บทที่ 12 การแก้แค้นของซูหม่า
ในช่วงบ่าย จี้เฟิงอ่านหนังสืออย่างจริงจัง จนถึงตอนเย็นจี้เฟิงรู้สึกมึนหัว อาจเป็นเพราะการใช้พลังจากสมองในการจำมากเกินไป
จี้เฟิงลูบขมับตัวเองเบาๆและพูดในใจ “ถึงจะมีความสามารถของสมองอัจฉริยะในการจำแต่หากใช้มากเกินไปคงทำให้สมองเกิดอาการล้า”
ยังเหลือบทเรียนอีกมากที่จี้เฟิงต้องทำความเข้าใจ เขายังไม่สามารถจำมันทั้งหมดได้ในคราวเดียว จี้เฟิงอยากถามจางเล่ยเกี่ยวกับบทเรียนที่เขาไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางอันเกียจคร้านของเพื่อนแล้ว จี้เฟิงทำได้แค่เพียงถอนหายใจ และตัดสินใจที่จะไม่ถามจางเล่ย เพราะอาจโดนหมอนี่อธิบายแบบส่งๆก็เป็นได้
เมื่อตัดสินใจดังนั้น จี้เฟิงจึงทบทวนบทเรียนด้วยการทำแบบฝึกหัด ด้วยวิธีนี้จึงทำให้เขาเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเวลาเรียนในช่วงเย็นหมดลง จี้เฟิงเข้าถึงเนื้อหาของบทเรียนได้มากพอสมควร จนเกือบจะทั้งหมดของเนื้อหาใหม่ในปัจจุบัน สิ่งที่ขาดในตอนนี้เหลือเพียงนำสิ่งที่เรียนไปใช้งานจริง หลังจากเก็บกระเป๋านักเรียน จี้เฟิงกำลังจะกลับบ้าน เวลานี้นักเรียนในห้องเริ่มทยอยกันกลับบ้านเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย
“จี้เฟิง!”
ทันทีที่จี้เฟิงกำลังเดินออกจากห้องเรียน เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียก เขาหันไปตามเสียงเรียก นั่นคือถงเล่ยผู้ที่ได้รับฉายาให้เป็นดอกไม้ประจำโรงเรียน
จี้เฟิงเดินกลับมาด้วยความประหลาดใจและถามด้วยรอยยิ้ม “คุณผู้หญิงยังไม่กลับหรือขอรับ มีอะไรให้รับใช้หรือไม่”
เหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนทำให้จี้เฟิง มีความกล้าที่จะพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น หากเป็นเมื่อก่อน คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคุยเล่นกับถงเล่ยแบบนี้
ถงเล่ยไม่ได้หัวเราะแต่ถามว่า “จี้เฟิงนายบอกฉันมาตามตรง ที่ซูหม่ามาหานายเมื่อเช้า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉันหรือเปล่า?”
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยเขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่คุยกันฉันเฉยๆ”
“นายดูเป็นคนซื่อสัตย์นะ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ดีถ้านายคิดจะโกหก!”
ถงเล่ยจ้องมองจี้เฟิงด้วยความโกรธเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันจี้เฟิงเหลือบมองที่ใบหน้าอันงดงามของถงเล่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเขาก็รู้สึกผิดทันที
“นายกำลังมองอะไรอยู่!” เมื่อเห็นจี้เฟิงเหม่อมองด้วยท่าทีค่อนข้างหดหู่ ถงเล่ยก็รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะแววตาที่ชัดเจนแต่ลึกล้ำของจี้เฟิง ทำให้หัวใจของถงเล่ยเต้นไม่เป็นจังหวะ
“อะแฮ่ม!!” จี้เฟิงกระแอมไอแก้เขิน เขาไม่กล้าที่จะมองหน้าถงเล่ยต่อ หากเขายังมองใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยต่อไปเขาคงจะไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน มันคงเป็นเรื่องที่แย่หากเขาทำอะไรโดยขาดสติ
“มันไม่มีอะไรจริงๆ เธออย่าได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย” จี้เฟิงพูดพร้อมส่ายหัว เขารู้ดีว่า หากพูดความจริง ถงเล่ยจะต้องไปหาซูหม่าอย่างแน่นอน และถ้าเป็นอย่างนั้นบางทีซูหม่าคงจะไม่กล้ามาหาเรื่องเขาแต่ไม่ว่ายังไง จี้เฟิงก็ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้น มันควรเป็นเรื่องระหว่างลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงเข้ามาแทรกแซง
ที่สำคัญไปกว่านั้นประโยคของซูหม่าที่ดูถูกเขา “นายเป็นแค่เด็กยากจนที่ไร้พลังความสามารถ” นั่นทำให้จี้เฟิงตัดสินใจแล้วว่า วันหนึ่งเขาจะคืนประโยคนี้ให้กับซูหม่า!
“ถงเล่ยถ้าเธอไม่มีอะไรแล้วฉันขอกลับบ้านก่อนแล้วกัน!” จี้เฟิงยิ้มและหันหลังไป
“จี้เฟิง!” ถงเล่ยเรียกเพื่อหยุดจี้เฟิง เธอลังเลและพูดว่า “ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว ฉันกลัวที่จะกลับคนเดียว นายไปส่งฉันหน่อยได้ไหม?”
จี้เฟิงลังเล เพราะเวลานี้แม่ของเขาคงทำอาหารเสร็จแล้วและกำลังรอเขาอยู่ ถ้าเขากลับดึกเกินไปแม่คงต้องเป็นห่วงพอดู
“ฉันว่าฉันกลับคนเดียวดีกว่า!” เมื่อเห็นท่าทางลังเลของจี้เฟิง ถงเล่ยจึงรีบเปลี่ยนคำพูด
จี้เฟิงยิ้มออกมาทันที “คุณพูดอะไรของคุณ ผมจะปล่อยให้คุณผู้หญิงแสนสวยเดินกลับบ้านคนเดียวในเวลาเย็นจนเกือบจะค่ำแบบนี้ได้อย่างไร ผมจะไปส่งคุณผู้หญิงเองขอรับ”
“นายนี่มันกะล่อนจริงๆ นายมันไม่ใช่คนดี!” ถงเล่ยยิ้มแยกเขี้ยวขาว ทั้งสองคุยและหัวเราะเดินออกจากประตูโรงเรียนไปด้วยกัน
“จี้เฟิงถ้าในอนาคตซูหม่าทำให้นายลำบาก นายต้องบอกฉันนะ!” ถงเล่ยกระซิบบอกขณะกำลังเดินบนถนน “ถ้าเป็นเพราะฉันที่ทำให้นายเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ฉันต้องขอโทษด้วย!”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “พูดอะไรแบบนั้น เราเป็นเพื่อนกัน อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” ถงเล่ยยิ้มอย่างสดใสเธอมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของจี้เฟิง “นายจะเป็นเพื่อนกับฉันจริงๆใช่ไหม?”
“แน่นอน!” จี้เฟิงพูดพร้อมพยักหน้าอย่างจริงจัง “ปกติฉันมีเพื่อนเพียงคนเดียวคือจางเล่ย แต่ตอนนี้ฉันมีเพิ่มอีกคนคือเธอ ดีจะตาย!”
“ฉันก็รู้สึกดีที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย!” ถงเล่ยหัวเราะเบาๆ
ถงเล่ยอาศัยอยู่ในพื้นที่ของครอบครัวคณะกรรมการเขต ที่อยู่ทางตอนเหนือของเขตหมางซือ ไม่ไกลจากโรงเรียนที่พวกเขาเรียนมากนัก เมื่อทั้งสองเดินคุยกันมาด้วยเสียงหัวเราะพวกเขาก็มาถึงประตูในเขตพื้นที่ของครอบครัวถงเล่ยในเวลาอันรวดเร็ว
“จี้เฟิงขอบคุณมากนะที่มาส่งฉัน” ถงเล่ยยืนตรงหน้าประตูและยิ้ม “เจอกันพรุ่งนี้นะ!”
“เจอกันพรุ่งนี้!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มให้ก่อนที่จะหันไป ถงเล่ยมองตามไปที่ด้านหลังของจี้เฟิง แววตาของเธอไม่สามารถปกปิดร่องรอยของความรู้สึกผิดได้
ทันใดนั้นก็มีร่างผู้ชายมายืนข้างๆถงเล่ย หากจี้เฟิงยังอยู่ที่นี่เขาจะจำได้ในทันที ผู้ชายคนนี้คือเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา จางเล่ย!
“เหมือนที่พี่บอกไหม เขาไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ” จางเล่ยยิ้ม
แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นน่าแปลกใจ เขากับถงเล่ยเป็นพี่น้องกัน?
ถงเล่ยจ้องมองเขาที่กำลังฮัมเพลง “มีพี่ชายแบบพี่เนี่ย ถ้าพ่อรู้ว่าพี่แนะนำเพื่อนให้มาเป็นแฟนน้องสาว เขาต้องไม่ไว้ชีวิตพี่แน่นอน”
“เฮ้! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ?” จางเล่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฟังนะถงเล่ยน้องรักตอนนี้ชีวิตครอบครัวของเรา เงินทองก็ไม่ได้ขาด แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนที่รักน้องอย่างแท้จริง ดูรอบๆตัวเธอสิ ไม่ว่าจะเพื่อความสวยความงามของเธอหรือฐานะทางครอบครัวเรามันคือเหตุผลที่ทุกคนเข้าหามีแต่คนหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ในฐานะที่เป็นพี่ชาย พี่ไม่อยากให้เธอเป็นเหยื่อของการแต่งงานทางการเมืองในอนาคต!”
ถงเล่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่พวกเราเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ เราเลือกได้ด้วยเหรอ?”
“แน่นอน!” จางเล่ยพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเธออยู่กับจี้เฟิง ด้วยฐานะของครอบครัวเราเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แน่นอนว่าหากเธอจะคบกับจี้เฟิงจริงๆ เรื่องพ่อพี่จะรับผิดชอบเอง!”
ถงเล่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “ลืมมันไปได้เลยพี่ใหญ่ ฉันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ รอจนกว่าฉันจะเรียนจบมหาวิทยาลัยนั่นแหละฉันถึงจะคิดเรื่องนี้!”
จางเล่ยถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอถึงให้จี้เฟิงมาส่งถึงที่บ้านล่ะ?” ถงเล่ยพูดอย่างเย็นชา “ก็เพราะซูหม่าเรียกจี้เฟิงไปคุยเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนเขาจะข่มขู่จี้เฟิง ส่วนจี้เฟิงดูท่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่นิสัยแบบซูหม่าต้องไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ ฉันคิดว่าเขาอาจดักทำร้ายจี้เฟิงที่ถนนตอนกลับบ้านก็เป็นได้ ฉันเลยขอให้เขาส่งฉันกลับบ้าน ฉันไม่อยากเห็นเขาเป็นอันตรายเพราะฉัน!”
“ซูหม่า!!!”
จางเล่ยตะคอกอย่างเย็นชา “เป็นลูกชายของรองผู้บริหารเขตนี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ ได้เวลาแก้ไขเรื่องนี้แล้ว!”
“พี่ใหญ่อย่าไปยุ่งเลย พ่อไม่ชอบให้พี่มีปัญหากับคนข้างนอกมากที่สุด” ถงเล่ยใจคอไม่ดี รีบพูดห้ามอย่างรีบร้อน
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เขายังไม่ทำอะไรจี้เฟิง พี่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งหรอก” จางเล่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
…………
จี้เฟิงที่กำลังเดินกลับบ้าน ไม่ทราบถึงบทสนทนาระหว่างสองพี่น้องจางเล่ยและถงเล่ยเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้มีผู้ชายสามคนที่ดูลุกลี้ลุกลนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา