ชางหลิงยื่นศีรษะเหลือบมองรูปภาพที่ซูเสี่ยวเฉิงส่งไป ผลที่ได้เป็นรูปคนทั้งสี่คนที่เห็นอย่างชัดเจน เธอตกใจจนอยากจะเข้าห้องน้ำทันที
การกลั้นเวลาอยากจะเข้าห้องน้ำถือว่าเป็นข้อห้ามของคนท้อง แถมยังใส่ชุดแต่งงานยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่ เธอทำได้แค่รีบเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
“นี่ เสี่ยวหลิงหลิงจะไปไหน”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า”
“รอฉันด้วย”
ซูเสี่ยวเฉิงรีบส่งข้อความหลายข้อความให้กับหลีซินจากนั้นก็วางโทรศัพท์ลงและเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากเข้าไปแล้วก็เห็นชางหลิงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
เธอทั้งช่วยชางหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าและทั้งบ่นพร่ำไปด้วย “ทำไมถึงรีบร้อนเปลี่ยนขนาดนี้ สวยจะตาย”
“สวยมากจริงๆ แต่ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลย” ประโยคหลังชางหลิงพูดข้างหูซูเสี่ยวเฉิง
“เข้าใจแล้ว เข้าใจ”
ซูเสี่ยวเฉิงรีบลงมือให้เร็วกว่าเดิม หลังจากที่ช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเธอทั้งๆ ที่ยังใส่ชุดเจ้าสาวอยู่นั่นแหละ
เป่ยเม้าโก๋จี้ ศูนย์การแพทย์ของหลินจื้อ
ร่างกายของโหมวยู่หลังจากผ่านการรักษามาระยะหนึ่งแล้วในที่สุดก็ทรงตัวได้แล้ว ประกอบกับงานแต่งงานที่ใกล้จะมาถึง มีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องเจอหน้าพร้อมทั้งสั่งการกับบรรดาพี่น้อง เขาเลยนัดบรรดาพี่น้องพร้อมกับฉู่ฉือมาด้วยกันเลย
ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยเรื่องงานวันแต่งงานอยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์ของหลีซินก็ดังขึ้นมา
“คุณสามี คุณสามี”
“มาดูรูปเร็ว”
“ชุดเจ้าบ่าวบนตัวป๋ายจื๋อคุณชอบไหม?”
“มันทุเรศใช่ไหม ทำยังไงดี ฉันทำใหม่ไม่ทันแล้ว ทำยังไงดี”
ข้อความของซูเสี่ยวเฉิงจู่ๆ ก็ดังออกมา ก่อนหน้านี้เธอตั้งใจจะให้หลีซินรีบตอบกลับมาเร็วๆ ฉะนั้นข้อความของเธอก็เลยแสดงออกมาเป็นเสียงพิเศษ
สายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่โทรศัพท์ของเขา หลีซินเริ่มเขินอายจนกดเปิด
รูปชุดเจ้าสาวสีส้มบนตัวของซูเสี่ยวเฉิงช่างสะดุดตามาก ขนาดหลีซินเห็นยังตะลึงเลย เวลานั้นไม่ทันมอง ได้สนใจมากนัก ฉินซางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกแปลกใจจนแย่งโทรศัพท์ไป
“อะไรเหรอที่น่าดูขนาดนั้น ขอฉันดูหน่อย?” พอฉินซางมองรูปนั้นถึงกลับตะลึงทันที ด้วยอาการตกใจจนเสียอาการ “เหี้ย พี่สะใภ้ไปอยู่กินกับท่านชายฉีตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ถึงขนาดแต่งงานกันแล้ว ทำไมฉันไม่ได้ข่าวเรื่องนี้สักนิดได้ยังไงเนี่ย”
โหมวยู่ที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเคร่งขรึมที่หยิบโทรศัพท์ในมือของฉินซางไป พร้อมทั้งจ้องมองชางหลิงกับโหมวฉีจนสีหน้าเขียวปั๊ด พลางชำเลืองมองฉินซางด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นี่มันเสื้อผ้าของฉัน”
“อ๋อ แบบนี้เอง ผมเข้าใจผิดไปเอง ฮ่า ๆๆ ขอโทษด้วยพี่ใหญ่ ผมก็ว่าแล้ว ความรู้สึกระหว่างคุณกับเสี่ยวหลิงหลิงเหนียวแน่นมั่นคงที่สุด ต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่าแน่นอน”
ฉินซางยิ่งพูดไปเรื่อยๆ สีหน้าของโหมวยู่ก็ดูย่ำแย่หนักกว่าเก่า เขาทำได้แค่ปิดปากให้เงียบสนิทเป็นพอ
ไม่ได้เจอกันมาสักพัก ความคิดความอ่านของพี่ใหญ่ก็สามารถคาดเดาได้แล้ว
“ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายกลับไปกันเถอะ แล้วเรื่องที่ฉันอยู่ที่นี่อย่าได้ปากพล่อยพูดออกไป ไม่มีธุระไม่ต้องมา มีธุระก็ไม่ต้องมา”
โหมวยู่โยนโทรศัพท์คืนให้หลีซิน จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหน
ทุกคนเดินออกไปอย่างอึดอัด พอออกมาแล้วต่างสบตามองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ช่างเถอะ เรื่องของพี่ใหญ่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามได้
ตอนที่พวกเขาเพิ่งออกไป โหมวยู่ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้จนโทรศัพท์หาชางหลิง เขาไม่คิดเลยว่าตอนที่เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเธอยังไม่ถึงเดือน ทางชางหลิงนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้น โหมวฉีก็มีความสามารถที่อยู่ร่วมกับชางหลิงได้ดีขนาดนั้นเชียว
ถ้าเขาไม่อยู่แล้วจริงๆ งั้นก็ไม่ได้การแล้ว
โหมวยู่จ้องมองโทรศัพท์ที่ไม่ยอมรับสายอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ก็หงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็สะบัดผ้าห่มและลุกออกจากเตียงทันที
หลังจากกดโทรหาชางหลิงซ้ำแล้วสองรอบ แต่ก็ไม่มีคนรับสาย เขาตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาป๋ายจื๋อ
“มีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงป๋ายจื๋อยังคงเย็นชาเหมือนเคย แถมยังแสดงอาการซ่อนความรังเกียจอยู่เล็กน้อย
โหมวยู่คิดถึงแค่ชางหลิง ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของป๋ายจื๋อเลย “ให้ชางหลิงมารับโทรศัพท์”
“เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”
“ให้เธอรีบโทรกลับมาเร็วๆ” โหมวยู่พูดจบก็หงุดหงิดใส่โทรศัพท์และกดตัดสายทิ้งไป เมื่อมองการจราจรนอกหน้าต่าง ในใจก็เอาแต่คิดว่าจะกันท่าโหมวฉีอย่างไรดี
หลังจากที่ป๋ายจื๋อรับโทรศัพท์แล้ว ไม่นานนักชางหลิงกับซูเสี่ยวเฉิงก็รีบเดินมายืนด้านหน้าเขา และวิ่งเข้าห้องน้ำ เขาหันกลับมามองเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวโหมวฉี จนขัดหูขัดตาอยู่เล็กน้อย
“ไปเปลี่ยนชุด”
ป๋ายจื๋อพูดตามปกติ จากนั้นตนเองก็สะบัดตัวเดินเข้าห้องลองชุดก่อน
แม้ว่าโหมวฉีจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ยังรู้สึกหงุดหงิดจากคำพูดของป๋ายจื๋อนั้นจนไม่สามารถยิ้มอันแสนอบอุ่นที่ประดับอยู่บนใบหน้าได้อีกแล้ว พลางเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
รอจนเวลาที่ชางหลิงออกมาอีกครั้งนั้น บรรยากาศระหว่างคนสองคนก็แปลกประหลาดมากเสียจริง เธอยังไม่ทันอ้าปากพูด โหมวฉีก็ขอพูดก่อน “คุณชาง คุณซู ผมมีธุระที่ต้องทำต่อ ทั้งสองท่านต้องการอะไรก็สามารถเรียกพนักงานในร้านได้ทันที”
โหมวฉีพูดเสร็จก็พยักหน้าให้ทั้งสองคน จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าออกไปด้านนอกเลย
“ท่านชายฉี แค่นี้โกรธกันแล้วเหรอเนี่ย?”
ซูเสี่ยวเฉิงถามด้วยสีหน้ามึนงง ขนาดเธอที่มีนิสัยกระโตกกระตากก็มองออกว่าโหมวฉีผิดปกติ ชางหลิงเองก็มองออก แต่ว่าเธอไม่ได้ซักไซ้ถาม จากนั้นก็พูดเปลี่ยนเรื่อง “แกต้องไปซื้อของที่ใช้ในงานแต่งไหม? นี่มันจะ 5 โมงแล้ว”
“ห๊ะ! นี่เย็นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ต้องไปสิต้องไป ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากที่ซูเสี่ยวเฉิงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชางหลิงก็ยิ้มให้กับป๋ายจื๋อ “คุณไปยั่วยังไงให้เขาโกรธ เก่งมาก” จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้กับเขา
ป๋ายจื๋อยักไหล่ให้อย่างเย็นชา “ผมเปล่ายั่วโมโหเขา”
“คุณมั่นใจนะ” ชางหลิงไม่เชื่อ คนอย่างโหมวฉี ถ้าไม่ใช่ถูกยั่วอย่างหนักจริงๆ คงไม่อยู่ในสภาพนั้นหรอก
“ผมก็แค่เตือนให้เขาไปเปลี่ยนชุดเท่านั้นเอง” ป๋ายจื๋อไม่เข้าใจเพราะว่าเขาแค่เผลอพูดออกไปประโยคเดียวทำไมถึงไปยั่วให้โหมวฉีโกรธได้นะ คนคนนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
ชางหลิงจ้องมองใบหน้ามึนงงของป๋ายจื๋อ เวลานั้นเธอเองก็ไม่เข้าใจถึงจุดที่ทำให้โหมวฉีโกรธขึ้นมาได้ “อาจจะเป็นเพราะว่างานเขาเกิดมีปัญหามั้ง คงไม่เกี่ยวกับพวกเรา ช่างเถอะ อีกเดี๋ยวสนใจกับการเดินเที่ยวกับซูเสี่ยวเฉิงก็พอ เรื่องแต่งงานสำหรับผู้หญิงแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทำลวกๆ ไม่ได้เลย”
จากลางสังหรณ์ว่าเดี๋ยวเวลาที่ต้องไปเดินเที่ยวนั้นคงกินเวลามาก เธอกลัวว่าป๋ายจื๋อจะมีความรู้สึกอะไรขึ้นมา เลยรีบถามๆ เอาไว้ก่อน
“คุณสนใจมากไหม?”
“แน่นอน หรือว่าในสายตาของคุณฉันไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ?”
คำพูดนี้เมื่อหลุดออกจากปากมักจะทำให้รู้สึกแปลกประหลาด ชางหลิงจ้องมองดวงตาของป๋ายจื๋อยิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม
ทุกวันอีตานี่ก็จะตัวติดกับเธอไม่ไปไหน ราวกับว่าทำเหมือนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง หรือพูดว่า ในสายตาของป๋ายจื๋อแล้ว ระหว่างพวกเขานั้นไม่มีปัญหาเรื่องเพศอยู่ในนั้นเลย
ป๋ายจื๋อเงียบงันอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้สนใจกับปัญหานี้จริงๆ
ชางหลิงอยากจะถามต่อ แต่ซูเสี่ยวเฉิงก็รีบวิ่งเข้ามาหา และดึงชางหลิงออกไปด้านนอก
“รีบไปเร็ว ไปเร็ว วันนี้ฉันวางแผนเอาไว้ว่าจะซื้อของตกแต่งห้องหอของฉันเยอะแยะเลย ตอนนี้ดูแล้วน่าจะซื้อไม่ครบแน่ เฮ้อ พรุ่งนี้ค่อยมาอีกรอบ”
“อย่ารีบร้อน ยังมีเวลาอยู่นะ ถ้าแกยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวได้ก็ให้หลีซินจัดคนสองคนมาช่วยแก แม้ว่าเขาจะยุ่งมาก เรื่องงานแต่งงานก็สามารถทิ้งไว้ให้แกรับผิดชอบทั้งหมด”
“ฉันไม่อยากให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาเข้ามาช่วย เพราะว่าเป็นผู้ชายทั้งหมด ฉันดูแล้วมันขัดหูขัดตามาก” ซูเสี่ยวเฉิงอยากจะพูดอะไร ทว่าจู่ๆ ก็เหลือบตามองมาที่ป๋ายจื๋อที่อยู่ข้างๆ ชางหลิง และรีบปิดปากทันที พลางยิ้มให้ชางหลิงและทำตาปริบๆ
ชางหลิงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร เพราะว่าการคบหาระหว่างเธอกับป๋ายจื๋อนั้นสบายมาก “ตอนนี้แกยุ่งขนาดนี้แล้วคุณอากับคุณน้าทำไมไม่มาช่วยแกล่ะ?”
ด้วยความรักและทะนุถนอมซูเสี่ยวเฉิงของพ่อแม่ตระกูลซูแล้ว ไม่น่าจะให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนยุ่งจนตกอยู่ในสภาพนี้แล้วไม่ดูดำดูดีนี่?
“ก่อนหน้านี้แม่ฉันป่วยแหละ ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ฉันให้พ่อดูแลแม่อยู่ที่บ้าน ฉันโตป่านนี้แล้ว เรื่องวุ่นวายกับงานแต่งงานของตัวเองฉันสามารถจัดการได้อยู่แล้ว”
“คุณน้าป่วยเหรอ? ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย? ดีขึ้นหรือยัง?” น้าซูป่วยเธอแทบไม่รู้เรื่องเลย ชางหลิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง