ดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายนยังคงร้อนจัด เหล่าผู้คนที่เดินอยู่ริมถนนรู้สึกถูกแผดเผาไปด้วยไอแดดที่รุนแรง ทำให้พวกเขาเหงื่อออก ทุกคนต่างดูรีบร้อนราวกับว่าไม่อยากจะอยู่ข้างนอกเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
อย่างไรก็ตามสำหรับจี้เฟิงนั้นความรู้สึกในตอนนี้ไม่ต่างกับฤดูหนาวที่หนาวเย็นยะเยือกไปจนสุดขั้วหัวใจ!
………
“เราเลิกกันเถอะ !”
………
“ฮุ่ยฮุ่ย เธอพูดว่าอะไรนะ ?” จี้เฟิงถาม
“ฉันบอกว่าฉันจะเลิกกับนาย” เด็กสาวนามว่าฮุ่ยฮุ่ยพูดซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แยแส
“และต่อจากนี้อย่ามาเรียกฉันว่าฮุ่ยฮุ่ยอีก เพราะ! ฉัน! ชื่อ! ฮูซู่ฮุ่ย !!”
“ทำไม ?? ” สีหน้าอันหม่นหมองพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจี้เฟิง
“ฮุ่ยฮุ่ยทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
ในตอนนี้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดหลายสิบเล่มปักเข้ามาอย่างจัง
เมื่อสองเดือนที่แล้วพวกเขาทั้งสองเพิ่งจะสาบานกันว่าจะไม่มีวันแยกจากกัน แล้วตอนนี้เขากลับต้องมาได้ยินคำว่า เลิกกัน ? นี่หรือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากวันหยุดฤดูร้อนที่เขาควรจะมีความสุข ?
จี้เฟิงจ้องมองสาวสวยตรงหน้าด้วยสายตาอันว่างเปล่าแต่ภายในใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน
………
ฮูซู่ฮุ่ยและจี้เฟิงนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันของชั้นมัธยมปลายปี 3 ที่โรงเรียนมัธยมปลายหมางซือวิทยาเขตที่สอง
จี้เฟิงเป็นคนจริงคำไหนคำนั้น พูดน้อยแต่จิตใจดี เขาและแม่อาศัยอยู่ในเขตเดียวกันกับโรงเรียน
ผลการเรียนของจี้เฟิงไม่ได้ดีอะไรมาก อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปานกลางเล็กน้อยเท่านั้น
ฮูซู่ฮุ่ย มีบุคลิกที่มีชีวิตชีวาร่าเริงสดใสหน้าตาสะสวยชอบพูดคุยกับผู้คนและยังเป็นรองหัวหน้าห้องอีกด้วย ดั้งนั้นเธอจึงเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนชายหลายคนในห้อง
แต่สุดท้ายกลับเป็นจี้เฟิงที่ได้หัวใจสาวสวยคนนี้ไปครอง เนื่องจากทั้งคู่ได้นั่งโต๊ะติดกันเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดความประทับใจที่ดีต่อกันและมีการพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ
แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร จี้เฟิงก็ไม่ทันได้คิดว่าเขากลับต้องมาได้ยินคำบอกเลิกของฮูซู่ฮุ่ยในวันแรกของการเปิดเทอมขึ้นชั้นม.ปลายปีสุดท้าย!
“ทำไม? นายไม่อายบ้างเหรอที่มาถามฉันว่าฉันบอกเลิกนายทำไม?” เสียงของ ฮูซู่ฮุ่ย ดังขึ้น นักเรียนโดยรอบที่เดินผ่านไปผ่านมาเมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“ฉันทำอะไรผิดหรอ?” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขึ้นทุกที
“จี้เฟิง เราไปด้วยกันไม่ได้ก็เพราะเส้นทางในอนาคตของเรามันแตกต่างกันมากเกินไป!!” ฮูซู่ฮุ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยและเย่อหยิ่ง
“นายคิดว่าสภาพครอบครัวนายจะสามารถสนับสนุนนายไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยเกรดของนายในตอนนี้ได้เหรอ ฉันจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมือง ฉันต้องการมีอนาคตที่ดี การที่ฉับคบกับนายมีแต่จะทำลายอนาคตของฉัน!”
“ครอบครัว?” ใบหน้าของจี้เฟิงซีดลงทันใดแต่เขายังคงนิ่งและถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันจำได้ว่าฉันบอกเธอไปตั้งแต่แรกแล้วนะว่าครอบครัวฉันยากจนมาก แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกเลิกเอาตอนนี้?”
“เหอะ!! ทำไมงั้นหรอ?” เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“จี้เฟิง นายรู้ไหม ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ฉันไปเที่ยวบ้านพี่สาวและพี่เขยของฉันในเจียงโจว ฉันจะบอกให้นะว่าต่อให้นายทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตก็คงไม่มีปัญญาที่จะมีบ้านแบบนั้นได้ หรือแม้กระทั่งห้องน้ำนายยังไม่มีปัญญาจ่ายด้วยซ้ำ นายรู้ไหมรถของพี่สาวฉันราคาเท่าไหร่?”
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างยากลำบากและพูดว่า “ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน!” จากที่จี้เฟิงจำได้ ฮูซู่ฮุ่ยเคยเล่าว่า พี่สาวของเธอเพิ่งจะไปทำงานในเจียงโจวได้ไม่นาน ทำไมตอนนี้จู่ๆเธอก็ร่ำรวยขึ้นมาได้?
“หืมม? ทำงานหนักเหรอ?” ฮูซู่ฮุ่ย หัวเราะเยาะเย้ย
“นายต้องทำงานอีกซักกี่ปีดีล่ะ? สิบปี… ยี่สิบปี… หรือห้าสิบปี? ฉันไม่อยากจมอยู่กับนายจนแก่ตายเพื่อรอนายทำงานหาเงินมาซื้อบ้านในเมืองใหญ่หรอกนะ!”
“จี้เฟิงนายเลิกยุ่งกับฉันได้แล้วอย่ามารบกวนฉันอีกต่อไป ฉันต้องไปเจียงโจวเพื่อไปมหาลัยเราคงไม่ได้เจอกันอีกเพราะเราจะเหมือนอยู่กันคนละโลก!”
จี้เฟิงมองเธอด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ใบหน้าใบเดิมที่เคยมีรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดสำหรับเขา แต่ในตอนนี้ใบหน้าที่สวยงามนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและแววตาที่ดูถูกเหยียดหยาม ในเมื่อความพยายามที่จะยื้อความสัมพันธ์ของเขาไม่เป็นผล สุดท้ายจี้เฟิงจึงพยักหน้ายอมรับในที่สุด
“ตกลงเราเลิกกันเถอะ!”
ในตอนนี้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและเต็มไปด้วยความรู้สึกอันต่ำต้อย จี้เฟิงเลือกที่จะรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้ตัวเอง!
“นอกจากนี้ฉันได้ขออาจารย์ปรับเปลี่ยนที่นั่งแล้ว และฉันคงไม่ได้นั่งโต๊ะเดิมอีกต่อไปและต่อจากนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรให้พูดคุยกันอีก!!”
ฮูซู่ฮุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นก็หันไปอย่างภาคภูมิใจโดยไม่หันกลับมามองที่จี้เฟิงอีกเลย
หญิงสาวที่รอฮูซู่ฮุ่ยอยู่ไม่ไกลนักเห็นว่าการสนทนาระหว่างทั้งสองคนจบลงแล้วจึงเดินไปพร้อมกับเธอเพื่อออกไป
“ซู่ฮุ่ย ที่เธอพูดกับเขามันไม่แรงไปเหรอ? นั่นมันไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากระยะไกล
“ฉันสุภาพที่สุดแล้วนะ!” ฮูซู่ฮุ่ยตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ
และเสริมต่ออีกว่า “โชคยังดีที่อย่างน้อยเขาก็หน้าตาพอใช้ได้ แต่เรื่องความยากจนนี่…เขาไม่เคยแม้แต่จะซื้อของขวัญให้ฉันซักชิ้น! ทำไมฉันถึงได้ตาบอดไปคบกับเขาได้นะ!”
“ซู่ฮุ่ย!! พูดเบาๆหน่อย เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก!” หญิงสาวดูเหมือนจะรู้สึกแย่และท้อแท้เล็กน้อย
“เธอจะกลัวอะไร? เขาก็เป็นแค่ลูกเมียน้อยจนๆที่น่าสงสาร เหมือนพวกคนเถื่อนพันทาง! ไม่มีหัวนอนปลายเท้า!” ฮูซู่ฮุ่ยพูดอย่างเหยียดหยามด้วยถ้อยคำรุนแรง
ฮึ่ม..ม !!
จี้เฟิงที่อยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ลมหายใจหอบถี่รุนแรง ใบหน้าและดวงตาของเขาตอนนี้เป็นสีแดงก่ำราวกับจะลุกเป็นไฟ!!
ลูกเมียน้อย…ไม่มีหัวนอนปลายเท้า… คนเถื่อน…!!!
ฟันของจี้เฟิงกำลังจะแหลกจากการยืนกัดฟันอย่างโกรธแค้น บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการหายใจที่รุนแรงจนเหมือนคนจะขาดอากาศหายใจ หมัดของเขาที่กำแน่นค่อยๆคลายลง
หลังจากที่ฮูซู่ฮุ่ยเริ่มเดินห่างออกไปไกล จี้เฟิงเริ่มสงบลงและค่อยๆแสยะยิ้มออกมา
“ลูกเมียน้อย…คนเถื่อนพันทาง…หึหึ”
ใช่! จี้เฟิงเป็นลูกนอกสมรส แต่มันจะไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอที่จะด่าคนที่เคยรักกันด้วยถ้อยคำรุนแรงพวกนี้
เขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับความลับนี้ยกเว้น ฮูซู่ฮุ่ย เพียงเพราะจี้เฟิงเป็นลูกนอกสมรสแม่ของเขาจึงถูกตาและยายไล่ออกจากบ้าน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนใจดี แม่และตัวเขาคงกลายเป็นขอทานข้างถนนหรือแม้แต่อดตายข้างถนนไปแล้ว
ลูกเมียน้อย สามคำนี้กลายเป็นเรื่องตลกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคนอื่นๆ ที่จะหัวเราะเยาะเขาเมื่อตอนที่เขายังเด็ก และสามคำนี้มันก็อยู่กับเขาตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็ก
เพียงเพราะตัวตนของเขาในฐานะลูกนอกสมรส ทำให้เขากลายเป็นเด็กมีปมด้อยและเก็บตัวเพราะแม้แต่สายตาที่เยาะเย้ยเขามันก็ทำให้เขาอับอายจนอยากจะตายได้
จนกระทั่งเขาได้พบกับ ฮูซู่ฮุ่ย ผู้หญิงที่ทำให้เขาเริ่มเปิดใจมีชีวิตที่ร่าเริงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงกล้าที่จะเล่าเรื่องครอบครัวและตัวตนของเขาให้กับฮูซู่ฮุ่ยฟัง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าครอบครัวที่ยากจนของเขาจะกลายเป็นสาเหตุให้ฮูซู่ฮุ่ยกับเขาต้องเลิกกัน และตัวตนของการเป็นลูกนอกสมรสก็กลายเป็นเป้าหมายของการเยาะเย้ยและดูถูกของเธอ
จี้เฟิงส่ายหัวและเดินออกจากโรงเรียนอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขายิ้มอย่างเศร้าๆ “ฉันมันก็เป็นแค่ลูกนอกสมรส แม้แต่คนที่ฉันรัก ก็ยังดูถูกเหยียดหยามฉัน…”
เดือนกันยายนที่ร้อนระอุแทบไม่มีคนเดินถนนให้เห็น นั่นยิ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกเคว้งคว้างมากขึ้นไปอีก มีเพียงทีวีในร้านข้างทางที่เปิดเพลงและรายการทีวีต่างๆที่ช่วยทำให้ฤดูร้อนนี้เหงาน้อยลงมาหน่อย
“การแพร่ภาพล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นกลุ่มของเนบิวลาที่มีลักษณะคล้ายปูอยู่ในอวกาศที่อยู่ห่างจากระบบสุริยะหนึ่งพันล้านปีแสง ซึ่งปล่อยแสงแฟลชของรังสีแกมมาที่แปลกประหลาด นับเป็นครั้งแรกที่เนบิวลาปล่อยแสงสว่างจนแทบจะลุกเป็นไฟ ตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่า รังสีแกมมาอยู่ไกลเกินไปที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก…”
ในขณะที่ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าวอยู่นั้นพวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า ชั้นบรรยากาศภายนอกได้เกิดลำแสงแกมมาที่สว่างจ้ากำลังพุ่งมาที่พื้นโลก…
………
จี้เฟิงเดินไปตามถนนด้วยความสิ้นหวังอย่างไร้จุดหมาย ถูกสาวอันเป็นที่รักเยาะเย้ยอย่างร้ายกาจทำให้หัวใจเขาแหลกสลายราวกับว่าเขาไม่มีหัวใจ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆแสงแดดบนท้องฟ้าดูเหมือนจะสั่นไหวและลำแสงที่สว่างจ้าไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็พุ่งเข้าใส่หัวของจี้เฟิง ทำให้เขาเป็นลมล้มลงบนพื้นและหมดสติไป !!
…จบบทที่ 1~