เมื่อเห็นท่าทีของป๋ายจื๋อที่ดูไม่อยากพูดจาอะไร ชางหลิงรู้ว่าเขาคงจะโดนถามจนรำคาญไปเสียแล้ว ก็เลยเปลี่ยนจุดประสงค์ด้วยการกลับห้องแล้วโทรศัพท์ เพื่อระบายความรู้สึกกับซูเสี่ยวเฉิง
ก็ยังดีที่ว่าซูเสี่ยวเฉิงพอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอบ้าง ก็เลยพยายามให้กำลังใจเธอ แถมยังแอบบอกเรื่องเซอร์ไพรส์เธออีกด้วย ” เมื่อวานฉันไปแอบถามหลีซินมา เรื่องงานแต่งงาน คุณชายรองโหมวให้ฉู่ฉือจัดเตรียมให้พวกเราทั้งสองคน คุณชายรองโหมวรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราดี แล้วยังเป็นเกียรติให้งานแต่งงานของพวกเธอกับงานแต่งงานของพวกฉันจัดพร้อมกันด้วยนะ คุณชายรองโหมวดีกับเธอจริงๆ เลย ”
” จริงเหรอ ” ชางหลิงได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ก็วางความกังวลไปได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
” ก็จริงน่ะสิ หลีซินถามฉันว่าวันที่เราไปลองชุดแต่งงานวันนั้นทำไมถึงไปเจอคุณชายฉี่ได้ล่ะ แล้วยังบอกอีกว่าคุณชายรองโหมวเห็นรูปถ่ายนั้นแล้วโกรธมาก ฉันเลยถามไปว่า แล้วคุณชายรองโหมวของเขาทำไมถึงเห็นภาพถ่ายมันได้ล่ะ เขาก็บอกว่า คุณชายรองโหมวส่งพวกเขาไปปรึกษาเรื่องพิธีแต่งงานน่ะ ”
” พวกเขาปกปิดได้แนบเนียนชะมัด ส่วนฝั่งฉันแม้แต่ข่าวคราวการเคลื่อนไหวก็ไม่เห็นจะพูดถึง ก่อนหน้านี้ได้ยินถงเอินพูดฉันยังไม่เชื่อเลย ”
ถึงคนที่อยู่รอบข้างจะทำตัวมีลับลมคมในกับเธอ เพราะโหมวยู่กำลังจัดเตรียมงานแต่งงานให้พวกเธอทั้งสองคน แต่ชางหลิงมักจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง ตอนนี้พอได้ยินจากปากเพื่อนรักของตัวเอง ใจของเธอก็เริ่มรู้สึกมั่นคงและอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
” ไอ้หยา เสี่ยวหลิงหลิงวางใจเถอะ พักผ่อนได้แล้ว เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดอย่างสบายใจเฉิบจะดีกว่า ” ซูเสี่ยวเฉิงพูดจบก็ยังพูดออกมาอย่างเสียดาย” ตอนแรกก็คิดว่าพอถึงวันแต่งงานวันนั้นฉันจะเป็นคนที่สวยที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงถึงตอนที่ต้องขึ้นเวทีแล้ว ฉันก็คงสวยเป็นอันดับสองแทน ถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนสนิทที่คบกับฉันมาเป็นยี่สิบปีแล้วล่ะก็ ฉันคงกลุ้มใจตายไปแล้วมั้ง ”
” ถ้างั้นฉันไม่แต่งหน้าก็ได้ เธอจะได้เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในงานไง ” ชางหลิงดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเรื่องสวยไม่สวยเท่าไหร่ ขอแค่ได้จัดงานแต่งกับโหมวยู่เธอก็พอใจแล้ว
” ชิ ฉันไม่ได้จงใจจะให้เธอยอมให้ฉันซะหน่อย มีเจ้าสาวที่ไหนวันงานไม่แต่งหน้ากัน เป็นวันสำคัญเสียขนาดนั้น พวกเราสองคนต้องสวยที่สุดอย่างแน่นอน ”
” ถ้างั้นฉันจะรอดูเสี่ยวเฉิงจื่อคนสวยที่สุดของงานเลยนะ ”
เมื่อโทรคุยกับซูเสี่ยวเฉิงเสร็จ อารมณ์ของชางหลิงก็ดีขึ้น จนกระทั่งอยากจะโทรไปหาโหมวยู่โดยตรงเพื่อถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสองวันนี้โหมวยู่จะอยู่ที่บ้านตระกูลโหมว ดูเหมือนจะกลับไปจัดการเรื่องอะไรบางอย่างที่บ้าน เธอจึงกลัวว่าตัวเองจะรบกวนเขา แล้วก็คิดอยู่พักใหญ่ รอสักสองสามวันก็แล้วกัน ถ้างั้นรอถึงวันที่ยี่สิบพฤษภา บอกคำตอบเขาตอนนั้นน่าจะตื่นเต้นกว่า
ณ บ้านตระกูลโหมว นายท่านโหมวเห็นว่าโหมวยู่กลับมาก็ตกใจมาก แถมเห็นเขาขนกระเป๋าสัมภาระใหญ่โตมาด้วย หรือจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วสินะ
ลูกชายที่ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเป็นเวลาหลายปี จู่ๆ ก็กลับมา นายท่านโหมวตื่นเต้นจนน้ำตาแทบกระเซ็น จึงอดไม่ได้ที่จะเดินลงไปรับเขาข้างล่าง ” ลูกรอง ทำไมกลับมาล่ะ ”
“กลับมาอยู่สักสองสามวัน”
โหมวยู่ไม่ได้พูดอะไร แต่ยกสัมภาระของตัวเองตรงดิ่งไปยังห้องนอน เขาเองก็จำไม่ได้ ว่าตัวเองไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว สภาพห้องของเขาตอนนี้กับเมื่อก่อนก็เหมือนเดิม โปสเตอร์สมัยก่อนของเขาก็ยังคงติดอยู่บนกำแพงในตำแหน่งเดิม ที่แท้หลายปีก่อนที่เขาจากที่นี่ไป ก็ไม่เคยมีใครเข้ามาใช้
โต๊ะตู้ตั่งเตียงและกระจกในห้องก็ดูสะอาด ไม่ได้มีอะไรผิดแผกไป แค่ดูก็รู้ว่าถูกทำความสะอาดอย่างเป็นประจำ ก่อนที่เขาจะกลับมาก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าสักคำ ความจริงแล้วก็อยากจะลองเชิงดู ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นแบบนี้
ถ้าเขาเปิดกระเป๋าสัมภาระออก โหมวยู่ก็หยิบชุดเจ้าบ่าวออกมาเป็นอันดับแรก ก่อนจะแขวนและรีดเสื้ออย่างละเอียดอีกครั้ง รีดจนไม่เห็นรอยใดๆ บนนั้นแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ก็หวังว่าพอถึงวันนั้นร่างกายของเขาจะยังทนไหว งานแต่งงานครั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถทำให้ชางหลิงกับลูกที่ไม่รู้ว่าจะสามารถเกิดมาแล้วทันเห็นเขาหรือเปล่า
ขนาดระมัดระวังตัวดีแล้ว แม้กระทั่งหลินจื้อที่เขาเชื่อใจที่สุดก็ทำตัวน่าสงสัย ก็เลยย้ายมาอยู่บ้านตระกูลโหมวเสียก่อน
ถึงแม้นายท่านโหมวจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาของคนในตระกูลและทายาททางสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลโหมวแล้วละก็ นายท่านโหมวก็รู้จักให้ความสำคัญแล้วก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ตกกลางคืน ขณะที่กำลังร่วมโต๊ะอาหารกัน โหมวยู่กับนายท่านโหมวต่างคนต่างเงียบไม่หืออือ หลังจากทั้งสองวางตะเกียบแล้ว นายท่านโหมวก็บอกโหมวยู่ว่าอย่าพึ่งไป
” อยู่ดีๆ แกก็กลับมา หรือว่าสุขภาพร่างกายจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ” นายท่านโหมวจ้องไปที่โหมวยู่ สายตาของชายแก่ที่เจนโลกเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง
” เปล่าครับ อีกสองวันผมจะจัดพิธีแต่งงาน ถ้าคุณมีเวลาก็มาร่วมได้ ”
” ดีเลย ฉันไป ว่าแต่เมื่อไหร่ล่ะ ”
” 20 พฤษภา ”
” แล้วมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ฉันจะได้ให้พ่อบ้านไปช่วยแกจัดการ ”
” ไม่ต้องครับ จัดการเรียบร้อยแล้ว ”
น้ำเสียงของโหมวยู่ฟังแล้วเย็นชา แต่ก็ไม่ได้เป็นผลกับความตื่นเต้นและชอบใจของนายท่านโหมวแต่อย่างใด เมื่อเห็นชายแก่กำลังพูดกับพ่อบ้านไม่หยุดปากเรื่องจัดแจงบ้านในวันพิธีแต่งงานต้องทำอย่างไร โหมวยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญ จนกระทั่งหลังจากพ่อบ้านออกไป โหมวยู่ก็ให้คนใช้คนอื่นออกไปด้วยเช่นกัน แล้วพูดอย่างสุขุม
” โหมวฉี่กับหลินจื้อ หลินจื้อไม่ใช่คนของคุณหรอกเหรอ ”
นายท่านโหมวตกใจมาก เพราะนึกไม่ออกเลยว่าทำไมโหมวยู่ถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้
โหมวยู่ก็รู้สึกขุ่นเคืองมาก พอคิดถึงเมื่อก่อนเขายังพาหลินจื้อไปช่วยชางหลิงดูแลเรื่องตรวจร่างกายอยู่เลย เพราะอดไม่ได้กลัวจะเกิดเรื่องที่รู้สึกเสียใจภายหลัง แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้ชางหลิงร่างกายแข็งแรงแล้ว ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ตอนหลินจื้ออยู่ต่อหน้าเขาก็ทำตัวนิ่งๆ เขาดูไม่ออกเลยว่าสองคนนี้ติดต่อกันตั้งแต่เมื่อไหร่
” พวกเขาอาจจะติดต่อกันตั้งนานแล้วก็ได้ ตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่กลับมา ”
เขาอยู่ที่กองทัพเป็นเวลานาน เมื่อก่อนความสัมพันธ์มาของโหมวฉี่กับน้าเล็กก็ยังเป็นไปได้ด้วยดี พอถึงตอนนี้ก็คงต้องเป็นไปตามเนื้อผ้า หลินจื้อก็มีสิทธิ์ที่จะเลือก เขาคงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหลินจื้อคิดจะช่วยโหมวฉี่รวมหัวกันคิดร้ายกับเขาจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว
” ใช่ เมื่อก่อนความสัมพันธ์หลินจื้อกับน้องสาวแม่แกก็ยังดีอยู่ ”
นายท่านโหมวหรี่ตา ก็คิดเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วขึ้นมาได้
พอโหมวยู่ได้ยินนายท่านโหมวพูดถึงน้องสาวแม่ ใบหน้าก็ขรึมขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะลุกขึ้นและหันตัวกลับเข้าห้องไป ผ่านไปสองวันก็ยังคงอยู่แต่ในห้อง แม้แต่ข้าวปลาอาหารก็ยังต้องให้คนใช้เอาเข้าไปให้
นายท่านโหมวถึงแม้อยากจะเห็นหน้าลูกชายแค่ไหน ก็ไม่กล้าบากหน้าวิ่งเข้าไปดูโหมวยู่ในห้องด้วยตัวเอง
วันที่สิบเก้าพฤษภาตอนกลางวัน ขณะที่คนใช้เคาะประตูห้องของโหมวยู่เพื่อที่จะส่งอาหารให้ แต่ในห้องก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลย คนใช้ก็เคาะประตูอยู่อย่างนั้นประมาณห้านาที ถึงรู้สึกว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้น จึงรีบไปเรียกคนมา
หลังจากที่ประตูถูกงัดออกแล้ว ก็เห็นโหมวยู่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง หน้าตาซีดเซียวไร้ซึ่งสีเลือด คนใช้ที่พุ่งเข้ามาในห้องถึงกับตกใจตะโกนร้องโหวกเหวกเสียงดัง
” เอะอะอะไรกัน อยู่ไม่รู้จักกฎรู้จักระเบียบกันหรือไง ”
” พ่อบ้านคะ คุณชายรอง…. คุณชายรองไม่สบายค่ะ คุณรีบมาดูเถอะค่ะ ”
เมื่อได้ยินคนใช้พูดจาลนลานจนฟังไม่เป็นคำ และทำท่าทีกิริยามารยาทเหมือนไม่ได้รับการฝึกหรือสั่งสอนจากตระกูลโหมว ใจของพ่อบ้านก็แทบจะตกไปอยู่กับพื้น
เพราะเขารู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่กับคุณชายรองอย่างแน่นอน ถ้าไม่งั้นคนใช้ของตระกูลโหมวคงไม่ทำตัวลุกลี้ลุกลนเช่นนี้
พ่อบ้านจึงรีบขึ้นชั้นบนไป เมื่อเขาเห็นสภาพของโหมวยู่ด้วยตาตัวเองแล้ว พ่อบ้านที่อายุหกสิบกว่าปีแข้งขาอ่อนแรง พยายามอดกลั้นกัดลิ้นสู้เพื่อไม่ให้ตัวเองสลบไปเสียก่อน
” รีบไปเรียกหมอ เรียกหมอที่ฝีมือดีที่สุดในเมืองหนานมาให้หมด แล้วก็อย่าเอะอะไป บอกกับคนข้างนอกว่าฉันป่วย “