บริเวณสะพานอวี้ไต้นอกรั้วบ้าน คนขับรถม้านั่งหมอบอยู่ข้างรถ มองไปที่ด้านในอย่างระมัดระวัง แต่กลับมองไม่เห็นชายหนุ่มเหล่านั้น และมีเพียงบ่าวเท่านั้นที่วิ่งไปมา
“นายหญิงจะย้ายกลับมาเมื่อใดขอรับ หลังจากท่านชายทั้งหลายจากไป ข้าอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว มันน่าเบื่อมาก” จินเกอร์เอ่ย
“มีบ้านฝั่งมารดาให้อยู่ หากไม่อยู่คงน่าเสียดาย” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หรือเจ้าจะกลับไปบ้านตระกูลโจวกับพวกเรา คนเยอะจะได้คึกคัก”
จินเกอร์ส่ายหน้าอย่างรีบร้อน
“งั้นข้าขออยู่ดูแลบ้านให้แก่นายหญิงดีกว่า” เขาเอ่ย
“อย่าดูแลจนตัวเองหายไปล่ะ” สาวใช้พูดติดตลก
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ลานกว้าง ขณะเดียวกันเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมาจากด้านใน
“ไปเช่ารถมาที” นางเอ่ย “ไปดูที่ร้านกัน”
สาวใช้รีบขานตอบ ริมสะพานมีคนให้เช่าม้าและรถรออยู่ สาวใช้ใช้เวลาไม่นานก็เช่ารถมาหนึ่งคัน
“รีบย้ายรถเร็วเข้า เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน นายหญิงจะออกไปข้างนอก” นางพูดกับคนขับรถม้าของตระกูลโจว
คนขับรถม้าของตระกูลโจวจ้องมองไปสาวใช้ที่กำลังช่วยพยุงเฉิงเจียวเหนียงขึ้นรถอีกคันอย่างเงียบๆ
“นายหญิงมีรถส่วนตัว เหตุใดถึงไม่ใช้เล่า” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม พร้อมกับหันหน้าไปมองบ่าวข้างๆ
“เจ้าขับรถไม่ดีกระมั้ง” จินเกอร์เบ้ปากเอ่ย
รถม้าขับแล่นไปตามถนนอย่างโคลงเคลง เดือนแรกของปีกำลังจะผ่านไป และฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง
“นายหญิงลองมองทางนี้สิเจ้าคะ” สาวใช้ชี้ไปที่ภาพตลาดบ้านเรือนอันครึกครื้นให้แก่เฉิงเจียวเหนียงดูตามทีละอย่างจากหน้าต่างรถ “นายหญิงยังไม่ได้เที่ยวชมเมืองหลวงเลย เราจะออกมาเที่ยวกันเมื่อไหร่ดีเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปข้างนอก ภาพบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าและคนเดินไปมาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งดูแปลกตาและคุ้นเคยในคราเดียวกัน
“นายหญิงเจ้าคะ ผู้นั้นคือท่านชายหันเจ้าค่ะ” สาวใช้โน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบผ่านผ้าโปร่งพร้อมกับชี้ไปที่ด้านนอก
เฉิงเจียวเหนียงมองตาม เบื้องหน้ามีบัณฑิตสี่ห้าคนกำลังเดินสวนทางมา บ้างอายุมากบ้างอายุน้อย แต่ใบหน้ากลับดูเศร้าหมอง
เขาเดินโซเซจากไป ทั้งสองพลาดโอกาสที่จะได้พบเจอกัน
“นายหญิงเจ้าคะ ดูเหมือนว่าท่านชายหันกำลังไม่สบายใจใช่ไหมเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพลางหันกลับมา
“ใช้ชีวิตนอกบ้านก็เป็นเช่นนี้แล หลีกเลี่ยงได้ยาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้เม้มริมฝีปาก ยิ้มขานตอบแล้วนั่งหลังตรง
รถม้าหยุดลง ผู้คนที่อยู่ด้านในเห็นเข้าก็รีบออกมาต้อนรับ
“น้องสาวมาแล้ว” สวีปั้งฉุยตะโกนพลางมองไปยังสาวใช้ที่กระโดดลงจากรถก่อน “มาดูเร็วว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
น้องสาวหรือ
ชายหนุ่มเหล่านี้มีน้องสาวด้วยหรือ
หลี่ต้าเสาเดินออกมาจากด้านหลังมองด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังลงจากรถ เพราะยังไม่ได้สวมหมวก จึงเผยให้เห็นผมตรงดำยาวที่เงาวับ ใบหน้าขาวนวลดุจหยก เขาตกใจจนก้มศีรษะลง รีบหลีกทางให้แล้วหลบไปทางด้านข้าง
เมื่อได้ยินว่าเสียงหัวเราะพูดคุยพากันไปด้านหลังแล่วเขาถึงกล้าเดินออกมา
“ต้าเสา เจ้าจะกลับแล้วหรือ” สวีเม่าซิวเอ่ยถาม
หลี่ต้าเสาขานตอบอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดร้าน แต่หลี่ต้าเสาก็มาที่นี่ทุกวัน เพื่อทำความสะอาดห้องครัวและทำความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงาน
“เอาข้าวสาร บะหมี่และผักกลับไปด้วยสิ” สวีเม่าซิวเอ่ย พร้อมกับชี้ไปทยังอาหารที่กองอยู่ในห้องโถงหลัก
“เถ้าแก่ไม่เป็นไรขอรับ ไม่เป็นไรขอรับ ครั้งที่แล้วเอากลับไปยังกินไม่หมดเลยขอรับ” หลี่ต้าเสารีบโบกมือเอ่ยและคำนับเพื่อขอบคุณ
สวีเม่าซิวพยักหน้าก่อนจะหยุดพูด
เมื่อเห็นเขากลับเข้าไปด้านใน หลี่ต้าเสาถึงจะยืดหลังตรงและชำเลืองมองด้านในผ่านประตูที่เปิดอยู่
ร่างของหญิงสาวกำลังเดินขึ้นไปยังชั้นบน
มีคนติดตามทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เสียงดังครึกครื้น
“…อันนี้พอได้หรือไม่ อันนี้วางตรงนี้เหมาะหรือไม่”
เสียงดังวุ่นวายได้ลอยออกมา
แทนที่จะบอกว่าแนะนำ สู้พูดว่าขอคำแนะนำจะเหมาะเสียมากกว่า
ร้านของพวกเขาแท้ๆ แต่กลับต้องถามหญิงสาวผู้นี้ก่อนว่าควรจัดแต่งอย่างไร
หลี่ต้าเสาตะลึงไปชั่วขณะ และได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาลอยมา
“พ่อหนุ่ม เจ้าจะยังเข้าเมืองอยู่หรือไม่”
หลี่ต้าเสารีบมองไปและเห็นเพื่อนบ้านกำลังขับรถเกวียนอยู่
“ไปสิ ไปสิ” เขาพูดอย่างรีบร้อนพร้อมกับวิ่งไปหาเพื่อนบ้าน
ณ บริเวณชั้นสอง เฉิงเจียวเหนียงละสายตาจากหน้าต่าง
“พอได้” นางเอ่ย
สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังต่างรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
“เตรียมของใช้ เครื่องเงินที่จะใช้ไว้ครบถ้วนแล้ว ส่วนเหล้าเลือกจากสามร้านหลักในเมืองหลวง ได้แก่ชุนเนี่ยง อวี้จิงและปี้ซี รวมสามประเภท”
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวเพื่ออธิบายรายละเอียดโดยละเอียด ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายไปทำงานของตน
“มีค่าใช้จ่ายมากมายนัก” ฟ่านเจียงหลินอดไม่ได้ที่จะพูดเสริม
“ใช้จ่ายไปมาก ก็จะได้กลับมามากเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาต้องใช้เงินแลกทองคำแท้อยู่แล้ว ไม่มีทางลัดใดหรอก”
“ใช่ น้องสาวพูดถูก” ฟ่านเจียงหลินยิ้มเอ่ย “ของทั้งหมดในห้องโถงหลักก็จัดเตรียมไว้ครบแล้วเช่นกัน เครื่องดื่มสั่งตรงมาจากโรงเหล้าทางการแห่งเฉิงซี รวมถึงกากเหล้าด้วย
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งเหล่านี้เท่าไรนัก ข้าให้พวกพี่เชิญผู้ดูแลร้าน พี่เชิญมาแล้วหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“นอกจากหลี่ต้าเสาแล้ว ยังมีผู้ดูแลร้านคนเก่าของหอจุ้ยเฟิ่งที่ถูกขับไล่ออกไปด้วย ผู้มีประสบการณ์ช่ำชองนัก” เขาเอ่ย “ข้าได้ไปเยี่ยมเขาพร้อมหลี่ต้าเสาแล้วและโน้มน้าวจนเขายอมตกลงมา แต่เพราะบ้านอยู่ไกล เลยจะออกมาหลังจากผ่านเดือนแรกไปแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่วันคงจะเดินทางมาถึง”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“รอให้คนมาถึงก่อน แล้วให้เขาตัดสินใจ” นางเอ่ย “ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ และผู้ที่มิได้ชำนาญในอาชีวศิลป์นั้น ย่อมไม่เข้าใจหลักการของมันหรอก พวกเราทำในสิ่งที่ทำได้เถอะ ส่วนเรื่องบริหารร้านปล่อยให้เขาเป็นผู้จัดการ”
สวีเม่าซิวยิ้ม
“น้องสาววางใจได้ พวกเราจะดูแลร้านของน้องสาวเป็นอย่างดี จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน” เขาเอ่ย
“นี่มิใช่ร้านของข้า แต่เป็นร้านของพวกเรา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าออกเงิน พี่ๆ ออกแรงและยังต้องรับหน้าแทนด้วย”
เงินปันผลของร้านเราแบ่งออกเป็นสามส่วน ขณะที่ฟ่านเจียงหลินรู้สึกว่ามันมากเกินไป แต่สวีเม่าซิวกลับโน้มน้าวให้รับไว้
“น้องสาวมิใช่คนโลภที่จะมุ่งแสวงหาแต่ผลกำไร” เขาเอ่ย
“แต่ลงทุนร้านอาหารถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพื่อหาเงินหรอกหรือ” สวีปั้งฉุยถามอย่างงงงวย “ทำเพื่ออะไรกัน เพื่อพ่อครัวคนนั้น เพื่อท่านชายหันที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนหรือ”
สวีเม่าซิวมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงซึ่งนั่งอยู่ในรถที่ขับออกไปไกลแล้ว โดยมิได้พูดอะไร
ใครจะไปรู้ แต่ทว่านางอยากทำอะไร ก็ให้ทำเถิด ยิ่งไปกว่านั้น นางอยากทำอะไร ก็เหมือนจะทำได้ทั้งนั้น ชีวิตคนเราได้เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว จะให้ถามต่อว่าทำไปเพื่ออะไรอยู่อีกหรือ
ระหว่างที่รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงขับออกไป หลี่ต้าเสาก็เพิ่งนั่งรถม้าเข้าประตูเมืองมา
บ้านพักขุยหยวนมิใช่ร้านใหญ่ หลี่ต้าเสาที่ไม่ค่อยได้เข้าเมืองก็ยิ่งไม่คุ้นชิน โชคดีที่เขาเป็นผู้มีไหวพริบดีจึงถามสาวใช้ว่าเดินทางอย่างไร และถามตลอดทางจนหาร้านเจอ
หลังจากเดือนแรกของปี ผู้มาเยือนก็มีจำนวนมากขึ้น และโรงเตี้ยมก็มิได้ร้างเหมือนช่วงปีใหม่
เมื่อเห็นหลี่ต้าเสาเดินเข้ามา หันหยวนเจาจำเขาไม่ได้ จนได้พูดคุยกับหลี่ต้าเสาถึงจะนึกออก
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อย่าไปพูดถึงเลย” เขาส่ายหัวและยิ้มเอ่ย
เมื่อได้พบหน้ากับบัณฑิตและยิ่งเป็นผู้มีพระคุณด้วยแล้ว หลี่ต้าเสาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เดิมทีเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ก็ยิ่งพูดไม่เป็นเข้าไปใหญ่ หลังจากขอบคุณไปแล้วหลายรอบ เขาก็หน้าแดงก่ำพร้อมกับยื่นหนังสือในมือให้
“นี่คืออะไรหรือ” หันหยวนเจาประหลาดใจ
หลี่ต้าเสาเล่าอย่างตะกุกตะกัก หันหยวนเฉาและสหายทั้งสองต่างงวยงง
“เจ้าหมายความว่าพวกเขาจะไม่ยอมจ่ายค่าแรงครึ่งปีให้ โดยให้หุ้นนี้มาแทนหรือ” สหายคนหนึ่งเอ่ย “เจ้าถูกหลอกแล้วล่ะ”
“ไม่หรอก ไม่หรอก” หลี่ต้าเสาโบกมืออย่างรีบร้อน “เถ่าแก่สวีไม่ใช่คนแบบนั้น และยังจ้างผู้ดูร้านที่ข้ารู้จักไว้ด้วย ตอนนี้ร้านจัดเตรียมครบสมบูรณ์แล้ว แม้จะยังไม่ได้ค่าแรง แต่ของกิน ของดื่ม ข้าเอากลับบ้านทุกวัน คนในครอบครัวข้ามีอาหารให้กิน ไม่ต้องอดตาย และอีกอย่าง พวกเขาจะหลอกอะไรข้า ข้าไม่มีอะไรให้พวกเขาหลอก”
หันหยวนเฉาและทั้งสามคนสบตากันแล้วหัวเราะออกมา
ใช่ ฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่การหลอกลวง แต่เหมือนการทำความดีเสียมากกว่า
“หากเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว อันนี้เจ้าเอาไป ข้าไม่เอา” หันหยวนเฉาเอ่ยพร้อมส่งคืน
หลี่ต้าเสาปฏิเสธที่จะรับมันคืนทุกวิถีทาง และไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี จึงโขกหัวคำนับแทน
“ผู้มีพระคุณ หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณ ข้าคงตายไปแล้ว จะดูแลคนในครอบครัวได้อย่างร” เขาเอ่ยสะอึกสะอื้น
“เขากลัวมากถึงเพียงนี้ หากเจ้าไม่รับไว้ คงจะบาปเป็นแน่แท้” สหายผู้หนึ่งเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ
หันหยวนเฉาจึงทำได้เพียงรับมันไว้ หลี่ต้าเสาทำสำเร็จตามใจหมาย รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาเดินจากไปอย่างมีความสุข
“จะพูดอย่างไรดี เบงแรงเพียงน้อยนิด กลับแลกได้มาซึ่งเงินปันผล” หันหยวนเฉายิ้มเอ่ย “เข้าเมืองหลวงครั้งนี้ กลับได้ร้านอาหารมาด้วย อะไรจะมีความสุขมากถึงเพียงนี้”
สหายหัวเราะเสียงดังลั่น พร้อมกับยื่นมือไปหยิบหนังสือมาอ่าน
เรือนไท่ผิง
ชื่อไม่โดดเด่น ทำเลที่ตั้งก็ไม่โดดเด่น สถานที่แห่งนี้พวกเขาเคยไปมาแล้ว หากมิใช่เพราะนางฟ้าผ่านมาและความนิยมที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน ดูท่าแล้วคงเป็นแค่ร้านทางผ่าน เปิดได้เพียงระยะเวลาหนึ่งก็คงต้องปิดตัวลง
นอกจากนั้น มีเงินปันผลเพียงส่วนเดียว
เงินปันผลหนึ่งส่วนจะได้เท่าไรเชียว
“ข้ายอมเสียเงินมากมายเพื่อแลกกับการเข้าชั้นเรียนของท่านอาจารย์เจียงโจว” เขาถอนหายใจเอ่ย พร้อมกับนำหนังสือตีไปที่หันหยวนเฉาด้วยสีหน้าเศร้าโศก
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หันหยวนเฉาถึงกับยิ้มไม่ออกด้วยความเสียดาย
“เมื่อไม่มีโอกาสนั้น พวกเรามาตั้งใจอ่านหนังสือกันเถิด” เขาเอ่ย พลางสะบัดเสื้อนั่งลงแล้วเริ่มอ่านหนังสือ
เขาใส่หนังสือแผ่นนั้นไว้ในหนังสือแล้วพลิกข้ามไป