มีน้ำออกไป “รักษาสุขภาพ”
โหมวยู่สาวเท้าก้าวยาวๆเดินออกไปทางด้านนอก พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้หลินจื้อที่อยู่ด้านนอกมาดูสุขภาพร่างกายของนายท่านโหมว หลินจื้อที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าห้องรับแขก ด้านในก็มีเสียงนายท่านโหมวตะโกนแหกปากด้วยความโกรธเคืองเต็มที่ดังออกมา “ไสหัวออกไป!”
ตอนที่ด่าทอคนมีพลังขนาดนี้ ดูแล้วสุขภาพร่างกายของนายท่านโหมวจะดีกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลโหมวแล้ว ตอนแรกโหมวยู่คิดไว้คือไปหาชางหลิงทว่าเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วครู่ ตอนนี้สภาพร่างกายของจี้เหยากวงก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว เขาต้องไปดูอาการด้วยตนเองให้เห็นกับตาสักหน่อย แล้วค่อยสั่งการต่อ
เพราะว่าเขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของหัวหน้าหน่วยจี้ เขาไม่สามารถที่จะปล่อยปละละเลยไม่ถามไถ่สักคำ
······
ช่วงที่โหมวยู่เปิดเครื่องเป็นครั้งแรกนั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์ของป๋ายจื๋อก็ปรากฏจุดสีเขียวเล็กๆ ให้เห็น หนึ่งจุด ในเวลานั้นเขารีบแจ้งสถานการณ์ตอนนั้นให้ชางหลิงรับรู้ทันที
“โหมวยู่เปิดเครื่องแล้ว”
“ที่ไหน?” แววตาของชางหลิงฉายอาการเซอร์ไพรซ์ออกมา พลางถามกลับทันท่วงที
“เป่ยเม้าโก๋จี้”
ชางหลิงเข้าใจทันที เธอรู้ว่าสภาพร่างกายของโหมวยู่ต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน ไม่งั้นพฤติกรรมผิดปกติของเขาในระยะนี้แทบไม่มีวิธีอธิบายได้เลย
“คุณต้องการจะโทรศัพท์หาเขาไหม?” ป๋ายจื๋อไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ อยู่ๆ ก็เอ่ยปากพูด
ทว่าชางหลิงพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “ไม่โทร”
ทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับว่าเธอผิดทุกครั้งไป หรือว่าโหมวยู่ไม่เคยทำผิดมาก่อนเลยเหรอ? ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพราะว่าเธอ เธอยอมรับแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ ต้องให้โหมวยู่มาก้มหัวและอธิบายให้ชัดเจนถึงจะได้ เพิ่งจะแต่งงานแต่กลับไปทำอะไรต่อมิอะไรกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าเป็นขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมันไม่ถูกต้อง
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอย่อมรู้ดีว่ารอบกายคุณชายผู้มั่งคั่งไม่ขาดผู้หญิง ทว่าเธอเชื่อว่าโหมวยู่ไม่ใช่คนเช่นนั้น ความรู้สึกของพวกเขาไม่เหมือนกัน
“นี่เขาจะไปไหนเนี่ย?”
หลังจากที่จุดสีเขียวปรากฏขึ้นที่จุดแรกแล้ว ไม่นานก็เริ่มมีการขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว
ป๋ายจื๋อเหลือบตามองถนนโดยรอบ “น่าจะไปที่คฤหาสน์ตระกูลโหมว”
เมื่อได้ยินว่าสถานที่ที่โหยวยู่จะไปคือคฤหาสน์ตระกูลโหมว หัวใจที่ค้างเติ่งของชางหลิงสบายใจไปครึ่งหนึ่ง โชคดีที่ว่าเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปหาผู้หญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหล่านั้นในตอนแรกเลย
ชางหลิงจ้องมองจุดสีเขียวที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเบื่อหน่าย พลางเอาของกินยัดใส่ปากของตนเองอยู่ตลอด ช่วงระยะแพ้ท้องผ่านไปแล้ว ความอยากอาหารของเธอนั้นดีขึ้นมาก เมื่อเอามาเปรียบเทียบก่อนหน้านี้แล้ว การกินอาหารของเธอนั้นเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว
สิ่งที่น่ายินดีเพียงอย่างเดียวก็คือ ไม่ว่าเธอจะกินอย่างไร แขนขาก็ยังเพรียวบางอยู่เช่นนั้น ขนาดแก้มที่ชอบป่องอยู่ตลอดยังไม่ออกแก้มเลย แถมหน้าตายังดูสดใสมีน้ำมีนวล และยังมีพลังอีกมากมายก่ายกองขึ้น ลูกในท้องก็เชื่อฟังเป็นเด็กดีมาก
การดูแลร่างกายเป็นอย่างดี อารมณ์ที่ไม่ดีที่มาจากตัวของโหมวยู่ก็ค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย ถ้าตอนนี้โหมวยู่กลับมาอีกครั้ง เธอก็น่าจะฟังคำอธิบายของเขาได้อย่างสงบใจว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ชางหลิงนั่งกอดเข่าตากแดดอยู่บนโซฟาอย่างขี้เกียจ ไม่นานนักเธอก็เห็นจุดสีเขียวบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เริ่มขยับอีกครั้งแล้ว
ตอนที่เธอใจจดใจจ่อดีใจเฝ้ารอคอยโหมวยู่ให้มาหาเธอที่คอนโด พลันเกิดอาการประหลาดใจขึ้นมาแทนเพราะพบว่าทิศทางที่โหมวยู่ไปไม่ใช่คอนโดเธอ แต่เป็นวิลล่าหนานวานที่จี้เหยากวงพักอาศัยอยู่ในเวลานี้
หัวใจของชางหลิงเริ่มกระวนกระวายใจ จู่ๆ ก็มีความรู้สึกผิดหวังและน้อยใจถาโถมเข้ามาจนทำให้เบ้าตาของเธอนั้นเริ่มน้ำตาคลอเบ้า
โหมวยู่ คุณอย่าอยู่ที่วิลล่าหนานวานนานเกินควรนะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาหาฉันที่นี่อีกเลย
วิลล่าหนานวาน โหมวยู่รีบร้อนลงจากรถ แถมไม่สนใจจี้เหยากวงที่กำลังรินน้ำชาให้อย่างขะมักเขม้นที่อยู่ข้างๆเลย พลางเรียกหมอเจ้าของไข้ที่รักษาจี้เหยากวงมาเพื่อสอบถามอาการถึงสภาพร่างกายของจี้เหยากวงในเวลานี้ จากนั้นก็สั่งการออกไปไม่กี่ประโยค เพื่อให้ต่อไปจี้เหยากวงมีชีวิตอยู่ดีมีสุข จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินจากไปเลย
จี้เหยากวงจ้องมองแผ่นหลังของโหมวยู่ด้วยสายตาที่ผิดหวัง พลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในที่สุดเธอก็มองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นมันเหินห่างกันมากเหลือเกิน พฤติกรรมความพยายามทุกอย่างของเธอก่อนหน้านี้ในสายตาของโหมวยู่ก็แค่ตัวตลกที่สร้างความอัปยศอดสูให้กับตัวเองเท่านั้นเอง
เธอค่อยๆจิบชาที่เตรียมไว้ให้โหมวยู่ ตอนที่ดื่มเข้าปากนั้นขมเล็กน้อย จากนั้นก็หวาน รสชาติอร่อยมาก การได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวทำให้เธอค้นพบอย่างประหลาดใจมาก ที่แท้การที่ไม่มีโหมวยู่อยู่ด้วย ชีวิตของเธอมันสบายมากขึ้นกว่าเดิม
ชางหลิงจ้องมองจุดสีเขียวที่ปรากฏอยู่ในจุดของวิลล่าหนานวานแค่ 3 นาทีสั้นๆเท่านั้นเอง หางตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ของชางหลิงคลี่รอยยิ้มออกมาทันที
ตอนไหนกันที่เธอกลายเป็นคนที่อ่อนไหวและสงสัยอะไรมากมาย แถมในใจยังคิดนู่นคิดนี่อ่อนไหวไปหมด ต้องเป็นเพราะสาเหตุกำลังตั้งท้องอยู่แน่ๆ
พูดกันว่าท้องแล้วจะโง่ไป 3 ปี นี่หมายความว่าเธอเป็นคนโง่บ้าบอไปแล้วใช่ไหมเนี่ย?
เมื่อมองจุดเล็กๆ สีเขียวที่เริ่มขยับและมุ่งหน้ามาที่คอนโดของตนเองอย่างรวดเร็วแล้ว มุมปากของชางหลิงฉีกยิ้มอย่างอดไม่ได้ นัยน์ตาทอประกายการรอคอยออกมาทันที
ไม่ได้เจอกันมา 5 วันแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขาแล้ว อยากจะสูดกลิ่นกายอันคุ้นเคยของเขา อยากได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา
ในที่สุด ตอนที่ชางหลิงกำลังตกอยู่ในภวังค์ด้วยความคาดหวังนั้น ในที่สุดจุดเล็กๆ สีเขียวก็หยุดอยู่ใต้ตึกคอนโดของเธอ ชางหลิงแอบนับเวลาอยู่เงียบๆ ว่าโหมวยู่ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการขึ้นลิฟต์มา เธอควรจะไปยืนรอตรงประตูก่อน หรือว่าทำทีแกล้งเป็นไม่รู้เรื่องดี เพื่อรอให้เขาเคาะประตูจากนั้นค่อยไปเปิดประตูด้วยท่าทีสงบนิ่งดีนะ
เวลาในการขึ้นลิฟต์ผ่านไปแล้วสองรอบ ชางหลิงไม่ทนรอให้มีเสียงกดออดหน้าประตูด้วยซ้ำ
เธอรออยู่ประมาณสิบนาที ในที่สุดก็ได้ยินเสียงกดออกที่รอคอย เธอมีคำพูดอีกมากมายที่อยากจะพูดกับโหมวยู่ ทว่าวินาทีที่เปิดประตูออกมานั้นก็กลืนคำพูดลงคอไปแล้ว
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั้นไม่ใช่คนที่ชางหลิงเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เป็นทนาย 5-6 คนแทน ชางหลิงมองพวกเขาเหมือนคุ้นตาอยู่บ้าง จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่สักครู่ถึงได้พบว่าเป็นกลุ่มทนายที่ครั้งที่แล้วโหมวยู่พากลับมาด้วย
“คุณหนูชาง สะดวกให้พวกเราเข้าไปไหมครับ?”
ชางหลิงยืนอยู่ตรงประตูแต่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ทนายที่เป็นหัวหน้าถามออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
“เชิญค่ะ” เธอรีบเชิญคนให้เข้ามาด้านใน เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองเผลอตัวไปแล้ว
“คุณชางหลิง นี่เป็นทรัพย์สินที่คุณโหมวยู่โอนให้คุณ เอกสารที่ต้องทำก็ทำไว้ให้หมดแล้ว หลังจากแจ้งการตรวจสอบเบื้องต้นไปแล้วก็จะมีผลทันที คุณชางหลิง นี่คือสัญญาที่คุณต้องเก็บเอาไว้ กรุณาเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี”
ชางหลิงรับสัญญามาหนึ่งกองพะเนิน เหมือนตั้งสติไม่ค่อยทัน
โหมวยู่จัดการเรื่องนี้ได้รวดเร็วขนาดนี้เชียว เขาไปพูดให้ชนะนายท่านโหมวอย่างไรเนี่ย นายท่านโหมวเกลียดเธอเข้าไส้ ทำไมถึงได้ยืนมองลูกชายของตัวเองโอนทรัพย์สินทั้งหมดมาให้เธอทั้งหมดล่ะ?
จนเวลาที่ทนายหลายคนกลับไปแล้ว ห้องรับแขกก็กลับมาเวิ้งว้างว่างเปล่าอีกครั้ง ชางหลิงถึงได้สติกลับมา โหมวยู่มาอยู่ใต้ตึกก็เพื่อให้คนมาส่งเอกสารสัญญาให้กับเธอ ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในสภาพถึงขั้นไม่สามารถเจอหน้าเจอตากันได้แล้วใช่ไหม?