บทที่ 90 รักษา
Ink Stone_Romance
ตันเหนียงสลัดจนหลุดและจูงมือสาวใช้ของตัวเอง แล้วเดินตามไป
“พี่สาว…” นางตะโกนแล้วมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง ซึ่งเดินอยู่ข้างๆ พ่อแม่ของนาง
ภรรยาของเฉินเซ่ารีบรั้งนางไว้
“ตันเหนียง กลับไปเร็ว” นางกระซิบ
“พี่สาวยังจำข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ตันเหนียงเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง
“จำไม่ได้” นางตอบ
จำไม่ได้หรือ
พบกันโดยบังเอิญเพียงครั้งเดียวและยังเป็นเด็กอีก จะจำได้อย่างไรกัน
เฉินเซ่าให้สัญญาณภรรยา เพื่อให้เข้าดึงตันเหนียงไว้
บัดนี้ ได้เดินมาถึงบ้านของท่านใหญ่เฉินแล้ว เหล่าบรรดาสาวใช้รีบเปิดประตู
นายใหญ่เฉินป่วยมาสองเดือนแล้ว แม้ว่าลูกๆ และสาวใช้จะทุ่มเทและเอาใจใส่สักเพียงใด ภายในบ้านก็ไม่อาจซ่อนกลิ่นเหม็นของคนป่วยไว้ได้
“อาการเจ็บป่วยที่แม่นางพูดมาถูกต้องมาก” เฉินเซ่ากล่าวพร้อมกับถอดรองเท้าไม้และนำทางเฉิงเจียวเหนียงไปที่เตียงนอน “เพียงแต่พ่อข้าไม่ได้ล้มป่วยมาสองเดือน เขาหกล้มจึงทำให้ล่มป่วยเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา”
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “เมื่อสองเดือนก่อน มีเลือดกำเดาไหล”
เลือดกำเดาไหลตอนกลางคืนหรือ
เฉินเซ่าและภรรยามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างอุทานขึ้นมา “โอ้”
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าด้วยความประหลาดใจและตะโกน “เมื่อสองเดือนก่อน นายใหญ่เฉินเลือดกำเดาไหลตอนกลางคืนอยู่หลายวันเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงไม่บอกข้า” เฉินเซ่ากล่าวอย่างเป็นกังวล
“เพราะท่านใหญ่บอกว่าไม่เป็นอะไรและก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เพียงล้างน้ำออกก็หยุดไหลแล้ว และเป็นแค่สองสามวันเท่านั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างตื่นตระหนก
ตามคำบอกเล่าของนายหญิง อาการป่วยของท่านใหญ่เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น นางยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว หากรักษาท่านใหญ่ไม่ได้แล้วโทษที่ตนไม่ได้รายงาน คงต้องย่อยยับป่นปี้เป็นแน่แท้
สาวใช้คุกเข่าลงทั้งน้ำตาและยอมรับผิด
“บอกเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอะไรได้” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เฉินเซ่ารู้สึกอับอายนัก
ก็ถูกของนาง หากบอกตนแล้วจะทำย่างไรได้ เพียงเลือดกำเดาไหลเท่านั้น และอากาศก็เแห้งด้วยจึงทำให้เลือดกำเดาไหล ใครจะไปคิดว่านี่คืออาการของการเจ็บป่วยได้เล่า
“ลุกขึ้นเถอะ” เฉินเซ่ากล่าว “ท่านพ่อแก่แล้ว ไม่มีเรื่องเล็กๆ หรอก ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกๆ เป็นกังวลจึงไม่ได้บอก แต่พวกเจ้าก็ไม่ควรปิดบัง”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบด้วยความซาบซึ้ง
เฉิงเจียวเหนียงเดินไปถึงข้างเตียงแล้ว โคมไฟชาววังของทั้งสองด้านมืดสลัวและคนบนเตียงก็นอนสลบอยู่
เฉินเซ่าและภรรยาเดินตามเข้ามาและมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นนางจริงจัง พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ เพราะกลัวว่าจะรบกวนนางระหว่างการรักษา
เกิดความเงียบสงัดขึ้นภายในห้องจนทุกคนแทบจะหายใจไม่ออก
“จำไม่ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูดอย่างกะทันหัน
เฉินเซ่าและภรรยาตกตะลึง
“แม่นางจำอะไรไม่ได้หรือ” เฉินเซ่าถามด้วยความกังวล
จำวิธีรักษาของเซียนเทวดาไม่ได้แล้วหรือ
“จำไม่ได้ว่ารูปร่างหน้าตาเขาเป็นเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับมองไปที่ท่านใหญ่ แล้วหันไปมองตันเหนียงที่ถูกสาวใช้จูงและยืนอยู่ข้างม่าน
หลังจากปั้นฉินจากไป นางจำทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชื่อคนและสถานที่ได้ ทว่า กลับจำหน้าตาของคนเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้น หากพูดตามตรงแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่ปั้นฉินจะไป ความทรงจำของนางก็เหมือนกระดาษที่ว่างเปล่า
เฉินเซ่าและภรรยามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
ผ่านมาครึ่งวันแล้ว ยังไม่วินิจฉัยโรคอีกหรือ
“แม่นาง ดูอาการของพ่อข้า ท่าน…” เฉินเซ่าถามอย่างรีบร้อนแล้วถอนหายใจเมื่อพูดจบ “ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เวลาที่ตื่นยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้อาศัยซุปโสมกินประทังชีวิต”
เฉินเจียวเหนียงยื่นมือออกไป เฉินเซ่าช่วยยกมือพ่อของเขาออกจากผ้าห่มและเฝ้าดูนางจับชีพจร
ห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉิงเจียวเหนียงก็เอามือออกไป เฉินเซ่าและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองไปที่นางอย่างเป็นกังกลทันที
แม้แต่เป็นเช่นไรบ้าง ยังไม่กล้าเอ่ยถามด้วยซ้ำ
“ทำเข็มทองให้ข้าชุดหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าจะฝังเข็มให้เขาฟื้นก่อน”
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู ดูเหมือนจะกังวลจนเกินไป แม้แต่รองเท้าไม้ก็ไม่ได้ถอด และเดินเข้าบ้านมาด้วยเสียงดังของรองเท้าไม้
“ไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำ ข้ามี”
ชายชราท่านหนึ่งตัวสั่นขณะที่พูด
เด็กน้อยวิ่งเหยาะๆ ตามมาอยู่ด้านหลังพร้อมกับถือกล่องยามาด้วย
“หมอเทวดาคือท่านใดหรือ” เขาถามพลางเหล่ตาไปรอบๆ
เฉินเซ่าและภรรยารีบเข้าไปทักทาย
“หมอหลี่เหตุใดท่านถึงมาดึกเช่นนี้”
“ข้าบอกแล้วว่าหากเชิญหมอเทวดามาได้แล้ว ไม่ว่าเช้าหรือดึกก็ต้องเรียกข้ามา หากข้าพลาดครานี้ ไยไม่ต้องเสียใจไปชั่วชีวิตหรือ” หมอหลี่กล่าวและยังคงมองไปรอบๆ บ้าน “แล้วหมอเทวดาล่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ลุกขึ้นเลย แม้แต่ศีรษะก็ไม่หัน เฉินเซ่าจึงต้องนำหมอหลี่ไปหาแทน
ตันเหนียงฉวยโอกาสนี้วิ่งไปที่ข้างเตียงแล้วคุกเข่าลง
“พี่สาวสามารถรักษาท่านปู่ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางดึงตรงมุมชุดของเฉิงเจียวเหนียงด้วยความคาดหวัง “ท่านปู่บอกว่าจะพาข้าไปดูโคมไฟในวันที่สิบห้าสิงหาคม แต่ก็ไปไม่ได้ พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องข้าบอกว่าวันที่สิบห้าเดือนอ้ายต้องได้ไปแน่นอน พี่สาว ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่าท่านปู่จะตายแล้ว หากเป็นเช่นนั้นวันที่สิบห้าเดือนอ้าย ท่านปู่จะพาข้าไปดูโคมไฟได้หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กสี่ห้าขวบยังไม่รู้จักคำว่าอยู่หรือตายหรอก
เฉิงเจียวเหนียงหันข้างไปมองนาง
“ได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “อีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว วันที่สิบห้าเดือนอ้ายได้ไปดูโคมไฟแน่”
ตันเหนียงยิ้มออกมาทันทีและกระโดดลงไปบนเตียง แล้วเขย่าแขนของท่านใหญ่
“ท่านปู่ ท่านปู่ พี่สาวบอกว่าท่านจะหายดีแล้ว พวกเราไปดูโคมไฟกันนะเจ้าคะ” นางตะโกนอย่างมีความสุข
ภรรยาของเฉินเซ่ารีบเดินเข้าไปดึงแขนของตันเหนียงไว้
“นี่คือแม่นางเจียวเหนียง” เฉินเซ่าแนะนำให้หมอหลี่รู้จัก จากนั้นก็แนะนำให้กับเฉิงเจียวเหนียง “นี่คือหมอหลี่จากสำนักหมอหลวง”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมอง ขณะที่ หมอหลี่ก็มองมาเช่นกัน
“นางหรือ” เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้งอย่างประหลาดใจ “นี่คือแม่นางแห่งตระกูลเฉิงที่พวกเจ้าเชิญมาหรือ”
เขาเข้าบ้านมาก็มองเห็นนางแล้ว ทว่า อายุน้อยเพียงนี้จึงคิดว่าเป็นหลานของนายใหญ่เฉิน คิดไม่ถึงว่าแม่นางที่เจอกันโดยบังเอิญจะเป็นความหวังสุดท้ายในการช่วยชีวิตท่านใหญ่ของตระกูลเฉิน
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
“เจ้ามีเข็มทองหรือ ยืมให้ข้าหน่อย” นางพูดพร้อมกับยื่นมือออกไป
สองสามีภรรยาแห่งตระกูลโจวนั่งรออยู่ตรงห้องโถงอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย คนอื่นๆ ที่นั่งรอเป็นเพื่อนก็ไม่สบายใจเช่นกัน ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับการรักษาในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากเข้าไปเร่ง ดังนั้น พวกเขาจึงได้แต่ฟังนายเฉินเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ผู้ฟังไม่มีกะจิตกะใจฟัง ผู้พูดก็ไม่มีกะจิตกะใจเล่าเรื่องเช่นกัน เพราะสับสนวุ่นวายไปหมดจนไม่รู้ว่าพูดอะไรดี
“…หลายคนเข้าไปกัดที่ขาของหมาป่า…”
หญิงสาวนางหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา ทุกคนถึงได้สติกลับมา จากนั้นนายเฉินสี่ก็รู้ว่าตนใจลอย จึงเขินอายเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าการวินิจฉัยโรคเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามเพื่อเปิดหัวข้อสนทนา
“อันที่จริงนางยังเด็กอยู่…” นายใหญ่โจวถอนหายใจแล้วพูด ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ ถ่อมตัวไว้ก่อนจะดีกว่า
สาวใช้รีบเดินเข้ามาจากนอกประตู
“ฝังเข็มเสร็จแล้ว แม่นางเฉิงบอกว่าอย่างช้าที่สุดจะฟื้นในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
คนในห้องลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก
เฉินเซ่าและภรรยาเดินกลับมาพร้อมกับเฉิงเจียวเหนียง
“เจียวเจียวร์ เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินโจวรีบก้าวไปข้างหน้าและอดใจไม่ไหวที่จะถาม “รักษาให้หายได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ฝังเข็มและสั่งยาแล้ว ตอนนี้หมอหลี่เฝ้าอยู่” เฉินเซ่าพูดกับพี่น้อง
“แล้วขั้นตอนต่อไปจะทำอะไรหรือ” นายเฉินสี่ถาม โดยมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
“รอ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นายเฉินสี่จับไปที่จมูก ผู้หญิงคนนี้…มักพูดแต่ความจริงเสมอ
“เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะ” ฮูหยินโจวพูดพลางจับมือเฉิงเจียวเหนียง “คงจะเหนื่อยมาก”
“ข้าต้องรอจนกว่าเขาจะฟื้นและต้องเฝ้ายาด้วยเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ฮูหยินโจวรู้สึกเขินอาย
“แม่นางนอนพักที่นี่เถอะ ข้าจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว” ฮูหยินเฉินพูดอย่างรีบร้อน เดิมทีก็ไม่อยากให้แม่นางกลับไปอยู่แล้ว แต่เกรงใจหากให้นางอยู่ต่อ ในเมื่อนางต้องอยู่เฝ้ายา คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
“ใช่ ค้างที่นี่เถอะ ทุกคนจะได้สบายใจ” เฉินเซ่ากล่าวเช่นกัน พร้อมกับแสดงความเคารพแก่นายใหญ่และ
ฮูหยินแห่งตระกูลโจว
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ดีเหมือนกัน” นายใหญ่โจวและภรรยารีบพยักหน้ากล่าว
“ดึกแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” เฉินเซ่ากล่าว
หากพวกเขาจะอยู่ต่อคงไม่เหมาะแน่ และบ้านแห่งนี้ยังมีผู้ป่วยอีกด้วย ทุกคนคงจะร้อนใจและเป็นกังวลอย่างมาก จึงทิ้งสาวใช้ไว้รับใช้สี่คนแล้วลากลับบ้านไป
หลังจากสองสามีและภรรยาแห่งตระกูลโจวออกไปได้เพียงครู่เดียว เฉิงเจียวเหนียงก็ต้องการพักผ่อน โดยภรรยาของเฉินเซ่าก็รีบจัดแจงให้สาวใช้ไปส่งนาง
“อืม ใช่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงนึกบางอย่างออก จึงหันหลังกลับมากล่าว “หากฟื้นตอนกลางดึก ให้กินยาก็พอแล้ว ไม่ต้องมาปลุกข้า”
คนของตระกูลเฉินถึงกับนิ่งไป แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นทันที
…………………………………………………