บทที่ 16 การพัฒนาตนเอง
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้กองหยานหันมาหาจี้เฟิงและพูดด้วยรอยยิ้ม “จี้เฟิงดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่เหมือนกับที่คุณเล่ามานะ!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างเชื่องช้าและเกาหัวของเขากล่าวว่า “ผู้กองหยาน จะให้ผมบอกคุณว่าวันนี้ผมมีปัญหาขัดใจกันในโรงเรียนกับซูหม่าผู้เป็นลูกชายของรองผู้บริหารเขต แล้วหลังจากนั้น…”
แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด แต่ผู้กองหยานก็เข้าใจและยิ้ม เขาเคยได้ยินชื่อของซูหม่ามาบ้าง ครอบครัวของเขามีชื่อเสียงมากในเขตหมางซือ
สิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเจ้าเหม่งจ้าว จึงเป็นคนโทรแจ้งตำรวจและผู้บาดเจ็บก็เป็นลูกน้องของเขาเอง
ผู้กองหยานรู้ว่า เจ้าเหม่งจ้าวเป็นเหมือนสุนัขของตระกูลซู หรือจะเปรียบได้กับเป็นมือเป็นเท้าจัดการในสิ่งที่ขวางหูขวางให้กับตระกูลซู เพราะทั้งสองมีความสัมพันธ์และผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับธุรกิจกัน ถ้าซูหม่าต้องการจะจัดการกับใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมี เจ้าเหม่งเฉินจ้าวผู้นี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้กองหยานมองไปที่จี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “คุณมีความขัดแย้งกับซูหม่าหรือ?”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ใช่ครับ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันเป็นเพียงแค่ความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างนักเรียน”
ผู้กองหยานตะคอกและพูดว่า “คุณบอกว่ามันเป็นความขัดแย้งเล็กน้อย แต่สำหรับ ซูหม่า เขาจะไม่มองแบบนั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น โทรหาผมทันทีถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณอีก!”
จี้เฟิงรู้สึกดีใจมากเขาพูดว่า “ขอบคุณมากครับ ผู้กองหยาน!”
เขาเคยกังวลว่าคงจะไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆอย่างยุติธรรม แต่ผู้กองหยานนอกจากจะมีความยุติธรรมแล้ว เขายังกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะช่วยเหลืออีกด้วย
ผู้กองหยานโบกมือและยิ้ม “มันเป็นหน้าที่ ขอแค่อย่าลืมว่าหากมีอะไรให้โทรหาผมได้ตลอดเวลา”
“ตกลงครับ!” จี้เฟิงกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณครับผู้กองหยาน”
“งั้นเราไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณกลับบ้าน ตอนนี้ครอบครัวคุณคงเป็นห่วงมากแล้ว” ผู้กองหยานยิ้ม
จี้เฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปส่งหรอกครับผู้กอง บ้านของผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึงแล้ว”
จี้เฟิงคิดในใจ ถ้าหากว่าเขากลับบ้านไปพร้อมกับตำรวจ แม่คงจะตกใจซะยิ่งกว่าที่เขากลับช้าเสียอีก
“ระวังตัวด้วยล่ะ!” ผู้กองหยานไม่ได้ยืนกรานที่จะไปส่งแต่อย่างใดเขาตบไหล่จี้เฟิง
หลังจากจี้เฟิงลาผู้กองหยานเรียบร้อยเขาก็ตรงกลับบ้านทันที
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของจี้เฟิง ผู้กองหยานก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย ตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ขนาดเขารู้ว่า ซูหม่าตั้งใจที่จะทำร้ายเขา เขายังคงสงบนิ่งได้ขนาดนี้ เขาดูไม่กลัวหรือโกรธเท่าไหร่เลย”
ผู้กองหยานพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ใช่ การตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เจออย่างรวดเร็วนั้นเทียบไม่ได้เลยกับนักเรียนทั่วไป”
ตำรวจที่อยู่ข้างๆพูดต่อ “อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นโชคดีของเด็กจี้เฟิงนั่น ที่เขามาแจ้งตำรวจแล้วได้พบกับผู้กองหยานของเรา หากเขาได้พบกับตำรวจที่เป็นคนรู้จักกับซูเฉาละก็ เรื่องคงไม่ได้จบโดยที่เขาเดินกลับบ้านโดยปกติสุขแบบนี้แน่..”
“จิ้งจอกเฒ่าซูเฉาจะโดนเลขาถงจัดการในอีกไม่ช้านี้แน่” ผู้กองหยานกำหมัดต่อยฝ่ามือตัวเองเบาๆ “ป่ะ เรากลับ สน. กันดีกว่า!”
…………
เมื่อจี้เฟิงกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว เซียวซูเหม่ยแม่ของเขานั่งรออยู่ที่โซฟาจนหลับไป
จี้เฟิงรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาวางกระเป๋านักเรียนอย่างเบามือ และกำลังจะพาแม่ของเขาเข้าไปนอนในห้องอย่างเบามือ แต่แม่เขาก็รู้สึกตัวตื่น
“เฟิงเอ๋อ กลับมาแล้วเหรอลูก?” ทันทีที่ลืมตาตื่น เซียวซูเหม่ยก็ถามลูกชายทันที “ทำไมวันนี้กลับดึกขนาดนี้ล่ะ?”
จี้เฟิงตอบอย่างรวดเร็ว “อ๋อ ก็ตอนนี้ผมอยู่ม.ปลายปี3แล้ว เนื้อหาในหลักสูตรมันค่อนข้างยากและเยอะมาก ผมเลยอ่านหนังสือต่ออยู่ที่โรงเรียนเพลินไปหน่อย”
เซียวซูเหม่ยไม่ได้สงสัยอะไร เธอพยักหน้าและพูดว่า “เลิกเรียนแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือที่บ้านดีกว่านะ กลับดึกแบบนี้อาจเกิดอันตรายได้”
จี้เฟิงตอบทันที “คร้าบๆ ผมรู้แล้ว แต่ตอนนี้แม่ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ!”
หลังจากเซียวซูเหม่ยกลับเข้าห้องไปนอนต่อ สีหน้าของจี้เฟิงก็มืดดำลง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาสำนึกได้ว่า หากเขาไม่โชคดีพอที่ได้พบกับตำรวจอย่างผู้กองหยานเขาคงไม่ได้กลับบ้านมาเจอแม่เหมือนในตอนนี้อย่างแน่นอน
ไม่สิ! ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้กองหยานก็ดูเหมือนไม่ค่อยอยากแตะต้องเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลซูสักเท่าไหร่ ถึงขนาดเจอคนที่เขารู้ว่าเป็นบุคคนน่าสงสัยอย่างชายหัวโล้นเฉินจ้าว ที่บอกกับเขาว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ถึงจี้เฟิงจะพยักหน้าเห็นด้วยแต่เขาก็เต็มใจที่จะคล้อยตาม ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวมันน่าสงสัย แต่ผู้กองหยานก็ไม่กล้าพอที่จะยืดเยื้อเรื่องนี้ต่อ คงเพราะผู้กองหยานต้องการป้องกันตัวเองออกจากเรื่องนี้!
ซูหม่ายังคงมือสะอาดแม้ว่าเขาจะเป็นตัวการของเรื่องพวกนี้ก็ตาม
จี้เฟิงไม่มีครอบครัวที่มีอำนาจพอที่จะช่วยเหลือเขา หากมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น ต่างกับซูหม่าเขาสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้โดยง่าย โดยที่มือเขาไม่ต้องมาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย
แม้ในวันนี้เขาจะรอดตัวไปเพราะโชคช่วย แต่หากซูหม่ายังคงแค้นเขาอยู่ การที่จะไล่เขาออกจากโรงเรียนนั้นคงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วเมื่อตอนนั้นมาถึง ชีวิตของจี้เฟิงคงตามมาด้วยเรื่องยุ่งยากอีกมากมาย
สำหรับคนที่ไม่มีครอบครัวหรือตระกูลที่ใหญ่โตคอยค้ำจุนอย่างจี้เฟิง การไปโรงเรียนเพื่อสำเร็จการศึกษาเป็นทางเดียวที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้ หากการไปโรงเรียนของเขาต้องหยุดลง จี้เฟิงก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าแม่ของเขาจะเสียใจมากขนาดไหน
สิ่งที่แม่ของเขาต้องทนเหนื่อยยากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพียงเพราะอยากให้เขามีการศึกษาที่ดี ประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อที่เขาจะได้สร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ดวงตาของจี้เฟิงก็ร้อนผ่าว แต่สีหน้าของเขากลับมืดมนลงอย่างน่ากลัว ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงมีความคิดที่จะต้องประนีประนอมกับซูหม่า
เพราะในช่วงเวลานี้ เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหม่าอย่างแน่นอนดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยอมแพ้อย่างหมดรูป
อย่างไรก็ตามการที่เขาต้องยอมแพ้ในตอนนี้ มันไม่ได้มาจากความกลัวหรือแสดงความอ่อนแอออกมาแต่อย่างใด แต่มันเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด
“ถึงแม้ในตอนนี้ฉันจะสู้นายไม่ได้ แต่ฉันไม่ได้กลัวนายเลยแม้แต่น้อย จนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่ฉันจะแข็งแกร่งมากพอในทุกๆทาง เพื่อที่จะเอาคืนนายให้สาสม” จี้เฟิงกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความโกรธแค้น เขากำหมัดแน่นจนสั่นไปทั้งมือ
ในเมื่อตอนนี้ซูหม่ากำลังคิดหาวิธีที่จะกำจัดเขา จี้เฟิงจึงมองซูหม่าเป็นศัตรูที่คุกคามและเขาต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะจัดการกับศัตรูเช่นนี้ ต้องรอจังหวะที่เหมาะสมและรอช่วงเวลาที่ดีที่สุดหลังจากนั้นก็โจมตีเพียงครั้งเดียวอย่างรุนแรงเพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาได้อีก
“ฉันจะรอโอกาสนี้!” จี้เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็เข้านอนทันทีโดยที่เขาไม่ได้กินข้าวเย็น
บนเตียง…สติของจี้เฟิงกลับมาสู่พื้นที่เสมือนจริงที่สร้างขึ้นโดยสมองอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เข้ารู้สึกถึงวิกฤต เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด เขาจะต้องได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง!
“สวัสดีครับ มาสเตอร์!” เมื่อเห็นว่าสติของจี้เฟิงกลับมาสู่พื้นที่เสมือนจริงนี้ สมองหมายเลข 1 ก็กล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ
จี้เฟิงไม่เสียเวลาในการทักทายให้มากนัก เขาเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “คุณสมองหมายเลข 1 ช่วยฝึกผมด้วยมาตรฐานการฝึกที่เข้มงวดที่สุดเพื่อที่จะได้เป็นสุดยอดสายลับในยุคของดวงดาวที่คุณพูดถึง อย่างน้อยในตอนนี้ก็ให้ผมไปให้ถึงมาตรฐานนั้น!”
หลังจากที่จี้เฟิงได้รับประสบการณ์การแก้แค้นของซูหม่า จี้เฟิงก็มีความกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น
“โอเค มาสเตอร์!” สมองหมายเลข 1 ตอบด้วยความเคารพทันที “ก่อนอื่นกรุณาเตรียมความพร้อมของร่างกายมาสเตอร์ด้วยยิมนาสติก…”