“พวกฟ่านเจียงหลินกับสวีเม่าซิวนั่นแหละ”
“พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่เรือนตรงสะพานอวี้ไต้…”
“ตอนนี้เฉิงเจียวเหนียงพักอยู่ที่นั่น เฉิงเจียวเหนียงก็คือแม่นางจากตระกูลโจวที่ช่วยคนตายแล้วฟื้นผู้นั้น แล้วก็คือคนเดียวกันที่กินนางฟ้าผ่านทางของร้านเราเป็นครั้งแรก ตอนนั้นนางได้รับเชิญจากบ้านของอำมาตย์เฉินแห่งเจียงโจว…”
ผู้ดูแลร้านพลิกกระดาษในมือ มองดูข้อมูลที่เชื่อมโยงกันพลางฟังโต้วชีพูดไปด้วย
“เถ้าแก่หมายความว่าเรือนไท่ผิงเป็นของเฉิงเจียวเหนียงหรือ” เขาถาม
โต้วชีส่งเสียงถุย
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร! ” เขาพูดยิ้มเยาะ “ก็แค่กลอุบายของตระกูลโจวเท่านั้นแหละ เฉิงเจียวเหนียงมีวิชาลับชุบชีวิตคนตายได้ ผู้คนจึงเห็นแก่หน้านาง”
เขาพูดขณะที่เดินวนไปมา
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนายใหญ่แห่งตระกูลเฉินถึงได้ออกหน้าแทนเรือนไท่ผิงยามไปที่วัดผู่ซิว! ” เขาเอ่ยน้ำเสียงเกลียดชัง มือกำหมัดแน่นโบกสะบัดไปมา “เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึง! เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึง! ข้ารู้ดีว่าตระกูลโจวไม่ยอมทิ้งโอกาสกอบโกยเงินทองไปหรอก! พวกเขาคงไม่ละเว้นเรือนนางฟ้าของเรา! พวกเขาวางแผนมานานแล้ว! ”
ผู้ดูแลร้านพยักหน้าเช่นกัน
“เถ้าแก่ ท่านดูนี่ ด้านบนเขียนไว้ว่าสุขใจไร้กังวลเริ่มแรกมาจากเรือนไท่ผิง! ” เขาตะโกนพลางชี้นิ้วไปที่กระดาษ
โต้วชีเห็นก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอได้ยินอีกครั้งก็ไม่วายโมโหจนหน้าเขียว
“ไอ้คนทรยศ! ไร้ยางอาย! คนชั้นต่ำ! ” เขากัดฟันสบถ
เมื่อผู้ดูแลร้านอ่านจบก็วางกระดาษในมือลง ทั้งยังคงงุนงงเล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นตระกูลโจว!
แท้จริงแล้ว หลังจากครั้งนั้น พวกเขาก็เริ่มวางแผนคิดร้ายต่อเรือนนางฟ้าแล้วหรือ
แท้จริงแล้ว ชื่อเสียงของราชเลขาหลิวมิได้ทำให้พวกเขาเกรงกลัวเลยหรือ…
“คนทำเพื่อเงิน ย่อมกล้าเสี่ยงต่อภัยอันตราย” โต้วชีกัดฟันพูด “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาคิดว่ามีแม่นางเฉิง
ก็เท่ากับมีที่พึ่ง พวกเขาจึงไม่เห็นท่านปู่บุญธรรมอยู่ในสายตา”
ผู้ดูแลร้านพยักหน้า
“ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง” เขาพูด
มีวิชาลับชุบชีวิตคนตายอยู่ในมือ แน่นอนว่าหลายคนก็เกรงกลัวอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครอยากตายหรอก
โต้วชีหัวเราะเยาะ
“พวกเขาลงมือลับๆ คิดว่าข้าจะทำบ้างไม่ได้หรือ” เขาเอ่ยขึ้น “ตระกูลโจวกล้าอ้างว่ามีคนจะมาขโมยสูตรเต้าหู้แล้วลงมือฆ่าคน แล้วคิดว่าข้าจะอ้างเหตุผลเช่นนั้นบ้างไม่ได้หรือ ในเมื่อเหตุผลสำคัญที่สุด เขาก็อย่าลืมเสียล่ะว่าตนเป็นก็ขุนนางเช่นกัน! “
เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกไป
“เอาของมาให้ข้า” เขาพูด “ข้าจะไปหาท่านปู่บุญธรรม”
ผู้ดูแลร้านรีบขานรับแล้วยื่นกระดาษในมือให้ เมื่อเห็นว่าโต้วชีหันหลังเดินจากไป เขาจึงรีบตะโกนเรียกรั้งไว้อีกครั้ง
“เถ้าแก่ไม่เอาเงินติดตัวไปด้วยหรือ” เขาถาม
ราชเลขาหลิวใช่ว่าจะให้เข้าพบได้ง่ายๆ เจอหนึ่งครึ่งเหมือนถูกถลกหนังหนึ่งชั้น
โต้วชีหัวเราะเยาะแล้วสะบัดกระดาษในมือ
“บางครั้งหน้าตาก็สำคัญกว่าเงิน” เขาเอ่ย “หากไม่มีหน้าตาแล้ว จะหาเงินได้อย่างไรเล่า! ”
ครั้งนี้ตระกูลโจวกล้าที่วางแผนคิดร้ายต่อเรือนนางฟ้า แม้จะรู้ว่ามีราชเลขาหลิวหนุนหลังก็ตาม เห็นได้ชัดว่าไม่มีราชเลขาหลิวอยู่ในสายตาเลย
หากครั้งนี้ตระกูลโจวทำสำเร็จ ก็เท่ากับปล่อยให้ตระกูลโจวลูบคมราชเลขาหลิว หากครั้งนี้ยังกล้าลูบคมอีก ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะลามปามไปถึงไหน พอเห็นตระกูลโจวทำได้ ผู้อื่นคงย่ามใจทำตามเป็นแน่
หากครั้งนี้ตระกูลโจวทำสำเร็จ ชื่อเสียงของราชเลขาหลิวคงเสื่อมถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยากจะเรี่ยไรเงิน อยากจะให้คนประจบก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
ครั้งนี้แทนที่จะบอกว่าโต้วชีเสียเปรียบ สู้พูดว่าราชเลขาหลิวเสียเปรียบน่าจะเหมาะเสียกว่า
อุตส่าห์ไปบอกเตือนภัย ยังจะต้องเอาเงินไปให้อีกหรือ
“กุยเต๋อหลาง ระวังตัวไว้เถิด! ” โต้วชีกัดฟันพูด
ฤดูร้อนอันอบอ้าว นายใหญ่โจวที่มายังเมืองเจียงโจวที่อยู่ไกลออกไปถึงกับจามขึ้นมา
เขาลูบจมูก
หลายวันมานี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ เพราะมักจะจามและหนาวจนตัวสั่น มีใครพูดถึงเขาลับหลังหรือ
นอกจากตระกูลโจวจะเป็นใครไปได้ เพราะเกือบหนึ่งเดือนมานี้ ตระกูลโจวคงเอาแต่ก่นด่าเขาลับหลังจนปากเปียกปากแฉะ
คิดว่าเขากลัวหรืออย่างไร!
“ว่าแต่ยังไม่ชินหรือ ต้องพักผ่อนให้มากขึ้น อย่าหักโหมจนล้มป่วย” นายใหญ่เฉิงเอ่ยขึ้นในใดพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง
นายใหญ่โจวทำเสียงกระแอมแล้วเหยียดหลังตรง
“พ่อของเจียวเจียวร์เลวทรามต่ำช้าเช่นไร ข้ารู้ ท่านก็รู้ นายใหญ่เฉิงท่านยังจะดึงดันเช่นนี้ไปเพื่ออะไร” เขาพูด “หากไม่ไหวจริงๆ ก็ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไปเจอกันที่ศาลาว่าการ”
ฮูหยินเฉิงหัวเราะขึ้น
“นายใหญ่โจว เหตุใดต้องทำถึงขั้นนั้นด้วยเล่า คนเขายังไม่ได้ตรวจสอบ พวกเราผิดพลาดเช่นนี้แล้ว ผู้ใดจะรับประกันว่าพวกท่านจะไม่ผิดพลาดเช่นกัน” นางพูด “แทนที่จะสร้างความเดือดร้อนเพิ่มขึ้น สู้คัดเลือกอย่างระมัดระวังจะดีเสียกว่านะ”
“คัดเลือกอย่างระมัดระวังหรือ ดูแต่ละคนที่พวกท่านเลือกมาสิ! ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วยิ้มเยาะ “หากข้าตาบอด ก็ไม่ยอมให้เจียวเหนียงเลือกบัณฑิตบ้ากามที่หมกมุ่นอยู่กับสาวโสเภณีนั่นหรอก”
นายใหญ่เฉิงและภรรยาตีหน้านิ่ง
“หากไม่เห็นกับตาตัวเองจะรู้ได้อย่างไร” พวกเขาเอ่ย
จังหวะที่พูดคุยกันอยู่นั้น แม่นมคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู
“ฮูหยิน ฮูหยินหวังจากทิงโจวมาเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ตระกูลหวังแห่งทิงโจว คือตระกูลฝั่งพ่อแม่ของฮูหยินใหญ่เฉิง ฮูหยินหวังจึงมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของฮูหยินใหญ่เฉิง
เหตุใดถึงมาหากะทันหันไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้
ฮูหยินใหญ่เฉิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย และหลังจากได้พบกับฮูหยินหวัง นางก็ไม่เพียงแต่ประหลาดใจ
แต่กลับหวาดกลัวเสียมากกว่า
“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ” นางแทบสะดุ้งตัวโยน มองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ
หญิงผู้นี้ใบหน้ามนกลม คิ้วบาง ตาหงส์ สวมใส่เครื่องประดับเงินและทอง ทำให้ดูสวยสง่ายิ่งนัก
“พี่สาว ข้าหมายความว่าจะมาสู่ขอเจียวเหนียงให้กับชายสิบเจ็ด” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้สนใจฮูหยินใหญ่เฉิงที่กำลังตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าบ้าไปแล้ว! ” ฮูหยินใหญ่เฉิงที่เพิ่งได้สติก็ตะโกนออกมา ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “หากเจ้าจะตามใจเขาเรื่องกินนอนเที่ยวเล่นนั้นข้าไม่ว่า แต่เรื่องงานแต่งใช่เรื่องเล็กเสียที่ไหน! ”
“ชายสิบเจ็ดชอบนางน่ะ” ฮูหยินหวังพูดอย่างไม่แยแส
“เขาชอบอย่างนั้นหรือ! หากเขาชอบฆ่าคน เจ้าก็จะปล่อยให้เขาฆ่าคนหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะคอกกลับอย่างเกรี้ยวกราดในทันที
“เขาแค่ชอบคน ไม่ใช่ชอบฆ่าคนเสียหน่อย” ฮูหยินหวังพูดด้วยรอยยิ้ม “หากชอบแล้วไม่สมใจหวัง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกดดันจนต้องฆ่าคนก็เป็นได้”
ฮูหยินใหญ่เฉิงโมโหจนทนไม่ไหว
นางรู้ว่าน้องชายและน้องสะใภ้ตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้ และนางเองก็ตามใจเขาเช่นกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะตามใจกันถึงขั้นนี้
“นางเป็นคนบ้า! คนบ้า! ” นางพูด “หากตระกูลหวังของเราแต่งงานกับคนบ้า! จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“พี่สาว หน้าตาของตระกูลหวังของเรา ขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่นอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินหวังยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทีไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นภาพวาดนั่นแล้ว ชายสิบเจ็ดก็บอกกับข้าแล้วเช่นกัน นางไม่เหมือนกับคนบ้าเลย นางเป็นคนเงียบๆ ก็คิดเสียว่าซื้อของมาวางไว้ที่บ้านแล้วกัน ไม่ได้หวังว่านางจะมีลูกชายไว้สืบสกุลเสียหน่อย”
“วางไว้เฉยๆ อย่างนั้นรึ” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มเยาะ “คนบ้านั้นเป็นกาลกิณี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนนำความโชคร้ายมาให้ทั้งนั้น สร้างเรื่องโกลาหลวุ่นวายมิได้หยุดหย่อน”
“พี่สาว พูดกันตรงๆ หากชายสิบเจ็ดอาละวาดขึ้นมาจริงๆ นั่นถึงเรียกว่าโกลาหลวุ่นวาย! ” ฮูหยินหวังพูดพร้อมกับใช้พัดตบโต๊ะไม้ “ข้าขอแค่ความสงบสุข เขาก็ขอแค่ความแปลกใหม่ ไม่ใช่เรื่องจีรังยั่งยืนอะไร หากถึงตอนนั้นก็เพียงเลี้ยงดูนางไว้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ฮูหยินใหญ่เฉิงจ้องมองน้องสะใภ้ ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมาดี
“ข้าเพิ่งจะหัวเราะเยาะบ้านนายรองไป พอถึงตอนนี้ข้าก็เผชิญชะตากรรมเดียวกันแล้วหรือนี่” นางโมโหจนหัวเราะออกมา
ฮูหยินหวังก็ยิ้มเช่นกัน
“พี่สาว ตระกูลเผิงจะเทียบกับตระกูลหวังของเราได้อย่างไร” นางยิ้มพูดพลางสะบัดพัด “นี่ยังไม่ต้องพูดถึงชนชั้นของตระกูลเรา แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว หากข้าพูดออกไป พวกเขาก็เทียบไม่ได้แล้ว”
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองไปที่นาง เฝ้ารอฟังว่านางจะพูดอะไรที่น่าตกใจออกมาอีก
“ตระกูลเผิงของพวกเขาไม่ได้ต้องการสินเดิมของเจียวเหนียงหรอกหรือ” ฮูหยินหวังยิ้มบางพลางโบกพัดกลมไปมา “ตระกูลโจวของพวกเขาก็จับจ้องสินเดิมของเจียวเหนียงอยู่มิใช่หรือ หากเป็นเช่นนี้ยิ่งง่ายใหญ่เลย การแต่งงานครั้งนี้ ตระกูลหวังของเราเอาแค่คน ไม่เอาสินสอด”
เอาแค่คน ไม่เอาสินสอด!
ทันใดนั้นฮูหยินใหญ่เฉิงก็ตาเบิกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง
……………………………….