ตอนที่ 243 เหตุใดไม่หนีแล้วเล่า
บุรุษที่สวมหน้ากากเหลือบสายตามองนาง มุมปากก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าไม่หนีแล้วเล่า”
อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองเขาอย่างอารมณ์เสีย ก้มหน้าลงมองมือและเท้าของตัวเองที่ถูกหญิงชุดดำสองคนจับเอาไว้จากทางด้านหลัง พวกนางมีเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่อาจขยับไปไหนได้ หากเป็นเขาที่ถูกจับเช่นนี้ นางก็อยากจะรู้นักว่าเขาจะหนีอย่างไร!
นี่เขาก็กำลังเยาะเย้ยนางอยู่ชัดๆ มิใช่หรือ
บุรุษที่สวมหน้ากากเมื่อเห็นว่านางยังคงมีอารมณ์คุกรุ่น เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ข้ายังไม่เคยเจอสตรีตระกูลสูงศักดิ์นางใดที่เป็นเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นถึงคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง แต่ถูกจับได้กลับไม่แสดงท่าทีตกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งนัก…”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่” อวี้อาเหรานิ่งงันไป พยายามวิเคราะห์ความหมายจากวาจาของเขา
รอยยิ้มของบุรุษผู้สวมหน้ากากช่างหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจ ทำให้นางที่มองเห็นนั้นอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะมีผู้ใดที่มีสายตาเรียบเย็นเสียดแทงกระดูกได้ถึงเพียงนี้ ในดวงตาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา ในเบ้าตาลึกแดงก่ำนั้นมีความโดดเดี่ยวอยู่เต็มไปหมด
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ากลัวอะไรกัน กลัวว่าข้าจะพูดเรื่องอะไรที่ไม่ควรพูดอย่างนั้นหรือ”
ท่าทีของเขาทำให้สติของอวี้อาเหราตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดของเขา พยายามคิดว่าตัวนางกลัวอะไร? นางก็ไม่ได้มีความลับอะไรเสียหน่อย เถรตรงไม่มีอะไรต้องปกปิด เมื่อคิดดังนี้แล้วนางก็เงยหน้าขึ้นอย่างแน่วแน่ สายตามองตรงไปที่เขา ยิ้มเย็นแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ ข้าไม่ใช่คนที่ถูกล่อลวงได้ง่ายถึงเพียงนั้น!”
“ฟังไม่เข้าใจ?” ในที่สุดบุรุษที่สวมหน้ากากก็ไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้อีก “หรือเจ้าก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่รัชทายาทผลักเจ้าตกหน้าผาไปหมดแล้ว”
ตกหน้าผา? ในใจของอวี้อาเหราตกตะลึง คิดถึงวันที่นางเพิ่งจะทะลุมิติเข้ามาในช่วงเวลานี้ แต่นี่ก็เกี่ยวอะไรกับความกลัวกัน นางก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะอย่างนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา ข้าก็ไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้ามากมายนักหรอกนะ!”
ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าเสียงของเขาก็ฟังดูไพเราะดี ทว่ายามนี้ในใจกลับไม่หลงเหลือความรู้สึกดีใดๆ เลยแม้แต่น้อย นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะจับตัวนางมาด้วยเหตุผลอันใดกัน หรือว่าจะทำไปเพื่อพูดจาแปลกๆ เหล่านี้? ไม่สิ จุดประสงค์ของเขานั้นก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก ไม่มีใครกล้าที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อลักพาตัวคนในวังหลวงเช่นนี้ ยิ่งคนผู้นั้นยังเป็นถึงธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง ทั้งยังเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทด้วยแล้ว
อวี้อาเหรานิ่งเงียบไป ในใจรู้สึกกระวนกระวาย
บุรุษที่สวมหน้ากากถอยห่างออกไปในทันที ลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังให้ “เจ้าก็ไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง”
สายลมเย็นพัดผ่านร่างกาย เสื้อผ้าสีดำและเกศาสีดำปลิวไสวไปตามสายลม น้ำเสียงเอื่อยๆ ทว่าเย็นยะเยือกของเขาเหมือนกับเหล็กหนักๆ ที่ทุบลงในใจของนาง อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงค่อยกล้ำกลืนความประหลาดใจเอาไว้ในอก
“เจ้า…เจ้า…พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หากข้าไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องแล้วจะเป็นใครกัน”
อวี้อาเหราบังเกิดความตื่นกลัวขึ้นภายในใจขึ้นมาฉับพลัน ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน ความแปลกใจเอ่อล้นขึ้นมาในอกราวกับพายุคลั่งในท้องทะเล นางไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องจริงๆ แต่นอกจากตัวนางเองแล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างเล่า? หากนางพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อถือ ทว่าชายหนุ่มผู้เผยให้เห็นถึงความดุดันเย็นชาจนทำให้สั่นเทาไปเสียทั้งร่างตรงหน้านี้กลับรู้
ภายใต้สถานการณ์อันคลุมเครือ ในใจของอวี้อาเหราบังเกิดความตื่นตระหนก จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
บุรุษที่สวมหน้ากากนิ่งไปนาน เช่นนั้นจึงค่อยหันหน้ามา แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
ตอนที่ 244 ความลับ
“ข้าก็ผ่านไปเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นเข้าพอดี หากเจ้าเป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องจริง เหตุใดตอนที่พบกับสาวใช้ของตัวเองแท้ๆ กลับจำไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเจ้าเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้ นี่จะเป็นเพราะอะไรได้เล่า”
“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะกล่าวอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้เสียอีก” อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ “วันนั้นข้าถูกผลักตกหน้าผาจึงทำให้สมองเลอะเลือน จดจำใครไม่ได้ไปชั่วขณะ หากเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้จะทำให้เจ้าเอาเรื่องของข้าไปพูดมั่วๆ เจ้าก็คิดหรือว่าคนอื่นจะโง่เช่นนั้น”
“แน่นอนว่าหากอาศัยเพียงคำพูดนี้ของข้าแล้วคงยากที่จะทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้” บุรุษผู้ที่สวมหน้ากากเอ่ยขึ้นมาในทันที “แต่หากคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังมีชีวิตอยู่เล่า”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ผ่านไปนานทีเดียวกว่าที่อวี้อาเหราจะหาเสียงของตัวเองเจอ
คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังมีชีวิตอยู่? นางยังมีชีวิตอยู่หรือ
เสียงนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระซิบกระซาบวนไปมา จะเป็นไปได้อย่างไรกัน หากเป็นการสวมร่างทะลุมิติโดยทั่วไปนั้น หากเจ้าของร่างเดิมยังมีชีวิตอยู่ แล้วนางจะเป็นใครกัน? ไม่ใช่ว่าวิญญาณของนางจะเข้าสู่ร่างของเจ้าของร่างเดิมหรอกหรือ? ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะยังอยู่ แต่ใครเล่าจะมองเห็นวิญญาณกัน นี่มันเป็นเรื่องตลกขนานใหญ่ชัดๆ!
ไม่ต้องพูดถึงว่านางที่เป็นคนยุคสมัยใหม่จะไม่เชื่อ เรื่องนี้หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อแน่
แต่ว่าแท้จริงแล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ร่างกายของนางในตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีหน้าตารูปร่างเหมือนกับตัวนางในยุคปัจจุบัน แต่กลับไม่ใช่ร่างกายในยุคปัจจุบัน เจ้าของร่างเดิมไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในนิยายเท่านั้นกระมัง ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงแน่!
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ทว่าความตกใจของนางนั้นก็ไม่อาจถูกควบคุมให้สงบได้อีกต่อไป
สมองของนางนั้นก็ไม่อาจประมวลเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้เลย
หรืออาจจะพูดได้ว่า เดิมทีเจ้าของร่างเดิมก็ได้ตายไปแล้ว เป็นบุรุษผู้นี้ที่ตั้งใจพูดขึ้นมาเพื่อปั่นประสาทนาง เพราะฉะนั้นตอนนี้นางไม่อาจเผยให้เห็นถึงช่องโหว่ของตัวเองได้ มิเช่นนั้นหากนางบอกเรื่องราวของตัวเองทั้งหมดออกไปให้เขาฟัง นางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ในฐานะคุณหนูรองหลิงตัวจริงได้?
บุรุษที่สวมหน้ากากมองประเมินท่าทีของนาง มองละเอียดเสียจนไม่ละเลยไปแม้เพียงจุดเล็กๆ
“อย่างไรเล่า ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”
“อย่างไรเล่าอะไรกัน ข้าก็เป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง ในโลกนี้จะมีคนที่เหมือนกันไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ได้หรือ” แม้จะตีให้ตายอวี้อาเหราก็ไม่ยอมรับ บุรุษผู้นี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนดีอะไร ใครจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยทบทวนความจำให้เจ้าเอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาและไร้ซึ่งความอดกลั้นอีกต่อไป “คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงเคยบอกข้าว่าเสด็จแม่ของนางนั้นชอบดอกเหมยมาแต่ไหนแต่ไร มีชุดกระโปรงที่แยกกันอย่างชัดเจนระหว่างชุดขาวปักดอกเหมยสีน้ำเงิน และชุดสีแดงที่ปักดอกเหมยแดงเอาไว้”
อวี้อาเหราพยายามเก็บงำความตกใจที่เผยออกมาทางแววตาของตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจาเอ๋อร์บอกกับนางด้วยตัวเอง น้อยนักที่คนทั่วไปจะทราบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องนี้เลย…
บุรุษที่สวมหน้ากากเอ่ยต่อไปว่า “อีกเรื่องหนึ่ง กำไลหยกเลือดที่ข้อมือของเจ้านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดมันถึงมาอยู่ที่มือของเจ้าได้”
“?” อวี้อาเหราเพียงเงยหน้าขึ้น ไม่สนใจคำพูดของเขา
ก่อนที่นางจะหลุบตาลงมองกำไลที่ข้อมือของตัวเองอีกครั้ง หรือว่านี่จะยังมีที่มาที่ไปอะไรบางอย่าง? เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งกำไลวงนี้ยังเป็นฉู่ป๋ายที่บังคับใส่มือนางไว้ แล้วจะมีเรื่องอะไรได้อย่างไรกัน
บุรุษที่สวมหน้ากากกล่าวต่อไปว่า “กำไลที่ข้อมือของเจ้าเป็นหยกโลหิต เป็นกำไลที่พระชายาหลิงอ๋องและพระชายาเซิ่นอ๋องพบเข้าโดยบังเอิญ ยามนั้นมันยังเป็นหยกทั้งก้อนโดยสมบูรณ์ เดิมทีคิดที่จะนำกลับมา แต่จู่ๆ ก็มีนักพรตชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น กล่าวว่าให้นำหยกโลหิตนี้มองให้กับพระชายาเซิ่นอ๋องเก็บรักษาเอาไว้”