ตอนที่ 247 เจ้าคู่ควรหรือ
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีความสามารถอย่างไร ขอเพียงเป็นเจ้าอย่างไรเสียก็ไม่มีปัญหา”
“แต่ว่าหากถูกจับได้ นั่นก็มีโทษถึงตายเชียวนะ!”
“นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าสนเพียงผลลัพธ์เท่านั้น”
“…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี้อาเหราก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมาบ้าง คิดดูแล้วเขาที่ทำเช่นนี้ก็แค่เป็นการส่งนางไปเสี่ยงอันตรายโดยที่ไม่สนว่านางจะเป็นหรือตายใช่หรือไม่ หากต่อไปนางช่วยเขาฆ่าฉู่ป๋ายได้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรตรงไหน อีกทั้งยังเท่ากับเป็นการเสี่ยงชีวิต แต่หากไม่ทำตาม ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่านางจะรอดได้เช่นกัน
“จำไว้ ห้ามเปิดเผยในสิ่งที่เจ้าได้ยินเมื่อครู่นี้เด็ดขาด มิเช่นนั้น…”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
บุรุษผู้นั้นหรี่ดวงตาลงด้วยความรู้สึกที่แฝงอันตราย อวี้อาเหรารู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก แต่ทำได้เพียงฮึดฮัดไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
“จริงสิ” อวี้อาเหราคิดขึ้นมาได้ จึงถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร”
ดวงตาของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าก็คู่ควรที่จะรู้ชื่อของท่านเจ้าสำนักของพวกเราหรืออย่างไร” หญิงสาวชุดดำที่จับตัวนางไว้เหล่านั้นร้องตะคอกออกมาในทันที ใบหน้าของพวกนางแสดงท่าทีไม่พอใจ ราวกับการพูดชื่อออกมานั้นเป็นการดูหมิ่นดูแคลนอย่างร้ายกาจ อีกทั้งพวกนางยังไม่กล้าที่จะมองชายหนุ่มตรงๆ ใช้เพียงการสังเกตอย่งฉับไวเท่านั้น สายตาเหล่านั้นก็แสดงออกให้เห็นถึงความเคารพและความหวาดกลัว
หากมองแต่เพียงท่าทีของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้คงไม่ใช่คนที่ดีเด่อะไรนัก
อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่สวมหน้ากากอีกครั้ง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ อาภรณ์สีดำที่ปกคลุมร่างเขาอยู่นั้นไม่อาจปกปิดร่างกายอันใหญ่โตเอาไว้ได้ และเมื่อมองออกไปตรงๆ ก็จะเห็นเส้นผมสีดำปลิวระใบหน้าที่เย็นชา ริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มน้อยๆ จนกลายเป็นเส้นบาง มองไม่ออกว่าในยามนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“หนิงจื่อเย่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ตัวอักษรง่ายๆ ที่ไม่มีสลับซับซ้อนสามตัว น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยรื่นหูนักเท่าไรนัก ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและเข้ากันดี ราวกับต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมากจึงจะพ่นคำทั้งสามคำนี้ออกมาได้ และก็ดูราวกับเป็นทารกที่เพิ่งคลอด ที่แท้จริงแล้วอยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่อาจสะกดคำออกมาได้ แม้พูดออกมาก็เป็นเพียงเสียงอ้อๆ แอๆ เท่านั้น
“หืม?” อวี้อาเหราตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
“คุณหนู ท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ!” ทันทีที่สิ้นสุดวาจา ที่ด้านหลังไม่ไกลนักก็มีเสียงของเจาเอ๋อร์ร้องออกมา และเหมือนว่าจะมีเสียงกลุ่มคนจำนวนมากตามมาด้วย อย่างไรเสียนางก็ถูกลักพาตัวอย่างอาจหาญหน้าประตูวังหลวง เรื่องนี้จึงสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนได้ง่ายๆ
เมื่ออวี้อาเหราจะร้องตอบ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหนิงจื่อเย่ นางจึงทำได้เพียงเงียบเสียงไปเท่านั้น
หนิงจื่อเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ทว่าสายตาของเขานั้นราวกับกำลังกวาดตามองร่างของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำเหล่าหญิงสาวในชุดดำที่จับตัวนางมาแล้วจากไปราวกับนกนางแอ่น ความหมายนั้นก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก เป็นการบอกให้นางรู้ว่าเรื่องไหนควรพูดเรื่องไหนไม่ควรพูด
คนเหล่านั้นเพิ่งจะจากไป เจาเอ๋อร์ก็วิ่งมาพบนางเข้าพอดี ในใจของนางก็คลายความกังวลลง รับก้าวเข้ามาหา “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
เจาเอ๋อร์พูดไปพูดมา ดวงตาก็อดแดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก คุณหนูของนางถูกลักพาตัวไปหน้าประตูวัง เป็นเรื่องอุกอาจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังกล้าที่จะเอากระบี่มาจ่อคอนางอีก หากไม่ระวังแม้แต่น้อยนางก็คงจะต้องตายเสียแล้ว แล้วนี่จะยังไม่น่าตกใจอีกหรือ ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ
องครักษ์วังหลวงกลุ่มใหญ่รีบวิ่งตามเข้ามาในทันที
อวี้อาเหราพยายามที่จะสงบใจเอาไว้ ก่อนจะมองไปยังเจาเอ๋อร์ “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ หากคุณหนูเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย ท่านอ๋องคงจะต้องถลกหนังบ่าวเป็นแน่”
ตอนที่ 248 สับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น
“เรื่องเมื่อครู่นี้เจ้าก็ให้คนไปรายงานเสด็จพ่อแล้วหรือ” อวี้อาเหราตกใจขึ้นมา
“บ่าวไหนเลยจะมีเวลาส่งคนไปรายงานกันเจ้าคะ พอคุณหนูถูกจับตัวไปบ่าวก็รีบออกตามหาพร้อมกับองครักษ์วังหลวงทันที ท่านเป็นถึงธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง อีกทั้งยังถูกจับตัวไปหน้าประตูวังเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องกระจายไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิงเป็นแน่ แล้วนี่ยังจะปิดท่านอ๋องได้อีกหรือเจ้าคะ”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” อวี้อาเหราพยักหน้า ความรู้สึกสับสนปนเปไปเสียทั้งหมด
เพียงไม่นานเจาเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของนาง ก่อนจะหันมองไปรอบด้านนิ่งๆ “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยเล่า เจ้าคนชุดดำที่จับตัวท่านไปอยู่ที่ไหนแล้ว นี่ก็ช่างร้ายกาจนัก หากจับตัวได้จะต้องสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นเลยเชียว!”
“พวกมัน…” อวี้อาเหราพูดขึ้นด้วยท่าทีลังเล “เดิมทีพวกมันก็ต้องการที่จะสังหารข้า แต่พอเห็นพวกเจ้ารีบตามมาจึงล่าถอยไปเสียแล้ว”
“นับว่ายังดีที่พวกมันรู้ทัน!” เจาเอ๋อร์สบถออกมาด้วยความโกรธเคืองที่ยังไม่จางหาย
อวี้อาเหรามองไปยังองครักษ์ที่กำลังหาตัวคนชุดดำอยู่ “พวกเจ้าไม่ต้องหาแล้ว พวกมันคงหนีไปไกลแล้วล่ะ”
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์ประสานสายตากัน แล้วจึงทำได้แต่เพียงรามือ
เจาเอ๋อร์ชะงักไปพร้อมกล่าวขึ้นว่า “คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่ให้พวกเขาค้นหาเล่าเจ้าคะ พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นองครักษ์ของวังหลวงทั้งนั้น ล้วนแต่มีฝีมือสูงส่ง ไม่แน่ว่าอาจจะค้นหาร่องรอยของคนพวกนั้นพบก็เป็นได้ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปว่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องถูกลักพาตัวไปอย่างอุกอาจเช่นนี้คงโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้พวกเขาตามหา” อวี้อาเหราวิเคราะห์ขึ้นมา “เจ้าดูสิ คนชุดดำเหล่านั้น แม้จะเป็นต้าเว่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แล้วคนเหล่านี้จะสู้ได้หรือ หากแม้จะค้นหาก็คงหาไม่พบแม้แต่เงา เสียเวลาเปล่า มิสู้กลับไปแล้วค่อยหารือกันยังจะดีเสียกว่า”
แม้ว่านางจะพูดไปเพื่อล่อลวงเจาเอ๋อร์ แต่ที่นางกล่าวนั้นก็ไม่นับว่าผิดนัก หนิงจื่อเย่นั้นมีวรยุทธ์สูงส่งและแข็งแกร่ง คนธรรมดานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกทั้งเขายังมีผู้ช่วยอยู่ข้างกายไม่น้อย เมื่อถึงยามนี้เขาก็หนีอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว ใครจะโง่ทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ตามหาได้เล่า
เจาเอ๋อร์พยักหน้า “ที่คุณหนูกล่าวก็มีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบกลับไปที่จวนเถิดเจ้าค่ะ คิดว่าท่านอ๋องคงจะทรงกังวลใจแย่แล้ว”
“ตกลง” สายตาของอวี้อาเหรามองไปข้างหน้า ในใจรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นึกสงสัยเต็มทีว่าสิ่งที่หนิงจื่อเย่พูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่ หากเจ้าของร่างเดิมยังไม่ตาย ก็คงจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาทีเดียว! ตอนนี้นางแทบรอที่จะไปยังจวนเซิ่นอ๋องเพื่อสอบถามให้รู้แน่ชัดไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นคงจะต้องกลับไปยังจวนหลิงอ๋องเพื่อความปลอดภัยเสียก่อน
เมื่อนั่งอยู่บนรถม้า อวี้อาเหราก็จ้องมองเจาเอ๋อร์ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาในทันทีว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเจียงหูนั้นมีอิทธิพลลับอยู่หรือไม่”
“คุณหนู ท่านถามเรื่องนี้ทำไมหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องถาม เจ้าตอบข้ามาก็พอ” อวี้อาเหราโพล่งขึ้นมาโดยไม่อ้อมค้อม
“อิทธิพลลับแห่งเจียงหูนั้นมีมากมาย และแต่ละถิ่นก็มีประวัติศาสตร์อย่างน้อยเป็นร้อยๆ ปี มีกลุ่มหนึ่งชื่อว่ากลุ่มเม่ยเก๋อ ซึ่งกำลังมีอิทธิผลกว้างขวางในช่วงนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่มีผู้ชาย มีแต่ผู้หญิง กล่าวกันว่าตัวหัวหน้าหลุ่มเม่ยเก๋อนั้นสวมหน้ากากมาหลายปีแล้ว รวบรวมหญิงกำพร้าไร้ที่พึ่งพามาฝึกฝน ขอเพียงจ่ายเงินจนพอ ก็จะทำให้หัวหน้ากลุ่มส่งหญิงสาวในสำนักฆ่าเป้าหมายได้ พวกนางเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใดก็ชำนาญไปหมด ว่ากันว่าหากมีชื่ออยู่ในรายชื่อลอบสังหารของเจ้าสำนักแล้วอย่างไรก็ไม่อาจรอดชีวิตได้เจ้าค่ะ”
หลังจากฟังเจาเอ๋อร์กล่าวเสียยืดยาว อวี้อาเหราก็เลิกคิ้วขึ้น หากบอกว่าคนผู้นั้นมักจะสวมหน้ากากเอาไว้เสมอแล้ว อย่างนั้นผู้ที่สวมหน้ากากที่หญิงสาวเหล่านั้นให้ความยำเกรงก็คงจะเป็น…