บทที่ 70 คนดี
Ink Stone_Romance
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าจาง จะว่าไปคนฉลาดก็คือคนฉลาด พวกเขาอยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้อยู่เสมอ ถึงจะสบายใจ
“ท่านผู้เฒ่า สำหรับข้าแล้ว จะจนปัญญาหรือใจดำ ก็ไม่ต่างกันหรอกเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เจ้าอาวาสซุนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เขากำลังฟังเทศน์ของท่านอาจารย์อยู่ ช่างสับสนมึนงงนัก
พวกเขาสองคนรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ไม่ใช่ต่างคนต่างพูดหรอกหรือ
นางเลิกคิ้ว หยิบกาต้มน้ำขึ้นมาเพื่อเติมน้ำให้แก่พวกเขาทั้งสอง
ดื่มน้ำเจ้าค่ะ ดื่มน้ำเจ้าค่ะ
“หากจนปัญญา ข้าจะคืนนางให้แก่เจ้า” ท่านผู้เฒ่าจางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากใจดำแล้ว ข้าจะรับนางไว้ แล้วส่งสาวใช้อีกคนให้แก่เจ้า”
เจ้าอาวาสซุนตกใจเล็กน้อย เหมือนกับตอนที่นายหญิงถามว่าอยากมีชื่อเสียงมากหรือมีชื่อเสียงเล็กน้อยก็ไม่ปาน
นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมายถึงอะไรกันแน่
“ได้เจ้าค่ะ ท่านส่งนางคืนมาให้แก่ข้าเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงพูดอย่างไร้ความรู้สึก
ท่านผู้เฒ่าจางไม่คิดว่านางจะตอบเช่นนี้ ทำให้รู้สึกตกใจเล็กน้อย
บางทีเขาอาจจะประเมินนางสูงเกินไป จริงๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้มีความคิดความสามารถอย่างที่เขาคิดไว้
“ข้าหมายความว่า หากเจ้าชอบสาวใช้นางนี้ ข้าก็จะคืนให้แก่เจ้า หากเจ้าอยากได้สาวใช้คนใหม่ ข้าก็จะจัดหามาให้ ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกันหรอก เจ้าก็ไม่ต้องกลัวไป เพราะข้าจะไปพูดกับพ่อของเจ้าเอง พวกเขาไม่โกรธเคืองหรอก” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านคิดว่าพวกเขาจะไม่โมโหหรือเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา “ท่านก็อายุมากแล้ว เหตุใดถึงทำตัวเหมือนเด็กไปได้เจ้าคะ”
เจ้าอาวาสสูดหายใจเข้าอย่างแรง
คำพูดนี้พูดได้…ช่าง…นัก
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าจางดูแปลกๆ ไป เขาอายุมากเช่นนี้แล้ว นี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับเขาถึงเพียงนี้ ซึ่งนางสามารถเป็นหลานสาวของเขาได้แล้ว
ทว่า คำพูดนี้ไม่ได้หยาบคาย ดังนั้น ท่านผู้เฒ่าจางจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ในสายตาของเด็กสาววัยรุ่นนั้น ดีชั่วแยกกันชัดเจนและพูดจากำปั้นทุบดิน ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นรักความสงบสุข และไม่จำเป็นต้องหลอกลวงตัวเองและผู้อื่น
“นางไม่ได้เต็มใจไปกับท่านจริงๆ เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “เป็นข้าเองที่พูดจนนางยอมไปและก็เป็นข้าเองที่สอนนางพูดเช่นนั้น ข้าไม่อยากให้ความรู้สึกผิดของนางที่มีต่อข้า ทำร้ายนางและพ่อแม่ของนาง หากท่านผู้เฒ่าคิดว่าข้าใจดำ ท่านก็ส่งนางกลับมาเถอะ อย่ามาที่นี่แล้วพูดอะไรแปลกๆ กับข้าอีกเลย คนจนปัญญาอย่างพวกข้า กลับกลายเป็นคนชั่วในสายตาของท่าน ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าหากนางได้ติดตามท่าน อาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า ทว่า ดูๆ แล้ว ก็เพียงเท่านั้นเอง”
หญิงสาวพูดจาอย่างลอยใจ ไร้ความรู้สึก หลังจากนั้นไม่นาน ก็ทำหน้าบูดบึ้งและนั่งนิ่ง ไม่ขยับตัว
หากยืนอยู่ระยะใกล้ๆ ก็จะเห็นใบหน้าที่สั่นเครือของนาง
เหนื่อยมาก เหนื่อยมาก เจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน
มือที่วางอยู่ในแขนเสื้อตัวใหญ่กำลังกำแน่น
ท่านผู้เฒ่าจางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
หญิงสาวที่ยู่ตรงหน้าอายุราวสิบกว่าปี ยังเป็นเด็กอยู่เลย และเป็นเด็กที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหรืออาจยังไม่หายดีด้วยซ้ำ เขาจะโกรธนางไปได้อย่างไร
สาวใช้นางนี้เป็นสาวใช้ของตระกูลเฉิง จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาง พ่อจะส่งมอบให้กับคนอื่น คนที่เป็นลูกจะทำอย่างไรได้เล่า หากเด็กคนนี้อยากจะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนสาวใช้ที่ดีกว่า โดยเปลี่ยนเป็นสาวใช้ที่ไม่ถูกควบคุมโดยตระกูลเฉิงแล้วจะมีความผิดเช่นใดได้เล่า
ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ในความจำใจ แสวงหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นี่คือการไม่มีทางเลือก จะเป็นคนใจดำได้เช่นไรเล่า
ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปเสียแล้ว
“ใช่ ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางวางใจเถอะ ข้าจะดูแลนางอย่างดี ไม่ทำให้ความรักความผูกพันของพวกเจ้านายบ่าวต้องผิดหวังเป็นอันขาด” เขากล่าวด้วยสีหน้ายินยอม
เฉิงเจียวเหนียงยังคงทำหน้าบูดบึ้งและปิดปากเงียบไม่พูด
เป็นนิสัยของเด็กผู้หญิงนั่นเอง หญิงสาวนางนี้ถูกเลี้ยงดูที่วัดเต๋าแห่งนี้ตั้งแต่เด็ก ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกจิตใจของนางจึงบริสุทธิ์เหมือนเด็กทารก
ไม่พอใจก็คือไม่พอใจ
เฉิงเจียวเหนียงทำหน้าบึ้งตึง ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังไม่พอใจอยู่ ทว่า ท่านผู้เฒ่าจางกลับยิ่งมีความสุขมากขึ้น และพูดประโยคที่น่าฟังอีกสองประโยค แล้วฟังคำอธิบายจากเฉิงเจียวเหนียง ก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
“และอยากได้หนังสือเพิ่มด้วยเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ท่านผู้เฒ่าจางมีความสุขมาก ราวกับว่ามีคนส่งมอบหนังสือให้แก่ตน
“ได้ ได้ ข้าจะเลือกหนังสือที่มีเรื่องราวสนุกๆ แล้วจะนำมาส่งให้แก่เจ้า” เขากล่าว
ท่านผู้เฒ่าภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ปลอบเด็กซนให้มีความสุขได้
“ดังนั้น ข้าถึงบอกว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนดี จะดูแลปั้นฉินและข้าได้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ท่านผู้เฒ่าจางยิ่งมีความสุขมากขึ้นหลังจากที่ได้รับคำชมเช่นนี้
“ดีกว่าทุกคนเลยเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
น้ำเสียงของนางไร้ความรู้สึก สีหน้าก็นิ่งสงบ ทว่า คำพูดเหล่านี้กลับเข้าหูของท่านผู้เฒ่าจางและทำให้เขารู้สึกใจสั่น
เฉิงเจียวเหนียงถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ถูกผู้คนเกลียดชังทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักกัน มีเพียงแม่และยายเท่านั้นที่รักและห่วงใย ซึ่งพวกเขาได้จากไปแล้ว เมื่อกลับบ้านที่อยู่ดินแดนที่ห่างไกลออกไป ก็ถูกทอดทิ้งและส่งกลับให้มาใช้ชีวิตอยู่ที่วัดเต๋าดังเดิม
การมีญาติดีกว่าไม่มีญาติ เพราะไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย หากเป็นบ้าคงเดิมคงจะไม่เสียใจเพียงนี้ และสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือ นางรับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ช่าง…นัก
ท่านผู้เฒ่าจางรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังสั่นอย่างเจ็บปวดและดวงตาของเขาก็โศกเศร้าเล็กน้อย
“เจ้าอยากกลับบ้านหรือไม่” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“ที่นี่คือบ้านของข้าเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “บ้านนั้น ข้าไม่ต้องการเจ้าค่ะ”
เด็กคนนี้ช่างน่าสงสาร! หัวใจของท่านผู้เฒ่าจางหนักแน่นและจริงจัง แล้วก็โมโหในทันที
ต้องมีครอบครัวเช่นไรกัน ถึงทำกันได้ถึงเพียงนี้
ยังเป็นปัญญาชนอีกด้วย! ต้องการเป็นนักปกครอง! ลูกสาวของตัวเองยังดูแลเอาใจใส่ไม่ได้ แล้วจะดูแลราษฎรให้ราวกับเป็นคนในครอบครัวของตนได้อย่างไรเล่า
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าจางแย่ลงเรื่อยๆ
“อืม หากเจ้าชอบที่นี่ก็อยู่ที่นี่ บ้านหลังนั้น กลับไปก็เท่านั้น รอข้าส่งสาวใช้นิสัยดีมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน” เขากล่าว
สำเร็จแล้ว!
ขณะที่ท่านผู้เฒ่ามาถึง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ความสังสัยก็เริ่มคลี่คลายลง จนความโกรธและความ อยุติธรรมเข้ามาแทนที่
คนฉลาดก็คือคนฉลาด ต้องเห็นและได้ยินด้วยตัวเองถึงจะมั่นใจ
มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงโค้งขึ้นและโค้งตัวแสดงความขอบคุณ
มองดูท่านผู้เฒ่าเดินลงเขาไป บ่าวและสาวใช้ที่รออย่างกังวลใจเดินเข้ามารับ
“ท่านผู้เฒ่าเจ้าคะ นายหญิง…” สาวใช้ถามอย่างเป็นกังวล “หายเศร้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
เศร้าใจหรือ
การแสดงออกทางสีหน้าของท่านผู้เฒ่าจางนั้นสับสนเล็กน้อย ขณะที่เดินลงตามถนนบนภูเขาทีละก้าว ความโกรธที่เกิดขึ้นในวังไท่ผิงก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย
ราวกับว่าตนถูกจูงจมูก…
นึกถึงเพียงเท่านี้ เขาก็หัวเราะออกมา
“สาวใช้บ้า” เขามองไปที่หญิงสาวที่ห่วงใยแล้วส่ายหัวกล่าว ซึ่งนางกำลังน้ำตาคลอเบ้า “โบราณว่ารักมากก็มักจะเจ็บมาก เจ้าเอ๋ย เจ้าห่างชั้นกับนายหญิงของเจ้ามาก”
สาวใช้รู้สึกงวยงง
“ข้า ข้าจะไปเทียบกับนายหญิงได้อย่างไรเจ้าคะ นายหญิงเก่งและฉลาดมากเจ้าค่ะ” นางบ่นพึมพำ น้ำตาร่วง
“ไม่มีการแบ่งว่าฉลาดหรือไม่ฉลาดหรอก ใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็คือฉลาดแล้ว” ท่านผู้เฒ่ากล่าว “ไปกันเถอะ นางไม่ต้องการเจ้า ข้าต้องการเจ้า”
อะไรนะ นางคือใคร ใครไม่ต้องการข้า
สาวใช้ครวญครางทั้งน้ำตา
“นายท่านขอรับ พวกเราจะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเลยใช่หรือไม่ขอรับ” บ่าวถามด้วยความดีใจ “ข้าจะได้ให้คนส่งจดหมายไปบอกนายน้อยก่อนขอรับ”
นายน้อยก็คือจางฉุน แม้ว่าต่อหน้าผู้อื่นเขาจะเรียกว่านายท่าน แต่ในสายตาของบ่าวแล้ว ก็ยังคงเป็นนายน้อยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด
ท่านผู้เฒ่าจางพยักหน้า แล้วมองขึ้นไปบนเขาอีกครั้ง
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าเป็นคนใจดำสักครั้งก็แล้วกัน” เขากล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อ “ว่านผิง ไปเอาพู่กันและหมึกมา ข้าจะเขียนจดหมายถึงจื่อหราน”
จางฉุน มีชื่อรองว่าจื่อหราน
เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าจางค่อยๆ เลือนหายไปจากถนนบนภูเขาอย่างช้าๆ เฉิงเจียวเหนียงยืนนิ่ง ไม่ขยับ เจ้าอาวาสซุนก็ยืนอยู่อย่างเงียบๆ อย่างระมัดระวัง
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ภาพของหญิงสาวผ่านเงาจากแสงอาทิตย์ หากเป็นเมื่อก่อนคงบอกว่าเพราะฟ้าผ่าวัดเต๋าและไม่ได้เห็นกับตาเลยคาดเดาไปต่างนานา จึงทำให้ตกใจกลัวเล็กน้อย บัดนี้ สิ่งนี้เกิดขึ้นและได้เห็นกับตาของตนแล้ว ความกลัวภายในใจก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ
นายหญิงน้อยท่านนี้ ปกติพูดเพียงคำสองคำ ไม่ร้องไห้โวยวาย ทว่า กลับโน้มน้าวท่านผู้เฒ่าสำเร็จ ทั้งสามารถรักษาสถานะของสาวใช้ในภายภาคหน้าและได้สาวใช้ตามที่ต้องการ ยังรวมถึงสามารถเอามือแทงพ่อของนางอย่างสาหัสได้อีกด้วย
ทำได้อย่างไรกัน
เฉกเช่นท่านผู้เฒ่าถามว่าไม่มีการเลือกหรือใจดำ
มีเพียงคนใจดำเท่านั้นที่สามารถใช้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกเช่นนั้น โดยไม่รีบ ไม่โวยวาย ไม่เศร้า ไม่เสียใจและทำทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วน
“อืม มีอีกเรื่อง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“เจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนที่สติหลุดตอบสนองอย่างชาญฉลาดแล้วรีบขานตอบ
“ต้องรบกวนเซียนหญิงไปที่บ้านของตระกูลเฉิงพรุ่งนี้ โดยส่งสองสาวใช้นี้กลับไป และนำบ่าวกลับมาให้ข้าคนหนึ่ง ก็เอาคนนั้น คนที่หลายวันก่อนยุ่งอยู่กับการวิ่งเข้าออก” เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ใส่ใจนางที่ยั้งสติไม่อยู่ แล้วพูดอย่างช้าๆ
“เจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนตอบอย่างเร่งรีบ และมองเฉิงเจียวเหนียงหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปช้าๆ
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและมองลงไปที่ตีนเขา
คนที่เดินจากไป พวกเขาทอดทิ้งผู้หญิงคนนี้อย่างมีความสุข หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วคนที่ถูกทอดทิ้งคือพวกเขา
คนที่กำลังจะมาถึง คนที่เป็นกังวลเพราะคิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง หารู้ไม่ว่าพวกเขาเองกำลังจะได้รับโชค
……………………………………………………….