บทที่ 71 ช้าก่อน
Ink Stone_Romance
เฉิงเจียวเหนียงตื่นจากความฝัน
นางไม่ได้ฝันมานานแล้ว ขณะหลับตาก็จำเรื่องราวไม่ได้ เมื่อลืมตาอีกครั้งก็ตื่นจากฝัน
อาจเป็นเพราะนางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ดังนั้น จึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝันได้อย่างไร
นางยืนอยู่ในความมืด ราวกับว่าไม่มีที่ให้นางไปและไม่มีที่ให้นางหนี โดยรอบๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่
จากนั้นนางก็สะดุ้งตื่น
สิ่งที่แปลกคือ ไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความวังเวงใจ
เฉิงเจียวเหนียงเอามือมาวางไว้ที่ตรงหัวใจ ซึ่งเย็นเหมือนน้ำแข็งและแทบจะหยุดเต้น
ไม่มีทางรอดจากไฟไหม้แล้วและความตายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น แม้แต่ความกลัวก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปเหลือไว้เพียงความอ้างว้างเท่านั้น
ทว่า ไม่ควรรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้
ราวกับว่าหัวใจของนางถูกควักออกมาและฉากนี้ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง อัตราการเต้นของหัวใจนางหยุดลงชั่วขณะจริงๆ
“นายหญิงเจ้าคะ”
เสียงกระซิบถามของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากนอกม่าน จากนั้นม่านก็ถูกดึงออก สาวใช้อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี คิ้วโก่งเหมือนวงพระจันทร์ ได้แต่ยิ้มไม่พูดจา
อัตราการเต้นของหัวใจและสีหน้าท่าทางของเฉิงเจียวเหนียงกลับสู่ภาวะปกติ
“นายหญิงฝันร้ายหรือเจ้าคะ” สาวใช้นั่งคุกเข่าแล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
แสงยามเช้าภายในบ้านสลัวๆ เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปข้างนอก ซึ่งทางทิศตะวันออกยังไม่สว่างเลย
“ไม่เป็นไร” นางกล่าว “ปั้นฉิน ข้าอยากลุกขึ้น”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ แล้วไปม้วนผ้าม่านขึ้น ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงเข้าไปในห้องสะอาดด้วยตัวเอง
สาวใช้เปิดโคมไฟในบ้านและอุ่นถ้วยน้ำบนเตาอิฐเล็กๆ ซึ่งหลังจากทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังห้องสะอาด
ขณะนั้น สาวใช้อีกคนกำชับกับตนว่า เพราะว่านายหญิงป่วยอยู่ ขยับร่างกายไม่ค่อยสะดวกนัก ต้องปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ไม่คิดเลยว่าย้ายมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว นายหญิงแต่งตัว ทำผม สระผม หรือแม้กระทั่งทำอาหารด้วยตัวเองโดยไม่ปล่อยให้นางช่วยทำเลย
ซึ่งดูไม่เหมือนคนป่วยเลย เว้นแต่ไม่ค่อยชอบพูดเพียงเท่านั้น
อืม แต่มีสิ่งหนึ่งที่สาวใช้นั่นพูดไว้ไม่มีผิดคือ นายหญิงชอบตั้งชื่อสาวใช้ว่าปั้นฉิน
นางไปบ้านของตระกูลเฉิงก่อน แล้วค่อยมาที่นี่พร้อมกับเซียนหญิงแซ่ซุน ต่อมานางถึงรู้ว่าเซียนหญิงแซ่ซุนนั้นเป็นเจ้าอาวาสของวัดเสวียนเมี่ยวที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาและมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิง
นายหญิงแห่งตระกูลเฉิงผู้นี้ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังไท่ผิงและส่วนใหญ่ก็จะได้รับการดูแลจากเหล่าบรรดาแม่ชีทั้งหลายแห่งวัดเสวียนเมี่ยว
ตนติดตามเจ้าอาวาสซุนเพื่อไปพบนายหญิง นายหญิงมองสำรวจนางอยู่ชั่วครู่และประโยคแรกที่นางเอ่ยคือเจ้ามีชื่อเรียกหรือไม่
สำหรับคนทุกคนแล้ว คนมีฐานะร่ำรวยจะมีชื่อเรียกที่ไพเราะ คนฐานะยากจนก็จะมีชื่อเรียกที่เรียบง่าย ฉะนั้น จะไม่มีชื่อเรียกได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่านายหญิงคนนี้กำลังถามคำถามโง่ๆ อยู่
สาวใช้ได้รับการกำชับมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าควรรับมือเช่นไร
“เดิมทีข้ามีชื่อเรียกเจ้าค่ะ แต่เป็นชื่อเรียกที่นายหญิงไม่รู้จัก ดังนั้น ข้าจึงถือว่าข้าไม่มีชื่อเรียกเจ้าค่ะ” นางกล่าว
นายหญิงที่อยู่ตรงหน้ามองดูแล้วแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ มุมปากของนางกำลังโค้งขึ้น
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าปั้นฉิน ดีหรือไม่” นางถาม
ประตูตรงห้องสะอาดเปิดออกโดยขัดจังหวะความฟุ้งซ่านของสาวใช้ นางรีบลุกขึ้นและหยิบเสื้อคลุมผ้าซาตินตัวหนาออกจากไม้แขวนแล้วคลุมให้แก่เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงและรับน้ำจากสาวใช้ แล้วดื่มไปครึ่งแก้วอย่างช้าๆ
“นายหญิงอยากอ่านหนังสือหรือฟังข้าอ่านดีหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามพลางหยิบหนังสือจากด้านข้าง
“ฟัง” นางกล่าวพร้อมกับนั่งนิ่งและพิงโต๊ะไม้เตี้ย
“เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว พร้อมกับนั่งคุกเข่าแล้วพลิกหน้าหนังสือตรงโคมไฟ
“…ค่าน้ำมันครึ่งกิโลไม่ถึงร้อยเหวิน แผงลอยข้างถนน ประตูแขวนโคมไฟ ทิศใต้ยาวถึงเขาหลงซาน ทิศเหนือยาวถึงเป่ยซินเฉียว ตลอดทางสี่สิบลี้ไฟส่องสว่างไสว มีผู้คนนับล้านครอบครัวที่อยู่ทั้งในและนอกเมือง ทุกตรอกซอกซอย แม้กระทั่งตรอกซอยอับมืดแคบก็เช่นเดียวกัน แขวนโคมไฟหรือใช้กรง หรือใช้ผ้าไหมซาติน หรือโคมไฟกระดาษ หรือใส่นิทานลงไป ทุกคนต่างแข่งขันกัน…”
เสียงผู้หญิงดังขึ้นภายในห้องอย่างแผ่วเบา เฉิงเจียวเหนียงพิงโต๊ะไม้เตี้ย ทั้งตั้งใจฟังและใช้นิ้วมือวาดเขียนอยู่บนโต๊ะไปด้วย
“พูดช้าๆ หน่อย” นางขัดจังหวะสาวใช้เป็นครั้งคราว
สาวใช้ปรับความเร็วในการพูด ทั้งสองก็ทำเช่นนั้นต่อไป จนกระทั่งทิศตะวันออกส่องแสงสว่างไสว
หน้านี้อ่านไปแล้วเจ็ดถึงแปดรอบ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าให้กับสาวใช้
“พอแค่นี้ก่อน” นางกล่าว พร้อมกับนั่งหลังตรงและถูมือข้างขวา
นิ้วถูกถูจนแดง อีกไม่นานคงจะด้านเป็นแน่
“นายหญิงต้องการหวีผมหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงหยิบหวีที่ด้านข้างขึ้นมา สาวใช้จึงรีบถาม “ให้ข้าทำให้เถอะเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงหวีผมช้าๆ ด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไร” นางกล่าว
นายหญิงพูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น เจ้าฟังไว้ก็พอ ไม่ต้องถามให้มากความ
สาวใช้นึกถึงคำพูดที่สาวใช้คนก่อนกำชับ หากมีเพียงสาวใช้นั่นกำชับก็คงเท่านั้น ทว่า แม้แต่ท่านผู้เฒ่ายังกำชับเช่นนั้น
ปล่อยนายหญิงไป นางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป
ท่านผู้เฒ่าให้ความสำคัญกับนายหญิงคนนี้มาก คงไม่ใช่เพียงสงสารหรอก
สาวใช้ยืนนิ่งและมองดูผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าฉากกั้นห้องกำลังหวีผมอยู่ช้าๆ ผมของนางถูกดูแลดีมาก สีดำเงาราวกับน้ำหมึก ไม่เคยมัดผม ได้แต่ปล่อยยาวตรง ขณะนั่งลง ผมนางยาวถึงพื้น ราวกับผ้าต่วน
การตกแต่งภายในบ้านเรียบง่าย นายหญิงเดินไปมาระหว่างห้องสะอาด ห้องนอนและโต๊ะไม้เตี้ยสามที่เพียงเท่านั้น โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องทำความสะอาด หนังสือก็มีเพียงเล่มเดียวและถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ นางล้างแก้วน้ำและดับเตาอิฐขนาดเล็กเสร็จเรียบร้อยแล้ว สาวใช้จึงนั่งลงที่เดิม โดยไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อดี
“เดิมทีมีสาวใช้สองคน แต่เนื่องด้วยดวงชะตาของนางไม่ดีนักและไม่ดีต่ออาการป่วยของนายหญิง ดังนั้น จึงถูกส่งตัวกลับ”
เมื่อคนในตระกูลเฉิงพบกับเจ้าอาวาสซุน นางจึงบอกกับตนเช่นนี้
ถูกแม่ชีตรวจดูดวงชะตาแล้วบอกว่าไม่ดีเช่นนี้ ต่อไปคงไม่มีใครกล้าเรียกสาวใช้ทั้งสองนี้ไปปรนนิบัติแน่
ข้ามาจากตระกูลจาง เคยได้ร่ำเรียนหนังสือ รู้ว่าบนโลกแห่งนี้คำพูดเพียงแผ่วเบาก็เปรียบได้กับมีดสังหาร
สองสาวใช้ล่วงเกินแม่ชีรูปนี้เมื่อไหร่กัน
ทว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกับนาง สิ่งที่นางควรกังวลคือนายหญิงที่กำลังป่วยอยู่ ถูกเลี้ยงอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง และมีนางเพียงคนเดียวที่ปรนนิบัติรับใช้ จะไม่ให้ยุ่งและเหนื่อยมากได้อย่างไรกัน
ไม่คิดว่าจะว่างจนกลัวตาลีตาลานเช่นนี้
ดูเหมือนนอกจากอ่านหนังสือแล้ว นางก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เฉิงเจียวเหนียงหวีผมเสร็จอย่างรวดเร็วและลุกขึ้นยืน
“นายหญิงให้ข้าทำกับข้าวให้เถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดอย่างรีบร้อน
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้านาง แล้วโค้งมุมปากขึ้น
“ให้ข้าทำเถอะ” นางกล่าว
สาวใช้เดินตามไปสองสามก้าวอย่างจนปัญญาและทำอะไรไม่ถูก จำคำกำชับก่อนมาได้อย่างแม่นยำและไม่กล้าซักถามหรือขวางนางไว้ จนกระทั่งนายหญิงเดินไปถึงประตูแล้วเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค ทำให้ศักดิ์ศรีในฐานะสาวใช้สลายไปโดยสิ้นเชิง
“อืม เจ้าอยากกินอะไรหรือ” นางเอ่ยถาม
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้รีบก้าวไปข้างหน้าสองถึงสามก้าว “สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ข้าควรทำ ท่านทำเช่นนี้ ข้าควรทำตัวเช่นไรเจ้าคะ หากข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ไยไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์หรือเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงหยุดชะงัก
“อืม ใช่” นางดูเหมือนจะคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “เป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่ดีจริงๆ ด้วย หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ทำเถอะ”
สาวใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกมีความปราถนาที่จะขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ในที่สุดก็ได้ทำงานแล้ว ช่างมีความสุขนัก
ณ วันที่ท้องฟ้าสดใส คนขี่ม้าเจ็ดถึงแปดคนและรถม้าสองคันปรากฏขึ้นนอกประตูเมืองเจียงโจว
ตรงประตูเมืองมีชายหนุ่มและหญิงสาวสองถึงสามคนมาตั้งตารออยู่นานแล้ว เมื่อมองเห็นคนกลุ่มนี้ พวกเขาก็ต่างดีใจกันมาก
“พ่อบ้านเฉา” พวกเขารีบเดินมาต้อนรับ
ชายวัยกลางที่เป็นผู้นำขบวนดึงบังเหียนของคอม้า
“พวกเจ้ามาถึงแล้ว” เขาพูดพร้อมกับหันหลังกลับไปมองที่ผู้ชายคนข้างๆ “นายท่านสี่ นี่คือเหล่าบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านประจำเรือนของตระกูลเราที่ไปอยู่บ้านของตระกูลเฉิงขอรับ”
นี่คือน้องชายของเฉินเซ่า เป็นนายท่านสี่ของตระกูลเฉิน ซึ่งเฉินเซ่าไม่สามารถมาด้วยตัวเอง เพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม จึงส่งน้องชายมาแทน เพื่อเชิญหมอไปรักษาอาการป่วยของบิดา
นายเฉินสี่พยักหน้าและมองไปที่เมืองแห่งนี้อย่างเป็นกังวล
“พวกเรารีบตรงไปที่บ้านของตระกูลเฉิงเถอะ” เขาพูดพลางหันกลับไปมองที่ผู้ติดตาม “ของขวัญทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ” ผู้ติดตามตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ช้าก่อน” พ่อบ้านเฉารีบรั้งเขาไว้แล้วกล่าว
นายเฉินสี่ขมวดคิ้ว
“พ่อบ้านเฉา เรื่องนี้ช้าไม่ได้จริงๆ หมอหลี่บอกว่าอยู่ได้อีกแค่สองเดือนเท่านั้น พวกเราต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนในการเดินทางไปกลับ หากระหว่างนี้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกเล่า…” เขาพูดอย่างเป็นกังวล
“ข้าทราบดี ข้าทราบดีขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าวอย่างรีบร้อน ทั้งปลอบประโลมเขาและมองไปที่ชายหนุ่มและหญิงสาวพวกนั้น “พวกเจ้ารู้ที่อยู่ของนายหญิงหรือไม่”
ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนต่างมองหน้ากัน เช้าวันนี้ พวกเขาจู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งจากบ่าวคนหนึ่งว่าที่บ้านจะมีแขกมา คิดว่าที่บ้านรังเกียจพวกเขาที่ทำงานไม่ดี เลยคิดที่จะมาช่วย ดังนั้น จึงรีบวิ่งออกมา ไม่นึกว่าจะเอ่ยถามถึงนายหญิงคนนั้นก่อน
นายหญิงคนไหนหรือ
………………………………………………………