เสวียนเย่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที!
ตั้งแต่จอมพลโผ้จวินได้รับการเชื้อเชิญให้มาที่นี่ ในใจเขาก็รู้สึกเหมือนนั่งไฟเหาะอยู่ตลอดเวลา ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลย ทุกอย่างล้วนเกินความคาดหมายของเขา คิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทั้งหมดไว้ได้ อย่างน้อยจอมพลโผ้จวินก็มีสิ่งที่ต้องการจากเขา นี่จึงเป็นสาเหตุให้เขาเชื้อเชิญจอมพลโผ้จวินมาที่นี่ ยังไงซะก็ไม่มีใครรู้จักเพลิงเสวนดีได้เท่าเขาอีกแล้ว!
แต่ว่า ความเป็นจริงกลับโจมตีเขาเข้าอย่างจัง จนทำให้เขารู้สึกหัวหมุน!
ตั้งแต่ฟางเหยียนมาถึงที่นี่ ก็แข็งกร้าวจนไม่อาจต้านทานได้เลย ไม่เพียงแต่ทำลายแผนการทั้งหมดของเขา แต่ยังทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จากแขกได้วางตัวเป็นนาย จนทำให้เขารู้สึกสงสัยในชีวิต!
เพลิงเสวนสำหรับฟางเหยียน ไม่ได้น่าดึงดูดใจเท่าไหร่ กลับกัน การฆ่าคนของเพลิงเสวนทั้งหมดต่างหากถึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฟางเหยียน!
พูดได้ว่า ฟางเหยียนกระโดดออกจากแผนการของเสวียนเย่ ทั้งยังย้อนกลับมาหาเรื่องเขาอีกต่างหาก!
นี่ทำให้รู้สึกแย่นิดหน่อย จริง ๆ เลย!
ธรรมะย่อมชนะอธรรมจริง ๆ!
ทันใดนั้นเสวียนเย่ก็รู้สึกว่า ตัวเองต่างหากที่เป็นคนเลวคอยสร้างความวุ่นวาย!
เขาคิดมาตลอดว่าจอมพลโผ้จวินเป็นนักรบคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่บุ่มบ่ามหยาบคายคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขากลับเป็นคนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นผู้ชายที่เก่งทั้งด้านการสู้รบและมีสติปัญญา การกระทำทุกอย่างของฟางเหยียนแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าเขา แม้แต่ดูก็ยังดูไม่พอ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะความหยิ่งผยองของเขาเอง หยิ่งผยองจนกลายเป็นอวดดีทะนงตัว!
นี่คือจุดจบของคนที่อวดดีทะนงตัว!
และตอนนี้ จอมพลโผ้จวินตัดสินใจที่จะฆ่าเขาแน่นอนแล้ว!
นี่คือการขุดหลุมฝังตัวเองจริง ๆ รับผลที่ตัวเองทำลงไป!
หลังจากที่เสวียนเย่มองไปทางชิงตี้ ชิงตี้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพูด : “จอมพลคะ บางเรื่องไม่สามารถบอกคุณได้จริง ๆ ค่ะ อย่างน้อยคือตอนนี้ เรื่องอื่น ๆ ฉันสามารถบอกคุณได้หมด ไว้ชีวิตพวกเราดีกว่าฆ่าพวกเราทิ้งทั้งหมดนะคะ”
ไม่รอให้ฟางเหยียนเอ่ยพูด เทียนขุยได้ตอบโต้กลับไปอย่างดุร้าย : “ยัยนางมาร ยังคิดจะพูดจาหลอกล่อคนอื่นอีกเหรอ? ฉันบอกเธอไว้นะที่ฉันยอมอ่อนข้อให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าคิดจะได้คืบเอาศอก ระวังฉันจะกำจัดเธอทิ้งซะตอนนี้!
ชิงตี้ไม่ได้โต้เถียงกับเทียนขุย เธอคิดแค่จะพูดหว่านล้อมฟางเหยียนเท่านั้น มีเพียงความคิดและการตัดสินใจของเขาเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเธอทุกคนมีชีวิตรอดต่อไปได้ เทียนขุยเป็นใครกัน?
“จอมพลคะ ได้โปรดคุณไว้ชีวิตด้วยเถอะค่ะ ฉันรู้ดีว่าเพลิงเสวนทำร้ายคุณไว้มาก เป็นเหมือนกับเหวลึกที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ ฉันไม่ขอให้คุณยกโทษให้ เพราะเพลิงเสวนมีความผิดจริง ๆ แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นายน้อยเสวียนเย่ของฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายคุณเลย แน่นอนว่า ความสามารถอันน้อยนิดของพวกเรา หากคิดจะฆ่าพวกคุณก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
ชิงตี้ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น “ทำไมฉันถึงเน้นย้ำว่าไว้ชีวิตพวกเราดีกว่าฆ่าพวกเราทิ้ง เพราะพวกมันถูกจำกัดโดยพวกเรา พวกเราคนน้อย แต่ปัญหาภายในซับซ้อนวุ่นวาย โดยเฉพาะคนเก่าแก่บางกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นคือชื่อเสียงที่มี จริง ๆ แล้วกองกำลังของเฒ่าประหลาดยังเป็นสิ่งลึกลับมาตลอด และเมื่อมีเฒ่าประหลาดพวกนี้ ทำให้พวกมันไม่กล้าทำอะไรมากนัก ภายในเพลิงเสวนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายคือเรื่องจริง พวกมันก็ไม่กล้าลงมือกับพวกเราอย่างเปิดเผยนัก นี่คือข้อจำกัดของพวกเรา”
“นอกจากข้อจำกัดนี้แล้ว พวกเรายังสามารถทำลายความทะเยอทะยานของพวกมันได้ด้วย และมีเพียงพวกเราที่สามารถทำได้ มีเพียงพวกเราที่สามารถแยกกันไปทำลายความทะเยอทะยานของพวกมัน พวกมันถึงจะถูกควบคุมได้”
“และหากจอมพลเก็บพวกเราไว้ พวกเราก็สามารถทำงานให้คุณได้ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการร้องขอความเมตตาของพวกเรา แต่เป็นการร้องขอเพื่อนินจาทั้งประเทศหวาและเพื่อตระกูล ถ้าหากพวกมันหลุดพ้นจากข้อจำกัดและการควบคุมของพวกเรา พวกมันจะต้องฆ่าทำลายล้างและแย่งชิงประเทศหวาแน่นอน ผลที่ตามมาคือประชาชนจะไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ลำบากยากแค้น”
“แน่นอนว่า อาศัยกำลังจากคุณคนเดียว คงไม่สามารถต้านทานความบ้าคลั่งนี้ได้ โดยเฉพาะจ้าวขุมนรกแห่งเพลิงเสวน ว่ากันว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือ และตอนนี้ก็เก็บตัวอยู่ตลอด กองกำลังที่แท้จริงก็ยังไม่รู้แน่ชัด บวกกับทหารเพลิงยี่สิบนายที่เขาแอบซ่อนเอาไว้ แต่ละคนพละกำลังไม่ธรรมดาเลย เกรงว่าจอมพลจะต่อกรได้ยาก”
“ดังนั้น จอมพลคะ คุณไว้ชีวิตพวกเรายังไงก็ดีกว่าฆ่าพวกเราให้ตายนะคะ”
ชิงตี้พูดจบ ก็จ้องมองฟางเหยียนซึ่ง ๆ หน้า
เทียนขุยไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด จึงเอ่ยพูดทันที ด้วยคำพูดไม่เป็นมิตร : “ยัยนางมาร กลัวแล้วหรือไง? เธอคิดว่าจอมพลโผ้จวินจะกลัวงั้นเหรอ? ข้อจำกัดอะไร ควบคุมอะไร? เธอคิดจะหลอกลวงงั้นเหรอ? ยังพูดถึงจ้าวขุมนรก? ทหารเพลิงยี่สิบคน? คิดว่าพวกเรากลัวจริง ๆ งั้นเหรอ? ฉันบอกเธอไว้นะ วันนี้ต่อให้จ้าวขุมนรกของพวกเธอโผล่ออกมา พวกเธอก็ต้องตายอยู่ดี!”
ชิงตี้หน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นมากนัก ทว่ากลับจ้องมองฟางเหยียนไปตรง ๆ “จอมพล……”
ฟางเหยียนนิ่งเงียบ แต่ในหัวกลับหมุนอย่างรวดเร็ว เขาอยากฆ่าคนทั้งหมดนี้มาก ๆ แต่ชิงตี้พูดถูก หากเขาทำตามใจชอบ เมื่อหมาบ้าถูกบังคับจนหมดหนทางก็จะไล่กัดคนไม่เลือกหน้า!
บรรยากาศได้อึดอัดมากขึ้นตามความเงียบของฟางเหยียน สถานการณ์ตึงเครียดไปทั้งห้องโถงจงรักภักดี จนเหลือศูนย์องศา คนจำไม่น้อยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเร็ว ๆ ราวกับว่าหากหายใจแล้วจะสูดเอาออกซิเจนทั้งหมดไป ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงจงรักภักดียิ่งอึมครึมมากขึ้นไปอีก!
สถานการณ์อย่างนี้นอกจากจ้าวขุมนรกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกอึดอัดขนาดนี้!
ความเป็นความตายของพวกเขาขึ้นอยู่กับความคิดของผู้ชายที่ดูป่วยขี้โรคคนนั้น!
คนที่ไม่เคยผ่านความสิ้นหวังมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าความสิ้นหวังสองคำนี้มันหนักอึ้งมากแค่ไหน!
คนที่อยู่ในนี้ทุกคนล้วนเป็นนินจา สิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่เป็นนินจาระดับต้าชี่ และตั้งแต่พวกเขาเกิดจนกลายมาเป็นผู้มีความสามารถนั้น ต่างผ่านความเป็นความตายและความสิ้นหวังมาแล้วทั้งนั้น และความสิ้นหวังในตอนนี้ เหมือนกับออกมาจากในไขกระดูก!
ในฐานะที่เป็นนินจาเหมือนกัน แต่ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?
เพียงแค่สายตาก็สามารถข่มขวัญทุกคนได้!
ผู้ชายแบบนี้ เป็นเหมือนดั่งภูเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่ง ที่กดทับทุกคนจนไม่สามารถหายใจได้
ความสิ้นหวัง ค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วห้องโถงจงรักภักดี!
เสวียนเย่ขมวดคิ้วจนระหว่างหัวคิ้วมีรอยย่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้
“จอมพลครับ ที่ชิงตี้พูดเป็นความจริงทั้งหมด การขอร้องไม่เพียงแต่ขอร้องเพื่อตัวพวกเราเองเท่านั้น แต่เพื่อตระกูลของสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ใต้หล้า หากไม่มีข้อจำกัดและการควบคุมของพวกเรา พวกมันจะต้องสร้างความวุ่นวายไปทั่วหล้าแน่นอน”
เทียนขุยเอ่ยพูดเสียงขรึม : “จอมพลครับ ถ้าหากเป็นอย่างที่พวกมันพูด เกรงว่าจะเป็นเรื่องร้ายสำหรับพวกเรานะครับ”
จำเป็นต้องขุดรากถอนโคนเพลิงเสวน แต่เขาก็รู้ดีว่า หากจัดการได้ไม่ดี จะทำให้พวกเขาเดือดร้อนกันไปหมด ถึงตอนนั้นฟางเหยียนจะกลายเป็นคนสร้างปัญหาให้กับประชาชนทั้งหมด ถึงเวลานั้น ฟางเหยียนจะหมดสิ้นอำนาจไร้ซึ่งคนเคารพนับถือ ชื่อเสียงป่นปี้ติดตัวไปตลอดกาล
ฟางเหยียนยังคงเงียบอยู่ ในหัวของเขากำลังคิดคำนวณถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้อยู่ แต่ไรมาเขาไม่เคยทำเรื่องที่ไร้ซึ่งการเตรียมพร้อม ทุกเรื่องจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นสายปลายเหตุ นี่เป็นจุดมุ่งหมายหลักในการทำเรื่องต่าง ๆ ของเขา!
เสวียนเย่มองออกถึงความลังเลและความสงสัยของฟางเหยียน เขาจึงตัดสินใจทันที ดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวง จึงได้พูดออกมาว่า : “จอมพลครับ เชิญดูนี่!”
จากนั้นเขาได้หยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งไว้ในมือ บนกระดาษมีหลักฐานที่เขียนเอาไว้ด้วยพู่กันเรื่องการต่อต้านและสกัดกั้นพวกมัน หลัก ๆ แบ่งออกเป็น ตระกูลที่ภักดีต่อพวกมัน สุดท้ายถูกพวกมันกำราบ ยิ่งไปกว่านั้นคือการแบ่งกลุ่มของพวกมัน โดยเฉพาะเสวียนเจิ้นสองคำนี้ ทำให้ฟางเหยียนนึกอยากฆ่าขึ้นมาทันที!
“จอมพลครับ นี่เป็นสิ่งที่พวกมันทำไว้ และตอนนี้ผมกำลังพยายามแก้ไขอยู่ เสวียนเจิ้นคนนี้ เป็นคนที่ก่อเรื่องทุกอย่าง”
นี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จะรักษาชีวิตของเสวียนเย่ไว้ได้ หากเสวียนเจิ้นรู้เข้า เขาคงกลายเป็นหมาจนตรอกไล่ฆ่าเสวียนเย่แน่นอน
ฟางเหยียนยังคงนิ่งเงียบ คำพูดที่น่าเชื่อถือบวกกับหลักฐานที่มีอยู่ อธิบายได้ว่าเก็บพวกเขาไว้ดีกว่าฆ่าพวกเขาทิ้ง
เสวียนเย่โค้งคำนับเล็กน้อย : “จอมพลครับ ผมเสวียนเย่ยอมสวามิภักดิ์ต่อคุณครับ การโจมตีทั้งภายในและภายนอกจะจัดการความทะเยอทะยานของเสวียนเจิ้นได้อย่างราบคาบ!”
จากท่าทีที่แสดงออกมาของเสวียนเย่ ชิงตี้ก็รีบพูดตามว่า “จอมพลคะ นายน้อยเสวียนเย่เป็นเจ้านายผู้มากความสามารถที่หาได้ยาก มีเขาอยู่เพลิงเสวนก็มีความหวัง ส่วนเสวียนเจิ้นเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ เขาจะกลายเป็นคนบาปในหน้าประวัติศาสตร์ พวกเราสามารถเพิกเฉยต่อผลประโยชน์และความสูญเสียส่วนตัวได้ เพื่อแลกกับความสงบสุขของประเทศชาติ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข”
ในใจของฟางเหยียนเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว เมื่ออ่านกระดาษเหลืองแผ่นนี้จบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า เรื่องบางเรื่องไม่ได้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะเสวียนเจิ้น ที่มีพละกำลังเกินระดับปรมาจารย์ แอบแตะถึงระดับยอดดาวเหนือแล้ว