บทที่ 4 การเริ่มต้นของสมองอัจฉริยะ
“เพราะที่เป็นลมแดดเมื่อไม่กี่วันก่อนทำฉันล้มหัวฟาดพื้นงั้นหรอ?” จี้เฟิงไม่อยากจะเชื่อกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
ตลอดช่วงเช้าจี้เฟิงยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอนของเขาเองหรือไม่ เขาจึงหยิบหนังสือเรียนทั้งหมดออกมาและเลือกเฉพาะเนื้อหาที่เขายังไม่ได้เรียน
หลังจากอ่านจบเขาปิดหนังสือทันทีและไม่ได้เปิดดูอีก เขาหลับตา ตั้งสมาธิและลองนึกในใจ
ผลลัพธ์ที่ได้มันทำให้เขาทั้งตกใจและดีใจ แม้แต่คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ซับซ้อน การใช้สูตรที่เขาไม่เคยเรียนมาก่อน เขาก็จำได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขาอึ้งจนพูดไม่ออก
หลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจี้เฟิงก็พบว่า สิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาพหลอนของเขาแต่อย่างใดมันเป็นเรื่องจริง!
จี้เฟิงจ้องมองหนังสือเรียนที่กองอยู่ ใจของเขาเต้นระรัวอย่างตื่นเต้นและมีความสุข
“ฉันมีความสามารถในการจำจริงๆ นี่มันความจำระดับเทพชัดๆ!!”
“แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กับฉันล่ะ?”
จี้เฟิงเริ่มงงงวยอีกครั้ง โดยปกติแล้วเขาต้องใช้เวลาในการศึกษาและท่องจำอย่างน้อยเป็นเวลาสองสามวัน กว่าเขาจะเข้าใจหรือจำเนื้อหาได้ ซึ่งมันห่างไกลจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้
หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขาได้แต่ส่ายหัวและเลิกคิดเรื่องนี้ไป
ด้วยความสามารถในการจำที่จะไม่มีวันลืม นั่นหมายความว่าเขาสามารถจำบทเรียนในอดีตได้และในปีหน้าเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีมากๆ ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้เขาจะตื่นเต้นกับความสามารถในการจำนี้ มีหลายสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้แต่สามารถทำมันได้โดยง่าย แต่มันจะไม่ได้มีไว้ให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น!
เมื่อจี้เฟิงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาเอามือจับหัวและใบหน้าของเขา ตอนนี้มันร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
จู่ๆ จางเล่ยก็ถามว่า “จี้เฟิงที่ฉันบอกว่านายบ้า นายคงไม่ได้เป็นบ้าไปจริงๆใช่ไหม!?”
“บ้าบ้านนายสิ! ไปตายซะ!!”
จี้เฟิงมองเพื่อนด้วยหางตา เขาหัวเราะและพูดว่า “ถ้าฉันบ้านายก็บ้าด้วยน่ะแหละ”
“โอเคโอเค! ถ้านายยังด่าฉันได้ ก็แสดงว่านายยังปกติดี!”
จางเล่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางหัวเราะ
“จริงๆฉันก็กลัวนะว่านายจะเฮิร์ทจนทำให้นายเสียสติไปจริงๆ ผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างฮูซู่ฮุ่ยไม่คุ้มค่ากับความเสียใจของนายหรอก”
เมื่อจี้เฟิงได้ยินคำพูดของเพื่อน ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจถาโถมเข้ามาอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของจางเล่ย
เขาส่ายหัวแล้วยิ้ม “จางเล่ยนายพูดถูก ผู้หญิงแบบนั้นไม่สมควรที่จะได้รับความเสียใจจากฉัน ฉันปล่อยวางและลืมเธอไปหมดแล้ว!”
ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นน้ำตาของแม่ในโรงพยาบาล จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะลืมฮูซู่ฮุ่ยไปแล้ว แม้ว่าจะคิดถึงมันบ้างเป็นครั้งคราว แต่มันก็เป็นเพียงความทรงจำธรรมดาๆ ไม่มีความหมายพิเศษใดๆ!
เขามองไปที่ด้านหน้าตามปกติแต่สายตาก็ดันไปตกที่ฮูซู่ฮุ่ย ซึ่งตอนนี้ได้ย้ายไปนั่งอยู่แถวหน้าแล้ว ความจำอันโง่เขลาผุดขึ้นมาในหัวของจี้เฟิง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม
การเติบโตขึ้นมักมีราคาเสมอ! ความผิดพลาดคือการเรียนรู้!
โชคดีที่ฮูซู่ฮุ่ยขอเลิกกับเขา หากไม่เป็นเช่นนั้นจี้เฟิงก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังคงตามืดบอดไปอีกนานแค่ไหน หรืออาจจะนานจนทำให้ชีวิตของเขาพังไม่เป็นท่า
เมื่อมองไปที่ด้านหลังอันคุ้นเคยจี้เฟิงกลับสงบมาก แต่เขาก็แอบตั้งมั่นในใจ “ผู้หญิงเห็นแก่เงินที่น่าสมเพช เธอคงชอบเงินมาก ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินให้มากจนเกินที่จะนับ ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้เธอเสียใจหรือโกรธ แต่ฉันจะทำมันเพื่อแม่ของฉัน ฉันอยากให้คนที่เคยหัวเราะเยาะและดูหมิ่นพวกเราต้องเสียใจ ทั้งหมดนี้ถึงจะเป็นเพราะเธอฮูซู่ฮุ่ย แต่เธอไม่ได้สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไป”
เขาถอนสายตาออกจากการจ้องมองด้านหลังของฮูซู่ฮุ่ย หลังจากนี้พวกเขาทั้งสองจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแม้พวกเขาจะเดินสวนกัน พวกเขาจะเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันอีกเลย
แต่ดูเหมือนว่าฮูซู่ฮุ่ยจะรู้สึกถึงการจ้องมองจากด้านหลัง ฮูซู่ฮุ่ยที่นั่งอยู่ด้านหน้าถัดไปสามแถว หันกลับมา และเห็นว่าจี้เฟิงกำลังมองเธออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้มเหยียดหยาม “คนจนที่น่าสงสารไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่นายจะตามฉันไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เจียงโจวได้!”
………
เวลาบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเพิ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน จึงยังไม่มีเรียนในช่วงเย็น
จี้เฟิงปฏิเสธคำเชิญของจางเล่ย ที่จะพาเขาไปเลี้ยงอาหารทะเลเพื่อเป็นการปลอบใจ เขาออกจากโรงเรียนและตรงกลับบ้านในทันที
สำหรับจี้เฟิง เพียงแค่การพูดคุยอย่างจริงใจของเพื่อน ก็เป็นการปลอบโยนที่มากเพียงพอแล้วสำหรับเขา วันนี้จางเล่ยได้พูดคุยและทำให้เขาหัวเราะได้หลายครั้ง เพียงเท่านี้ก็นับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
จางเล่ยเข้าใจความรู้สึกของจี้เฟิงในตอนนี้ดี จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากทั้งสองแยกกัน จี้เฟิงก็วิ่งเหยาะๆกลับบ้าน ส่วนแม่ของเขา เซียวซูเหม่ยก็กำลังยุ่งอยู่ในครัว
“แม่ผมกลับมาแล้ว!” จี้เฟิงตะโกน
เซียวซูเหม่ย โผล่หัวออกมาจากห้องครัวพร้อมกับรอยยิ้ม “เฟิงเอ๋อ ขึ้นห้องไปก่อนแม่เหลือทำอาหารอีกจาน”
จี้เฟิงคิดที่จะช่วยแม่ทำอาหาร แต่พอเห็นว่ามีคนแน่นเต็มพื้นที่ห้องครัว เขาทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มรับ “งั้นผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะ!”
บ้านที่สองแม่ลูกอาศัยอยู่ตอนนี้ อยู่ในชุมชนแออัดในเขตหมางซือ ที่พักอาศัยที่นี่ส่วนมากจะเป็นที่พักอาศัยแบบที่สร้างขึ้นเอง ส่วนใหญ่ตัวอาคารจะมีสามถึงสี่ชั้น ไม่มีระเบียงคล้ายกับหอพักธรรมดาๆทั่วไป ห้องแต่ละห้องจะเชื่อมต่อกันส่วนประตูจะหันหน้าเข้าหากันไปที่ทางเดิน บ้านส่วนใหญ่ที่นี่จะถูกปล่อยให้เช่า อาคารที่จี้เฟิงอาศัยอยู่ในตอนนี้ส่วนมากผู้เช่าจะเป็นคนที่มีรายได้น้อย ยกตัวอย่างเช่นลุงฉาง ที่อยู่ชั้นสอง เมื่อตอนที่จี้เฟิงยังเด็ก แม่ของเขาเซียวซูเหม่ยหลังจากที่เก็บขยะมาแล้วก็นำไปขายให้กับลุงฉาง
อีกตัวอย่างนึงคือป้าหวังที่ชั้นหนึ่ง เธอขายผักเล็กๆน้อยๆเช่นเดียวกับเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง
เนื่องจากเจ้าของบ้านได้ทำห้องครัวส่วนกลางและห้องน้ำขนาดใหญ่ไว้ที่สนามเมื่อถึงเวลาทำอาหารทุกคนจะมารวมตัวกัน พวกเค้าจึงคุ้นเคยสนิทสนมกันมากพอสมควร
นอกจากเจ้าของบ้านแล้วพวกเขาทุกคนเกือบทั้งหมดที่เช่าอยู่ที่นี่นั้นล้วนยากจน จัดเป็นชนชั้นระดับล่างสุดในสังคม แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็มีน้ำใจช่วยเหลือกันในบางครั้งเท่าที่จะช่วยเหลือกันได้ มันเป็นความอบอุ่นเล็กๆ ในสังคมระดับล่าง
ห้องเช่าของจี้เฟิงและแม่อยู่บนชั้น 3 เดิมทีเป็นห้องขนาดใหญ่ แต่เนื่องจาก จี้เฟิงเติบโตขึ้น เซียวซูเหม่ยจึงปล่อยให้เจ้าของบ้านจัดการกั้นห้อง โดยปกติห้องด้านนอกจะใช้เป็นห้องนั่งเล่นพอตกกลางคืนมันจะกลายเป็นห้องนอนของจี้เฟิง โต๊ะอาหารก็กลายเป็นโต๊ะทำงานส่วนโซฟาจะกลายเป็นเตียงเดี่ยวของเขา
จี้เฟิงนั่งคิดอยู่บนโซฟา เขาลังเลไม่รู้ว่าจะบอกแม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาดีหรือไม่
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะไม่บอกแม่ในตอนนี้หรือรอจนกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วค่อยบอกเพื่อทำให้แม่ประหลาดใจ!
เมื่อนึกถึงท่าทางที่มีความสุขของแม่ จี้เฟิงก็อดยิ้มไม่ได้
“เฟิงเอ๋อลงมาช่วยยกอาหารหน่อยลูก!” เมื่อเสียงของเซียวซูเหม่ย แม่ของเขาตะโกนเรียก
จี้เฟิงจึงเปิดประตูทันทีและรีบวิ่งออกไป
ด้วยการเตรียมอาหารอย่างตั้งใจของเซียวซูเหม่ย โต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารเย็นทั้งหมดสี่จานและซุปอีกหนึ่งชาม เธอมีความสุขมากเมื่อเห็นลูกชายของเธอกินอาหารที่เธอทำอย่างเอร็ดอร่อย
…………
จี้เฟิงนอนอยู่บนเตียง เขาไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ได้รับความสามารถราวกับเวทมนตร์อย่างกะทันหัน ไม่มีทางที่ใครจะรู้สึกสงบได้
“ด้วยความสามารถนี้ เราคงเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ความสามารถนี้มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” ในขณะที่จี้เฟิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จนกระทั่งดึกมากแล้ว เขาเริ่มง่วงและหลับไปในขณะที่ยังคงสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆเสียงที่คล้ายกับเสียงสังเคราะห์ทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ดังขึ้นในสมองของเขา
“การผสานอย่างสมบูรณ์กับโฮสสมองอัจฉริยะหมายเลข1 เริ่มทำงาน!!”