“แค่ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดาเอง คนเราอายุมากขึ้นแล้ว ภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี เลยฟื้นตัวช้ามาก ป่วยติดต่อกันครึ่งเดือนถึงจะดีขึ้น ตอนนี้สภาพร่างกายยังปรับสภาพไม่ทัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าอันสดใสของซูเสี่ยวเฉิงพลางมีสีหน้าเคร่งเครียดปรากฏออกมาให้เห็นอยู่จางๆ
ชางหลิงเพิ่งค้นพบว่า เพื่อนสนิทที่ไม่เคยเป็นห่วงหรือกังวลอะไรที่อยู่ข้างกายเธอไม่รู้ว่าโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ตอนไหนกัน ตั้งแต่ถูกพ่อแม่เลี้ยงเป็นคุณหนูแบบไข่ในหินจนกลายเป็นที่พึ่งพาของครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว
“อย่ากังวลเกินเหตุ ดีขึ้นแน่ รอแกเสร็จธุระสองวันนี้ก่อน ฉันจะไปเยี่ยมคุณน้ากับแก แกก็จริงๆ เลยนะ คุณน้าป่วยยังไม่ปริปากบอกฉันสักคำ ถ้าวันนี้ฉันไม่ถามแก แกก็จะไม่พูดออกมาใช่ไหม”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของชางหลิงที่ดูไม่สบอารมณ์แล้ว ซูเสี่ยวเฉิงรีบอธิบายทันควัน “เสี่ยวหลิงหลิงอย่าโกรธเลย แม่ฉันไม่อยากให้ฉันบอกกับแก แม่บอกว่าคนท้องห้ามยุ่งกับคนป่วย เดี๋ยวจะติดหวัดกันไปด้วย”
“นี่แกโง่หรือเปล่า ความเชื่อบ้าบอแบบนี้แกก็เชื่อ” ชางหลิงเคาะหน้าผากของซูเสี่ยวเฉิงเบาๆ
“ฉันก็ไม่อยากให้แกเสี่ยงป่วยตาม” ซูเสี่ยวเฉิงยังคงยืนกรานอยู่มาก และคิดถึงเจ้าตัวเล็กของชางหลิงด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าพึ่งพาได้แต่เธอก็มิอาจที่จะไม่เชื่อ
“ยอมแพ้แกแล้วแหละ รีบไปซื้อของกันเถอะ อาศัยที่มีคนเขาช่วยถือของให้ใช้แรงฟรีๆ ก็ต้องซื้อเยอะๆ”
ทั้งสามคนมุ่งหน้าเข้าไปในห้องสรรพสินค้าเดินจนทั่ว โชคยังดีที่ซูเสี่ยวเฉิงเขียนรายการอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย ทั้งสามคนแยกย้ายกันทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้ในการซื้อของนั้นถือว่าสูงมาก หลังจากเดินกวาดซื้อของมาแล้วสองชั่วโมงก็สามารถจัดการซื้อของในรายการได้พอสมควรแล้ว
“ในที่สุดก็ซื้อเสร็จแล้ว” ซูเสี่ยวเฉิงก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “เสี่ยวหลิงหลิง ป๋ายจื๋อ ขอบคุณพวกแกมากจริงๆ เลย พวกเราไปหาของกินกันเถอะ ฉันเลี้ยงพวกแกเอง”
ชางหลิงยังไม่ทันได้ตอบอะไร ป๋ายจื๋อก็พูดโพล่งออกมาทันที “พวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“ห๊ะ? พวกแกจะกลับไปกินที่บ้านกันเหรอ งั้นได้ วันอื่นค่อยนั้นกันฉันเลี้ยงเอง”
เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวเฉิงยิ้มแห้งๆ ให้ ชางหลิงก็รีบพูดหาข้ออ้างทันที เพื่อไว้หน้าระหว่างกันจะได้ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า “คืองี้ฉันก็ต้องดูแลร่างกายให้ดี ต้องกินอาหารมีพวกโภชนาการ เลยไม่สะดวกกินข้าวนอกบ้าน ขอโทษด้วยนะเสี่ยวเฉิงจื่อ”
“แบบนี้เอง ฉันไม่ทันคิดให้รอบคอบ เสี่ยวหลิงหลิงแกก็รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ แกต้องพลอยเหนื่อยไปด้วยเลย”
“ฉันไม่เหนื่อย แกก็รีบกลับบ้านเร็วๆ แล้วกัน”
หลังจากที่กลับมาถึงรถแล้วนั้น ก็เหลือแค่ตนเองกับป๋ายจื๋อแล้ว ชางหลิงอดไม่ได้จนต้องพูดออกมา “ป๋ายจื๋อ ต่อไปเวลาคุยกับเด็กผู้หญิงสามารถพูดจาอ่อนน้อมลงหน่อยได้ไหม”
“ผมพูดไม่เป็น” ป๋ายจื๋อหน้าเคร่งเครียด อารมณ์แสดงออกมาว่าไม่ค่อยดีจนเห็นชัด
ยากมากที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ที่ปรากฏบนหน้าของป๋ายจื๋อ ชางหลิงแปลกใจมาก “คุณเป็นอะไรเหรอ? โมโหเหรอ?”
“เปล่า”
เห็นได้ชัดว่าป๋ายจื๋อไม่อยากจะพูดกับเธอมากนัก แววตาจ้องมองไปยังทางด้านหน้า พร้อมทั้งเหยียบคันเร่งของรถยนต์เพื่อสตาร์ทรถให้เคลื่อนตัวออกไป
เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจขับรถขนาดนั้น ชางหลิงก็ไม่อยากจะไปรบกวนมากนัก จากนั้นก็จ้องมองด้านนอกกระจก และผล็อยหลับไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น รถก็มาจอดยังลานจอดรถใต้คอนโดแล้ว เธอเหลือบมองเวลา จนเกิดอาการตกใจทันที เธอนอนไปแล้วชั่วโมงกว่า
“ถึงแล้วทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ?”
“ขับช้า รถเพิ่งถึงเอง” ป๋ายจื๋อพูดจบก็ลงจากรถ พลางหันกลับมามองชางหลิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับแต่ไม่ขยับเขยื้อน พลางเดินไปช่วยเปิดประตูรถให้กับเธอ พร้อมทั้งเอามือมาวางด้านล่างใต้หลังคารถ เพื่อส่งสัญญาณให้เธอลงจากรถ
เมื่อกลับมาถึงคอนโดแล้ว ป๋ายจื๋อเพิ่งฉุกคิดได้ว่าลืมบอกเรื่องอะไรบางอย่างกับชางหลิง “ก่อนหน้านี้โหมวยู่โทรศัพท์มาหา แล้วให้คุณโทรกลับด้วย”
ชางหลิงรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว พลางรีบถามกลับ “ตั้งแต่ตอนไหน?”
“ตอนอยู่ที่เวดดิ้งสตูดิโอเหรอ?” ป๋ายจื๋อเริ่มหดหู่เล็กน้อย เขาลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท รู้สึกว่าเขาอาจจะต้องอธิบายกำกับเพิ่มไปอีกสักหน่อย “ผมลืมไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่าท่าท่างของป๋ายจื๋อรู้สึกผิดจริงๆ ชางหลิงก็ไม่มีวิธีจะโทษอะไรเขาได้ “ไม่เป็นไร ไปทำอาหารเถอะ”
ป๋ายจื๋อเหลือบมองชางหลิงอยู่สองครั้ง อยากจะพูดต่อแต่ก็ไม่พูดออกมา พลางหันตัวมุ่งหน้าไปห้องครัว เพื่อให้ชางหลิงได้คุยโทรศัพท์ได้สะดวก เลยจงใจปิดประตูให้ด้วย
ชางหลิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็เปิดบันทึกการโทรก็เห็นว่าโหมวยู่โทรศัพท์หาเธอมาแล้วสองครั้ง คือตอนที่เธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องลองเสื้อ แต่เธอไม่ได้รับสาย โหมวยู่เลยโทรศัพท์เขาเบอร์ของป๋ายจื๋อแทน
เธอรีบโทรศัพท์หาโหมวยู่ทันที ฝั่งนั้นดังอยู่ไม่กี่วินาทีก็กดรับสายแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“คุณโทรศัพท์หาฉันทำไมเหรอ?”
ชางหลิงถามกลับอย่างหดหู่ เธอเดาว่า รูปใบนั้น9-10 เปอร์เซ็นต์โหมวยู่คงเห็นแล้ว เขาขี้หึงคนอื่นซะขนาดนั้น คงจะหึงจนอกแตกตายไปแล้วมั้ง
“ไม่คิดจะอธิบายสักหน่อยเหรอ?” น้ำเสียงของโหมวยู่เย็นชากว่าจินตนาการของชางหลิงคิดได้
“อธิบายอะไรล่ะ เรื่องในร้านเวดดิ้งสตูดิโอเหรอ? ก็แค่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้นเอง ฉันกับซูเสี่ยวเฉิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของร้านเวดดิ้งสตูดิโอนั้นคือท่านชายฉี”
ชางหลิงอธิบายอย่างหมดเปลือก เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องหดหู่ด้วยซ้ำ ในทางกลับกันโหมวยู่เอง พลันหายตัวไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนานขนาดนี้ ไม่มีข่าวคราวมาสักนิด พอเอ่ยปากก็ต่อว่าต่อขานยกใหญ่ จิตสำนึกของเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดบ้างเหรอ?
“ทางที่ดีที่สุดคือแบบนี้”
“มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ฉันไม่ใช่คุณนี่ ที่มีสาวๆ มากมายรายล้อมขนาดนั้น ช่วงนี้ไปรู้จักกับสาวน้อยคนสวยคนไหนล่ะ? หลินจื้อตรงนั้นนางพยาบาลสวยไหมล่ะ?”
ชางหลิงก็รู้สึกน้อยใจมากอยู่แต่เดิมแล้ว การที่โหมวยู่ใช้อารมณ์แย่ๆ แบบนี้ใส่เธอ เธอก็ตอบแบบโกรธๆ กลับไปอย่างอดไม่ได้
โหมวยู่ไม่คิดว่าเธอจะมีอากัปกิริยาตอบสนองมากขนาดนี้ ปลายสายเงียบอยู่สักพักจนเห็นได้ชัด “ช่วงนี้ผมไม่ได้เจอผู้หญิงคนไหน”
ชางหลิงแปลกใจ เพราะโหมวยู่ไปเรียนรู้การอธิบายเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เธออารมณ์ขึ้นเขาก็เอาแต่เงียบขรึมมาตลอด จากนั้นก็หันตัวและเดินหนีไปเลยไม่ใช่เหรอ?
รอจนเธอตั้งสติกลับมาได้และอยากจะพูดอะไรต่อนั้น ก็พบว่าโทรศัทพ์ถูกตัดสายไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้วจนต้องเลิกคิ้วขึ้น ถือว่ายังเป็นคนมีจิตใจที่ดีอยู่บ้าง รู้ว่าตัวเองเป็นคนมีลูกมีเมียแล้ว
เวลาค่อยๆ เลื่อนผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนใกล้ถึงวันที่ 20 เดือนพฤษภาคมแล้ว ทุกวันชางหลิงก็จะเฝ้ารอคอยในท่ามกลางความวิตกกังวล
สองสามวันก่อนตอนที่ไปเยี่ยมน้าซูพร้อมกับซูเสี่ยวเฉิงนั้น ซูเสี่ยวเฉิงก็ได้ถือวิสาสะเอาชุดแต่งงานชุดนั้นให้เธอมาด้วย ทุกวันนี้เธอมัวแต่เอาชุดนี้มาดูซ้ำแล้วซ้ำอีกวันละหลายรอบ แถมยังลองใส่อย่างอดไม่ใจอีกตั้งหลายครั้ง จนชุดแต่งงานถูกเธอเกาะแกะจนเริ่มยับยู่ยี่แล้ว
นอกจากความคาดหวังและเดินหน้าต่อไปของเจ้าสาวทั่วไปแล้ว ในใจยังมีคงามวิตกกังวลบางอย่างที่ไม่มั่นใจเกิดขึ้นด้วย
แม้ว่าน้ำเสียงของทุกคนที่อยู่รอบข้างเธอต่างฟังออกว่าโหมวยู่กำลังเตรียมจัดงานแต่งงานให้กับเธอ ทว่าโหมวยู่ไม่ได้อธิบายกับเธอตรงๆ เธอเฝ้ารอคอยกับเซอร์ไพรส์ที่มาอย่างกะทันหันเรื่องนี้มาก แต่ในใจก็เป็นห่วงว่าความหวังทุกอย่างที่เฝ้ารอคอยอยู่นั้นมันจะว่างเปล่าเหมือนจินตนาการในห้วงความฝัน จนเวลาล่วงเลยไปนานความจริงแล้วมันก็คือจินตนาการที่เพ้อฝันของตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง
“ป๋ายจื๋อ คุณว่าวันที่ 20 เดือนพฤษภาคมโหมวยู่เขาเตรียมจัดงานแต่งงานในวันนั้นให้ฉันจริงๆ ใช่ไหม?”
คำถามนี้ชางหลิงถามป๋ายจื๋อมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าป๋ายจื๋อจะไม่ได้รู้สึกแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาแต่ตัวเขาเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ช่วงนี้คุณนอนไม่พอเหรอ นอนเยอะๆ นะ” ความหมายในคำพูดนั้นคือให้เธอหยุดคิดเตลิดไปไกล
เรื่องงานแต่งงานก่อนหน้านี้โหมวยู่ก็เคยพูดกับเขา ซึ่งหลายวันก่อนนั้นสภาพร่างกายของเขายังไม่แสดงอาการหนักจนร้ายแรงออกมาให้เห็น พวกเขาก็จะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่
เพราะว่าตระกูลโหมวเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ถึงเพียงนี้ มีเพียงการจัดงานแต่งงานที่ถูกต้อง ชางหลิงถึงสามารถมาเป็นสมาชิกของตระกูลโหมวได้จริงๆ ถึงได้ถูกยอมรับการเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลโหมวอย่างเป็นทางการ โหมวยู่ไม่อยากให้ฐานะชางหลิงกับลูกถูกคนถกเถียงกันในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงต้องเสี่ยงในช่วงเวลาท่ามกลางอันตรายมากที่ต้องการจะจัดงานแต่งงานนี้ขึ้นมา
ทว่าร่างกายของโหมวยู่ในเวลานี้ไม่สามารถควบคุมอาการไว้ได้ จะถึงวันนั้นหรือไม่ ใครก็ไม่สามารถรับประกันได้