คนเฝ้าประตูขยี้ตาแรง ๆ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป!
แต่ไม่ว่าเขาจะขยี้ตายังไง สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็กำลังแสดงให้เห็นเช่นเดิม!
ไม่ได้ตายเพราะสายฟ้าฟาดเหมือนอย่างที่คิดไว้ และยิ่งไม่ได้เก็บศพเหมือนอย่างที่คิดไว้!
เขาบุกฝ่าไปได้แล้ว!
จากที่เขาแวบหายตัวไป เมฆดำที่ปกคลุมอยู่เต็มฟ้าก็ได้สลายหายไป ท้องฟ้าที่ปรอดโปร่งค่อย ๆ เคลื่อนมาบรรจบกัน ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ฟ้าดินเปลี่ยนยังไงยังงั้น!
คนเฝ้าประตูอีกคนที่ถูกขัดจังหวะการนอนกำลังนอนหลับตา สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วก่นด่าออกมาว่า : “แกแม่งอย่าตื่นตระหนกนักได้ไหม? คำก็เชี้ยสองคำก็เชี้ยอยู่ได้ สงบสติหน่อยสิ! ให้แกไปเก็บศพแกยังไม่เก็บใช่ไหม? ไม่รู้จริง ๆ ว่าวัน ๆ แกทำอะไรได้บ้าง? วัน ๆ เอาแต่ส่งเสียงร้องโวยวาย มิน่าล่ะถึงได้เป็นเหมือนกับฉัน วัน ๆ เลยได้แต่เฝ้าประตูอยู่อย่างนี้!”
คนเฝ้าประตูทำหูทวนลม ไม่สนใจคำด่าของเขา แต่ได้พูดเสียงขรึมว่า : “มัน มันไปแล้ว!”
“เชี้ยเอ้ย!” คนเฝ้าประตูอีกคนสะดุ้งตื่นทันที แล้วโกรธขึ้นมากะทันหัน ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว “แก เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”
ปฏิกิริยาของเขาเกินกว่าคนเฝ้าประตูอีกคนซะอีก ตื่นตระหนกตกใจเกินกว่าอีกคนมากเลยล่ะ!
แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก จึงได้เอ่ยพูดต่อว่า : “เมื่อครู่นี้มันทนไม่ไหวแล้ว แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ก็เหมือนกลายเป็นคนละคน และไม่ใช่การฉีดเลือดไก่เข้าเส้นเลือดด้วย จู่ ๆ ก็กระโดดออกมาเลย!”
“อะไรนะ! แกแน่ใจนะ?”
“ดูเอาเองสิ”
เมื่อมองตามคนเฝ้าประตูไป ดวงตาก็แทบหลุดหล่นบนพื้น!
แม่เจ้าโว้ย!
ในสายตาของพวกเขา ปรากฏภาพชายคนหนึ่งที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวมอมแมมดำไปทั้งตัว บนตัวของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลที่น่าตกใจ บ่งบอกได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เป็นเรื่องจริง!
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจก็คือ เขาดูเหมือนจะถูกฆ่าตายแล้ ทำไมถึงได้ฝ่าไปได้อย่างราบรื่นอีกล่ะ!
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วมั้ง!
ไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อนเลยจริง ๆ โหดเกินไปแล้ว!
คนเฝ้าประตูทั้งสองคนมีคำถามเต็มหัวไปหมด แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้!
เทียนขุยที่เดิมทีร้องไห้อย่างมืดฟ้ามัวดิน จู่ ๆ ก็หยุดร้อง แล้วจ้องไปยังถ่านดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย!
อึ้งอยู่นานถึงตั้งสติดได้!
ฟางเหยียน! ยังไม่ตาย!
เขายังคงเป็นเทพที่สามารถทำได้ทุกอย่างคนนั้น!
ฟางเหยียนที่น่าเคารพนับถือดั่งเทพเจ้า ได้สร้างปาฏิหาริย์อีกครั้งแล้ว!
สายฟ้าพันรอบตัว เกิดอันตรายอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับสร้างปาฏิหาริย์โดยยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง!
ไม่มีเวลามาคิดอะไรมากแล้ว เทียนขุยร้องไห้ดีใจขึ้นมา วินาทีนั้น เขารู้สึกว่าหัวใจตัวเองว่างเปล่า เพราะฟางเหยียนถูกทรมานจนสภาพดูไม่ได้ หากเป็นอย่างนั้นต่อไปมีแต่จะตายเท่านั้น แต่วินาทีนั้น ทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่า หากฟางเหยียนต้องจบชีวิตลงที่นี่ เขาก็จะตามไปอย่างไม่ลังเล!
แต่ตอนนี้!
ฟางเหยียนไม่ได้จากไปไหน อีกทั้งได้เปลี่ยนวิกฤตจากร้ายกลายเป็นดีได้อีกด้วย!
ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ!
ในใจของเทียนขุยเหมือนนั่งรถไฟเหาะไม่มีผิด รู้สึกใจหวิวอยู่นานไม่สามารถสงบนิ่งลงได้!
ความรู้สึกที่รอดชีวิตจากภัยอันตรายมาได้ ช่างทรมานมากเหลือเกิน!
เขาวิ่งเข้าไปหาฟางเหยียนอย่างไม่ลังเล แต่กลับถูกฟางเหยียนส่ายหน้าห้ามเอาไว้ : “อย่าเข้ามา ใช้การกระโดด!”
เทียนเดินเซจนเกือบล้มลงบนพื้น ลูบจมูกด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าหากพุ่งเข้าไปอย่างบุ่มบ่าม ชีวิตคงได้จบเห่แน่? เขาไม่ใช่ฟางเหยียนนะ!
เมื่อเขากระโดดสูงสามฟุต แล้วร่วงลงพื้นอย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ถือโอกาสประคองฟางเหยียนที่ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่!
“จอมพลโผ้จวินครับ ลำบากคุณแล้ว! ความแค้นครั้งนี้ผมทนไม่ได้ ผมต้องทำให้สำนักกุ่ยกู๋ชดใช้ในสิ่งที่เหมือนกัน ไม่เพียงเท่านี้ ผมจะทำให้ทั้งสำนักกุ่ยกู๋สำนักผิดต่อคุณด้วย!”
ฟางเหยียนส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วยัดยาเม็ดสีแดงจำนวนมากเข้าไปในปาก จากนั้นพูดอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า : “สำนักกุ่ยกู๋น่าจะไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนี้หรอก ค่ายกลนี้ น่าจะเหมือนกับค่ายกลเก้ามังกรของแก๊งเก้ามังกร ที่อันตรายที่สุดย่อมอยู่ที่นี่ ค่ายกลนี้ไม่ว่านายเป็นใคร ก็ไม่สามารถรอดพ้นไปได้อย่างสุขสบายหรอก! แม้ว่านายอยากไหว้เทพเจ้า ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล!”
เทียนขุยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า : “แล้วเป็นสิ่งที่สำนักกุ่ยกู๋จงใจสร้างไว้หรือเปล่าครับ?”
“ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด อย่าตัดสินใครง่าย ๆ แต่ว่า……” พูดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนได้หันไปมองหอไผโหลวกะทันหัน “ทุกสิ่งอยู่ที่คนกำหนด!”
หลังจากที่เทียนขุยมองตามไป ก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที เขาสาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็จับทั้งสองคนโยนลงมา!
หลังเสียงหล่นดังตุบสองครั้ง คนเฝ้าประตูทั้งสองคนก็จ้องมองเทียนขุยด้วยสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี
“ที่แท้นี่ก็คือสิ่งที่คนกำหนด!” เทียนขุยย่ำเท้าลงไป เหยียบทั้งสองคนอย่างแรง ความโมโหถูกระบายออกมาทันที สำหรับเขาแล้ว ควรต้องระบายอารมณ์สักหน่อย ฟางเหยียนเกือบถูกฆ่าตาย ทั้งหมดนี่อยู่ในสายตาของทั้งสองคนตลอด ถ้าพวกเขายื่นมือช่วย ฟางเหยียนคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้!
สำหรับเทียนขุย สองคนนี้คือตัวการของเรื่องนี้!
ฆ่าทิ้งก็ไม่เกินไปหรอก!
เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากให้สองคนนี้ตายอย่างสบายเกินไป เขาต้องได้ระบายความแค้นออกจนหมดก่อน ถึงค่อย ๆ ทรมานทั้งสองคน มีเพียงวิธีนี้ที่จะระบายความโกรธแค้นได้!
ฟางเหยียนไม่ได้คัดค้านอะไร!
ในเมื่อไม่รู้สาเหตุ งั้นก็ต้องโยนหินถามทาง!
เขาอยากรู้เหมือนกันว่าสำนักกุ่ยกู๋จะมีท่าทียังไง!
เสียงร้องโอดครวญของทั้งสองคนดังขึ้น ทั้งสองคนหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนกับหนูข้างถนนไม่มีผิด วิ่งหนีไปทั่วสารทิศ! แต่เทียนขุยยอมให้พวกเขาหนีได้ดั่งใจที่ไหนกันล่ะ พวกเขาสองคนเป็นฆาตกรที่ทำให้ฟางเหยียนได้รับความทรมานเช่นนี้ เทียนขุยจะปล่อยไปได้ยังไง! เมื่อเสียงต่ำลงเรื่อย ๆ เสียงร้องโอดครวญค่อย ๆ เงียบหายไป เทียนขุยจึงหยุดไว้แค่นั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีคนของสำนักกุ่ยกู๋ออกมาเลย!
“จอมพลโผ้จวินครับ ดูท่าทางสำนักกุ่ยกู๋ไม่คิดจะสนใจความเป็นความตายของสองคนนี้เลย!”
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับจ้องไปที่รอยมีดฟันตรงหอไผโหลวสำนักกุ่ยกู๋ด้วยความสนใจ เพิกเฉยต่อคำถามของเทียนขุยอย่างสิ้นเชิง
เทียนขุยจ้องเขม็งทั้งสองคนที่ถูกทุบตีจนเละเทะอย่างเหี้ยมโหด แล้วจำใจถามเสียงเย็นชา : “พูดมา ว่าทำไมหลบอยู่ในที่มืด สำนักกุ่ยกู๋มีท่าทียังไงกันแน่!”
ทั้งสองคนอยากเอ่ยพูด แต่กลับพบว่าพูดไม่ออกสักคำ แค่อ้าปาก ฟันที่มีเต็มปากก็หลุดร่วงไปหมด!
เทียนขุยมีสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ มองไปทางฟางเหยียน : “จอมพลโผ้จวินครับ ผมลงมือหนักเกินไป เลยทำให้สองคนนี้พูดไม่ออก ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”
เมื่อทานยาเม็ดสีแดงแล้ว ฟางเหยียนที่มีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม แต่เนื้อที่แตกละเอียดบนตัวดูน่าตกใจมากจริง ๆ สภาพน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยพูดว่า : “ไปเถอะ สำนักกุ่ยกู๋อยู่ตรงหน้านี้เอง แค่เข้าไป ก็รู้ท่าทีที่มีเองแหละ”
เทียนขุยพยักหน้า แต่ก่อนจะไป ได้เหยียบทั้งสองคนอย่างแรงอีกครั้ง “แม่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความใจกว้างของจอมพลโผ้จวินล่ะก็ กูจะเอาชีวิตหมาอย่างมึงซะตอนนี้เลย อย่าเพิ่งได้ใจไป ถ้าเกิดพวกกูรู้ว่ามึงมีเจตนาทำร้ายจอมพลโผ้จวินจริง ๆ รอเจอกับไฟแค้นของกูได้เลย! ฉะนั้นตอนนี้หัวของมึงยังอยู่บนตัวมึง เก็บรักษามันไว้ให้ดีล่ะ รอกูกลับมาเอาไป!”
เห็นได้ชัดว่า ท่าทีเชิงลบของสำนักกุ่ยกู๋ ได้ทำให้เทียนขุยโมโหแล้ว ไม่ใช่ว่าเขามองคนอย่างมีอคติ จงใจหาเรื่อง แต่พฤติกรรมของสำนักกุ่ยกู๋ทำให้เขามองออกว่า เขาล่วงเกินฟางเหยียน เมื่อล่วงเกินฟางเหยียนสิ่งที่ควรต้องชดใช้คือต้องตายอย่างทรมาน!
เขาเชื่อว่าฟางเหยียนก็คิดอย่างนี้เช่นกัน!
เมื่อทั้งสองคนได้เดินผ่านหอไผโหลวเข้าไปด้านในแล้ว ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนถูกคนจับจ้องอยู่ ฟางเหยียนรู้สึกได้ตั้งนานแล้ว แต่เทียนขุยเพิ่งมารู้ตัวเอาทีหลัง ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดีเอามาก ๆ เลย เหมือนมีดวงตาอยู่เต็มไปหมด คอยจ้องมองคุณอยู่จากทั่วทุกสารทิศ!
เทียนขุยหัวเราะเสียงดัง : “จอมพลโผ้จวินครับ ที่แท้สำนักกุ่ยกู๋ก็แสดงท่าทีออกมาแล้วนี่เอง เพียงแต่พวกเราพวกเราเพิ่งมารู้เอาทีหลัง!”
ฟางเหยียนยิ้มกว้าง หัวเราะอย่างเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง หนาวเหน็บไปทั่วทุกที่ แม้แต่เทียนขุยเองก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เทียนขุยรู้ดีว่า ฟางเหยียนโมโหแล้ว! ไม่มีความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล และไม่มีความแค้นอย่างไร้สาเหตุ แต่การกระทำของสำนักกุ่ยกู๋ ทำให้ฟางเหยียนโกรธขึ้นมาแล้ว!
ความรู้สึกที่เหมือนถูกคนจ้องมองอย่างนี้ ถูกวรยุทธ์ของฟางเหยียน ทำลายลงในชั่วพริบตา!
“สำนักกุ่ยกู๋……น่าสนใจดีนี่!”