ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 329 นั่นคือชุดของฉัน

บทที่ 329 นั่นคือชุดของฉัน

ชางหลิงยื่นศีรษะเหลือบมองรูปภาพที่ซูเสี่ยวเฉิงส่งไป ผลที่ได้เป็นรูปคนทั้งสี่คนที่เห็นอย่างชัดเจน เธอตกใจจนอยากจะเข้าห้องน้ำทันที

การกลั้นเวลาอยากจะเข้าห้องน้ำถือว่าเป็นข้อห้ามของคนท้อง แถมยังใส่ชุดแต่งงานยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่ เธอทำได้แค่รีบเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

“นี่ เสี่ยวหลิงหลิงจะไปไหน”

“เปลี่ยนเสื้อผ้า”

“รอฉันด้วย”

ซูเสี่ยวเฉิงรีบส่งข้อความหลายข้อความให้กับหลีซินจากนั้นก็วางโทรศัพท์ลงและเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากเข้าไปแล้วก็เห็นชางหลิงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่

เธอทั้งช่วยชางหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าและทั้งบ่นพร่ำไปด้วย “ทำไมถึงรีบร้อนเปลี่ยนขนาดนี้ สวยจะตาย”

“สวยมากจริงๆ แต่ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลย” ประโยคหลังชางหลิงพูดข้างหูซูเสี่ยวเฉิง

“เข้าใจแล้ว เข้าใจ”

ซูเสี่ยวเฉิงรีบลงมือให้เร็วกว่าเดิม หลังจากที่ช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเธอทั้งๆ ที่ยังใส่ชุดเจ้าสาวอยู่นั่นแหละ

เป่ยเม้าโก๋จี้ ศูนย์การแพทย์ของหลินจื้อ

ร่างกายของโหมวยู่หลังจากผ่านการรักษามาระยะหนึ่งแล้วในที่สุดก็ทรงตัวได้แล้ว ประกอบกับงานแต่งงานที่ใกล้จะมาถึง มีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องเจอหน้าพร้อมทั้งสั่งการกับบรรดาพี่น้อง เขาเลยนัดบรรดาพี่น้องพร้อมกับฉู่ฉือมาด้วยกันเลย

ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยเรื่องงานวันแต่งงานอยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์ของหลีซินก็ดังขึ้นมา

“คุณสามี คุณสามี”

“มาดูรูปเร็ว”

“ชุดเจ้าบ่าวบนตัวป๋ายจื๋อคุณชอบไหม?”

“มันทุเรศใช่ไหม ทำยังไงดี ฉันทำใหม่ไม่ทันแล้ว ทำยังไงดี”

ข้อความของซูเสี่ยวเฉิงจู่ๆ ก็ดังออกมา ก่อนหน้านี้เธอตั้งใจจะให้หลีซินรีบตอบกลับมาเร็วๆ ฉะนั้นข้อความของเธอก็เลยแสดงออกมาเป็นเสียงพิเศษ

สายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่โทรศัพท์ของเขา หลีซินเริ่มเขินอายจนกดเปิด

รูปชุดเจ้าสาวสีส้มบนตัวของซูเสี่ยวเฉิงช่างสะดุดตามาก ขนาดหลีซินเห็นยังตะลึงเลย เวลานั้นไม่ทันมอง ได้สนใจมากนัก ฉินซางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกแปลกใจจนแย่งโทรศัพท์ไป

“อะไรเหรอที่น่าดูขนาดนั้น ขอฉันดูหน่อย?” พอฉินซางมองรูปนั้นถึงกลับตะลึงทันที ด้วยอาการตกใจจนเสียอาการ “เหี้ย พี่สะใภ้ไปอยู่กินกับท่านชายฉีตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ถึงขนาดแต่งงานกันแล้ว ทำไมฉันไม่ได้ข่าวเรื่องนี้สักนิดได้ยังไงเนี่ย”

โหมวยู่ที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเคร่งขรึมที่หยิบโทรศัพท์ในมือของฉินซางไป พร้อมทั้งจ้องมองชางหลิงกับโหมวฉีจนสีหน้าเขียวปั๊ด พลางชำเลืองมองฉินซางด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นี่มันเสื้อผ้าของฉัน”

“อ๋อ แบบนี้เอง ผมเข้าใจผิดไปเอง ฮ่า ๆๆ ขอโทษด้วยพี่ใหญ่ ผมก็ว่าแล้ว ความรู้สึกระหว่างคุณกับเสี่ยวหลิงหลิงเหนียวแน่นมั่นคงที่สุด ต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่าแน่นอน”

ฉินซางยิ่งพูดไปเรื่อยๆ สีหน้าของโหมวยู่ก็ดูย่ำแย่หนักกว่าเก่า เขาทำได้แค่ปิดปากให้เงียบสนิทเป็นพอ

ไม่ได้เจอกันมาสักพัก ความคิดความอ่านของพี่ใหญ่ก็สามารถคาดเดาได้แล้ว

“ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายกลับไปกันเถอะ แล้วเรื่องที่ฉันอยู่ที่นี่อย่าได้ปากพล่อยพูดออกไป ไม่มีธุระไม่ต้องมา มีธุระก็ไม่ต้องมา”

โหมวยู่โยนโทรศัพท์คืนให้หลีซิน จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหน

ทุกคนเดินออกไปอย่างอึดอัด พอออกมาแล้วต่างสบตามองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ช่างเถอะ เรื่องของพี่ใหญ่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามได้

ตอนที่พวกเขาเพิ่งออกไป โหมวยู่ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้จนโทรศัพท์หาชางหลิง เขาไม่คิดเลยว่าตอนที่เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเธอยังไม่ถึงเดือน ทางชางหลิงนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้น โหมวฉีก็มีความสามารถที่อยู่ร่วมกับชางหลิงได้ดีขนาดนั้นเชียว

ถ้าเขาไม่อยู่แล้วจริงๆ งั้นก็ไม่ได้การแล้ว

โหมวยู่จ้องมองโทรศัพท์ที่ไม่ยอมรับสายอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ก็หงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็สะบัดผ้าห่มและลุกออกจากเตียงทันที

หลังจากกดโทรหาชางหลิงซ้ำแล้วสองรอบ แต่ก็ไม่มีคนรับสาย เขาตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาป๋ายจื๋อ

“มีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงป๋ายจื๋อยังคงเย็นชาเหมือนเคย แถมยังแสดงอาการซ่อนความรังเกียจอยู่เล็กน้อย

โหมวยู่คิดถึงแค่ชางหลิง ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของป๋ายจื๋อเลย “ให้ชางหลิงมารับโทรศัพท์”

“เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”

“ให้เธอรีบโทรกลับมาเร็วๆ” โหมวยู่พูดจบก็หงุดหงิดใส่โทรศัพท์และกดตัดสายทิ้งไป เมื่อมองการจราจรนอกหน้าต่าง ในใจก็เอาแต่คิดว่าจะกันท่าโหมวฉีอย่างไรดี

หลังจากที่ป๋ายจื๋อรับโทรศัพท์แล้ว ไม่นานนักชางหลิงกับซูเสี่ยวเฉิงก็รีบเดินมายืนด้านหน้าเขา และวิ่งเข้าห้องน้ำ เขาหันกลับมามองเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวโหมวฉี จนขัดหูขัดตาอยู่เล็กน้อย

“ไปเปลี่ยนชุด”

ป๋ายจื๋อพูดตามปกติ จากนั้นตนเองก็สะบัดตัวเดินเข้าห้องลองชุดก่อน

แม้ว่าโหมวฉีจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ยังรู้สึกหงุดหงิดจากคำพูดของป๋ายจื๋อนั้นจนไม่สามารถยิ้มอันแสนอบอุ่นที่ประดับอยู่บนใบหน้าได้อีกแล้ว พลางเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

รอจนเวลาที่ชางหลิงออกมาอีกครั้งนั้น บรรยากาศระหว่างคนสองคนก็แปลกประหลาดมากเสียจริง เธอยังไม่ทันอ้าปากพูด โหมวฉีก็ขอพูดก่อน “คุณชาง คุณซู ผมมีธุระที่ต้องทำต่อ ทั้งสองท่านต้องการอะไรก็สามารถเรียกพนักงานในร้านได้ทันที”

โหมวฉีพูดเสร็จก็พยักหน้าให้ทั้งสองคน จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าออกไปด้านนอกเลย

“ท่านชายฉี แค่นี้โกรธกันแล้วเหรอเนี่ย?”

ซูเสี่ยวเฉิงถามด้วยสีหน้ามึนงง ขนาดเธอที่มีนิสัยกระโตกกระตากก็มองออกว่าโหมวฉีผิดปกติ ชางหลิงเองก็มองออก แต่ว่าเธอไม่ได้ซักไซ้ถาม จากนั้นก็พูดเปลี่ยนเรื่อง “แกต้องไปซื้อของที่ใช้ในงานแต่งไหม? นี่มันจะ 5 โมงแล้ว”

“ห๊ะ! นี่เย็นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ต้องไปสิต้องไป ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย”

หลังจากที่ซูเสี่ยวเฉิงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชางหลิงก็ยิ้มให้กับป๋ายจื๋อ “คุณไปยั่วยังไงให้เขาโกรธ เก่งมาก” จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้กับเขา

ป๋ายจื๋อยักไหล่ให้อย่างเย็นชา “ผมเปล่ายั่วโมโหเขา”

“คุณมั่นใจนะ” ชางหลิงไม่เชื่อ คนอย่างโหมวฉี ถ้าไม่ใช่ถูกยั่วอย่างหนักจริงๆ คงไม่อยู่ในสภาพนั้นหรอก

“ผมก็แค่เตือนให้เขาไปเปลี่ยนชุดเท่านั้นเอง” ป๋ายจื๋อไม่เข้าใจเพราะว่าเขาแค่เผลอพูดออกไปประโยคเดียวทำไมถึงไปยั่วให้โหมวฉีโกรธได้นะ คนคนนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง

ชางหลิงจ้องมองใบหน้ามึนงงของป๋ายจื๋อ เวลานั้นเธอเองก็ไม่เข้าใจถึงจุดที่ทำให้โหมวฉีโกรธขึ้นมาได้ “อาจจะเป็นเพราะว่างานเขาเกิดมีปัญหามั้ง คงไม่เกี่ยวกับพวกเรา ช่างเถอะ อีกเดี๋ยวสนใจกับการเดินเที่ยวกับซูเสี่ยวเฉิงก็พอ เรื่องแต่งงานสำหรับผู้หญิงแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทำลวกๆ ไม่ได้เลย”

จากลางสังหรณ์ว่าเดี๋ยวเวลาที่ต้องไปเดินเที่ยวนั้นคงกินเวลามาก เธอกลัวว่าป๋ายจื๋อจะมีความรู้สึกอะไรขึ้นมา เลยรีบถามๆ เอาไว้ก่อน

“คุณสนใจมากไหม?”

“แน่นอน หรือว่าในสายตาของคุณฉันไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ?”

คำพูดนี้เมื่อหลุดออกจากปากมักจะทำให้รู้สึกแปลกประหลาด ชางหลิงจ้องมองดวงตาของป๋ายจื๋อยิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม

ทุกวันอีตานี่ก็จะตัวติดกับเธอไม่ไปไหน ราวกับว่าทำเหมือนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง หรือพูดว่า ในสายตาของป๋ายจื๋อแล้ว ระหว่างพวกเขานั้นไม่มีปัญหาเรื่องเพศอยู่ในนั้นเลย

ป๋ายจื๋อเงียบงันอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้สนใจกับปัญหานี้จริงๆ

ชางหลิงอยากจะถามต่อ แต่ซูเสี่ยวเฉิงก็รีบวิ่งเข้ามาหา และดึงชางหลิงออกไปด้านนอก

“รีบไปเร็ว ไปเร็ว วันนี้ฉันวางแผนเอาไว้ว่าจะซื้อของตกแต่งห้องหอของฉันเยอะแยะเลย ตอนนี้ดูแล้วน่าจะซื้อไม่ครบแน่ เฮ้อ พรุ่งนี้ค่อยมาอีกรอบ”

“อย่ารีบร้อน ยังมีเวลาอยู่นะ ถ้าแกยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวได้ก็ให้หลีซินจัดคนสองคนมาช่วยแก แม้ว่าเขาจะยุ่งมาก เรื่องงานแต่งงานก็สามารถทิ้งไว้ให้แกรับผิดชอบทั้งหมด”

“ฉันไม่อยากให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาเข้ามาช่วย เพราะว่าเป็นผู้ชายทั้งหมด ฉันดูแล้วมันขัดหูขัดตามาก” ซูเสี่ยวเฉิงอยากจะพูดอะไร ทว่าจู่ๆ ก็เหลือบตามองมาที่ป๋ายจื๋อที่อยู่ข้างๆ ชางหลิง และรีบปิดปากทันที พลางยิ้มให้ชางหลิงและทำตาปริบๆ

ชางหลิงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร เพราะว่าการคบหาระหว่างเธอกับป๋ายจื๋อนั้นสบายมาก “ตอนนี้แกยุ่งขนาดนี้แล้วคุณอากับคุณน้าทำไมไม่มาช่วยแกล่ะ?”

ด้วยความรักและทะนุถนอมซูเสี่ยวเฉิงของพ่อแม่ตระกูลซูแล้ว ไม่น่าจะให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนยุ่งจนตกอยู่ในสภาพนี้แล้วไม่ดูดำดูดีนี่?

“ก่อนหน้านี้แม่ฉันป่วยแหละ ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ฉันให้พ่อดูแลแม่อยู่ที่บ้าน ฉันโตป่านนี้แล้ว เรื่องวุ่นวายกับงานแต่งงานของตัวเองฉันสามารถจัดการได้อยู่แล้ว”

“คุณน้าป่วยเหรอ? ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย? ดีขึ้นหรือยัง?” น้าซูป่วยเธอแทบไม่รู้เรื่องเลย ชางหลิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท