บทที่ 89 พอใจในสิ่งที่ตนมี
Ink Stone_Romance
รถม้ามุ่งตรงไปยังประตูที่สองของบ้านตระกูลเฉิน เหล่าแม่เฒ่าจัดวางเก้าอี้เสร็จเรียบร้อย ทุกคนล้วนต่างกลั้นหายใจแล้วมองไปที่รถม้า
“เจียวเจียวร์…”
สาวใช้ยกม่านของรถขึ้น มองเห็นฮูหยินใส่เครื่องประดับสีหยกเขียวเต็มศีรษะ ก่อนจะเดินมาด้วยน้ำตาพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ
นายหญิงมีชื่อเล่นว่าเจียวเหนียง เจียวเจียวร์เป็นชื่อเล่นที่เรียกกันในเหล่าญาติสนิทเท่านั้น
ญาติในเมืองหลวงมีเพียงตระกูลโจวแล้ว
นี่คือฮูหยินแห่งตระกูลโจวหรือ
สาวใช้มองสำรวจไปที่ฮูหยิน แล้วหันกลับไปทางด้านหลัง
“นายหญิงเดินช้าๆ นะเจ้าคะ” นางกล่าว
ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ฮูหยินรีบชักมือกลับมาเช็ดน้ำตาแล้วมองไปทางด้านในของรถ
สาวใช้ลงมาก่อนแล้วยื่นมือออกไป คนที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินตัวใหญ่ขยับตัวออกมาแล้วยื่นมือออกจากเสื้อคลุมพร้อมจับมือสาวใช้ไว้ จากนั้นยกเท้าออกจากรถ
หมวกคลุมศีรษะและใบหน้า ซึ่งภายใต้แสงตะวันยามอัสดงทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก
“เจียวเจียวร์ของข้า” ฮูหยินร้องไห้กล่าว พร้อมกับเบียดสาวใช้ออกไป ยืนเข้าไปแล้วสวมกอดเฉิงเจียวเหนียง
“ฮูหยินเจ้าคะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
“ตอนนี้เข้าไปดูอาการของนายใหญ่เฉินก่อน ไว้กลับถึงบ้านเราแล้วค่อยพูดคุยกันเถอะ” ชายวัยกลางคนกล่าว
จากนั้นฮูหยินก็เช็ดน้ำตา ทั้งมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงและจับมือนางไว้
“เด็กดี รีบเข้าไปเร็ว” นางกล่าวพร้อมกับดึงมือเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไปด้านใน
พี่น้องหลายคน อาทิ เฉินเซ่า ลุงและอากำลังรอต้อนรับอยู่ตรงด้านในของบ้าน ขณะที่ญาติผู้หญิงส่วนหนึ่งยืนรออยู่ตรงประตูบ้านและมองไปทางด้านนั้นเช่นกัน
ทุกคนต่างรู้สึกสับสน
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริง หรือว่าท่านพ่อไม่ได้สติจึงพูดยกย่องเกินจริง หรือเป็นเพราะอาการป่วยที่เป็นอยู่ไม่หนักมาก จึงสามารถรักษาให้หายได้ ทว่า บัดนี้ ป่วยหนักมากแล้ว แม้แต่หมอหลวงก็ไม่สามารถรักษาได้ แล้วผู้หญิงนางนี้จะรักษาได้หรือ
ทั้งการคาดเดา ความสงสัยและความคาดหวังปะปนกันไป แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“มาแล้ว”
สาวใช้หลายคนเดินเข้ามากล่าว
จู่ๆ เฉินเซ่ารู้สึกเหมือนก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ได้หรือไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป
รอคอยมาแสนนาน วันนี้มีความหวังแล้วและเป็นความหวังครั้งสุดท้าย หากเกิด…
ฮูหยินโจวพาเฉิงเจียวเหนียงเข้าไปในลานบ้าน
“แม่นางเฉิง” เฉินเซ่าก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ความรู้สึกและโค้งคำนับ “พ่อของข้า…”
“เดินก้าวลำบาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นโดยขัดจังหวะการพูดของเขา “ข้าขอพักผ่อนสักพักก่อน”
ทุกคนที่อยู่ด้านในถึงกับตกตะลึง
“เจียวเนียง…” ท่านใหญ่โจวไอด้วยเสียงแผ่วเบา
“นายหญิงข้าพักผ่อนไม่เต็มที่ จะรักษาอาการป่วยได้อย่างไรเล่า” สาวใช้ขัดจังหวะเขาและมองไปที่เฉินเซ่าแล้วกล่าว “นายท่านรอมานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงจะรออีกสักครู่ไม่ได้หรือเจ้าคะ”
ประตูบ้านถูกดึงขึ้น นายใหญ่และฮูหยินแห่งตระกูลโจวหันไปมองหน้าพี่น้องแห่งตระกูลเฉิน
“เด็กคนนี้ ดูสิ ช่าง…นัก” ฮูหยินโจวกล่าวขอโทษ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คงเป็นเพราะเดินทางมาไกลจึงเหนื่อยและอยากพักผ่อนก่อน หากเป็นเจ้าและข้าคงไม่ไหวเช่นกัน” ภรรยาของเฉินเซ่ากล่าวอย่างรีบร้อนและกล่าวเชื้อเชิญสองสามีภรรยา “นั่งรอที่ห้องด้านนอกก่อนเถอะ”
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้มานั่งที่ห้องรับแขกของบ้านใต้เท้าเฉิน
นายใหญ่และฮูหยินแห่งตระกูลโจวยินดียิ่งนัก
พวกเขาปล่อยสาวใช้ของตนไว้เพื่อรอเรียกรับใช้ ฝูงชนเดินออกไปและรออย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นจึงฟังเรื่องเล่าที่พบเจอระหว่างทางจากนายเฉินสี่และพ่อบ้านเฉา ก็ถือว่าจะได้เข้าใจผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
ช่วงต้นฤดูหนาวมืดเร็วกว่าปกติ ห้องโถงตระกูลเฉินถูกจุดไฟสว่างไสว เตาถ่านก็ถูกจุดด้วยเช่นกัน ทำให้อากาศภายในบ้านอบอุ่นขึ้น โดยมีผู้คนหลายสิบคนมารวมตัวกันและฟังเรื่องเล่าจากนายเฉินสี่อย่างเงียบสงบ
“…ตอนนั้นข้าเข้าไปใกล้ เห็นแม่นางกำลังชักมีดแล่เนื้อ…”
ผู้หญิงคนหนึ่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพียงเท่านี้และรีบยื่นมือไปปิดหูของเด็กหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้านาง
“ตันเหนียงห้ามฟัง ประเดี๋ยวคืนนี้จะไม่กล้าเข้านอน” นางกระซิบ
“ไม่ ข้าไม่กลัว” ตันเหนียงรีบเขยิบถอยห่างและนั่งไปข้างหน้า แล้วเบิกตาจ้องมองไปที่อาของตน ราวกับว่านางสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาของตัวเอง
“…จากนั้นก็ห่อคนป่วยด้วยผ้าขี้ริ้วและหญ้าคาเหล่านั้น…”
“บาดเจ็บสาหัสและถูกมีดกรีดจนเลือดไหลเช่นนี้ จะไม่ยิ่งทำให้อาการสาหัสกว่าเดิมหรือ” นายท่านโจวถามแทรก
เขาเป็นทหารมาก่อนและคุ้นชินกับการบาดเจ็บจากมีด ปืนและดาบเป็นอย่างดี
“ไม่มีนะ” นายเฉินสี่ส่ายหัวแล้วจิบน้ำ
“ท่านอารีบบอกมาเถอะว่าคนนั้นรักษาให้หายดีแล้วหรือไม่เจ้าคะ” ตันเหนียงคะยั้นคะยอ
“อืม” เฉินเซ่ากล่าว
“ตันเหนียงอย่าไม่มีมารยาทเช่นนั้น อาของเจ้าวิ่งเข้าออกอย่างเหนื่อยยากลำบากนัก” เขาตักเตือน
เด็กไม่เข้าใจหรอก ทว่า ผู้ใหญ่ทุกคนที่เห็นสีหน้าและท่าทางของนายเฉินสี่ต่างรู้ว่ารักษาหายแล้ว
“ลำบากท่านอาแล้วเจ้าค่ะ” ตันเหนียงโค้งคำนับอย่างตั้งใจ
นายเฉินสี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ขอบใจเจ้ามากตันเหนียง” เขากล่าวแล้วก็กล่าวต่อ “จากนั้นก็ให้ต้มยาที่แปลกนัก พอถึงเช้าตรู่ของอีกวัน ท่านพ่อก็ฟื้นขึ้น”
“ช่างน่าทึ่งนัก” ตันเหนียงกล่าวอย่างมีความสุข
ผู้คนที่อยู่ด้านในก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นอกจากนี้ อีกสิบวันข้างหน้า จะวิ่งตามพวกเราทัน” นายเฉินสี่กล่าวต่อ “สามารถกินเนื้อ ดื่มเหล้า พยุงเดิน นั่งพิง และพูดได้ ร้องเพลงได้ หายเป็นปกติและช่วยพวกเราไล่ฝูงหมาป่า”
จากใกล้ตายจนฟื้น จากถูกช่วยจนเป็นผู้ช่วยชีวิตผู้อื่น ในเวลาเพียงสิบวัน ช่างมหัศจรรย์นัก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้กัน ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวหลายคนยังจับมือกันเพื่อเฉลิมฉลอง
“หมอเทวดา หมอเทวดาจริงๆ” เฉินเซ่าพูดซ้ำไปซ้ำมา แล้วมองไปที่สองสามีภรรยาแห่งตระกูลโจวและทำความเคารพ
สองสามีภรรยาแห่งตระกูลโจวสบตากัน แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ในตอนแรก ทว่า บัดนี้พวกเขาได้ฟังอย่างละเอียด ไม่เพียงแต่ไม่ได้ไขข้อสงสัยของพวกเขา พวกเขากลับยิ่งงวยงงมากขึ้นกว่าเดิม
คนบ้าจะกลายเป็นหมอเทวดาได้อย่างไร
หรือเป็นไปได้ว่ามีเทพเจ้าอยู่บนโลกแห่งนี้จริงๆ
“ในตอนแรก ท่านนักพรตกล่าวว่าเจียวเหนียงของเราจะได้รับมหาโชคในภายภาคหน้า ทั้งตระกูลไม่มีใครเชื่อและปฏิเสธที่จะส่งนางไปที่วัดเต๋า” แม้จะยังคงงวยงง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับฮูหยินโจวในการเล่าเรื่องในอดีต ขณะที่พูดก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริง เพียงแต่สงสารน้องสาวของข้า หากวันนี้นางยังมีชีวิตอยู่ จะดีใจมากเพียงใด”
แม้ว่าในตอนแรกจะไม่รู้เรื่องราวของภรรยาแห่งตระกูลเฉิง แต่ช่วงเวลานี้ก็เพียงพอแล้วที่ตระกูลเฉินจะไปถามจนได้ความอย่างกระจ่างและตั้งใจส่งคนไปที่ปิ้งโจวเป็นพิเศษอีกด้วย
ก็ไม่ได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดนัก ทว่า เมื่อพูดถึงว่าคนบ้ารักษาอาการป่วยจนหายได้ก็วิเศษมากพอแล้ว และยังรักษาคนป่วยได้อีก
“ข้าคิดว่าหรือเพราะได้รับวิธีพิเศษจากเซียนเทวดา” ลูกพี่ลูกน้องของฝ่ายพ่อคนหนึ่งกระซิบกับเฉินเซ่าที่อยู่ข้างๆ
เฉินเซ่าพยักหน้า คงอาจจะเป็นเช่นนั้น
หวังว่าวิธีจากเซียนเทวดาจะช่วยชีวิตพ่อของเขาได้ ส่วนผู้หญิงคนนี้รักษาอาการป่วยจนหายได้อย่างไร ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
“เรื่องของบ้านตัวเอง ไม่ต้องพูดต่อให้มากความ ขอให้รักษานายใหญ่เฉินให้หายเร็วๆ ก็พอแล้ว” นายใหญ่โจว กล่าว
เมื่อเสียงพูดแผ่วเบาลง เสียงของสาวใช้ที่อยู่นอกประตูก็ดังขึ้น
“นายท่าน เฉิงเจียวเหนียงมาแล้วเจ้าค่ะ”
คนในห้องอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นคุกเข่าหลังตรง ประตูก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินก้าวเข้ามา
เมื่อถอดเสื้อคลุมและผ้าคลุมผม ใบหน้าที่สวยสดงดงามก็ปรากฏสู่สายตาทุกคนที่อยู่ตรงหน้า ผมสีดำเงาราวกับน้ำหมึกยาวถึงเอว สวมใส่ชุดคลุมผ้าซาตินสีเขียว และกระโปรงลายดอกสีเรียบไว้ด้านใน ซึ่งเรียบง่ายเป็นที่สุด แต่ภายใต้แสงไฟที่ส่องแสงสว่างไสวทั้งด้านในและด้านนอก กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสวยวิจิตรตระการตาและไม่กล้าสบตาตรงๆ
งดงามนัก…
นี่เป็นความคิดแรกของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
อายุน้อยมาก…
นี่เป็นความคิดต่อมาของนายท่านทั้งหลายแห่งตระกูลเฉิน
หากถกเรื่องประสบการณ์ทางวิชาแพทย์แล้ว อายุน้อยเพียงนี้จะมีประสบการณ์จากไหนกัน หากไม่ใช่เพราะจนตรอกและได้ฟังวิธีการรักษาที่น่าอัศจรรย์ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาสิ้นหวัง
“คนป่วยอยู่ที่ไหนหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถามพร้อมกับยืนอยู่ตรงประตู
คนในบ้านถึงได้สติกลับมาแล้วรีบลุกขึ้นยืน
“แม่นาง โปรดตามข้ามา”
………………………………………………………..