บทที่ 18 อาจารย์คนใหม่ 2
จี้เฟิงตบไหล่จางเล่ยเบาๆเขายิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอกจางเล่ย อย่าคิดมาก ที่เขากล้าทำก็เพราะเขามองฉันเป็นเพียงแค่เด็กยากจนที่ไม่มีพลังอำนาจอะไรและมันก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้เจ็บตัวจากเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นนายอย่าใส่ใจไปเลย!”
จางเล่ยมองไปที่จี้เฟิงอย่างลึกซึ้งและส่ายหัว “คนบ้าแบบนายฉันนับถือเป็นน้องชายของฉันเลยเชียวนะ นายจะไร้ค่าได้ยังไง ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ปล่อยให้นายโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน นายไม่ต้องกังวล ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
จี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาจับไหล่จางเล่ยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันขอรับความมีน้ำใจของนายไว้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว และขอบใจนายมากจริงๆ แต่ฉันอยากให้นายลืมเรื่องนี้ไปก่อน!”
“ทำไมต้องลืมไปก่อน?” จางเล่ยถามด้วยความโกรธ
“เพราะฉันยังมีแม่” จี้เฟิงพูดต่อเบาๆ “ถ้าฉันอยู่ตัวคนเดียว ฉันจะสู้ซูหม่าให้ถึงที่สุด ฉันจะไม่มีทางยอมง่ายๆอยู่แล้ว แต่ถ้าในตอนนี้เรื่องราวใหญ่โตเลยเถิดเกินไป แล้วเกิดอันตรายกับแม่ขึ้นมา ฉันจะทำยังไง?”
จางเล่ยเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ได้แต่อ้าปากค้างไว้แบบนั้น เขาพูดอะไรไม่ออก
จี้เฟิงส่ายหัวยิ้มและกล่าวว่า “พวกเราทุกคนยังเด็ก และความโกรธของฉันก็ไม่ได้น้อยไปกว่านายในตอนนี้หรอก แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องนึกถึงผลที่จะตามมาไว้ด้วย”
“ไอ้บ้าแบบนายยังมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าฉัน!”
เฮ้อออ~!! จางเล่ยถอนหายใจลึก “ฉันทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ขอโทษนะจี้เฟิง”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “นายอย่าพูดแบบนี้เลย ไหนบอกเราเป็นพี่น้องกันไง ตราบใดที่ฉันระมัดระวังตัวก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว ฉันจะพาแม่ย้ายไปด้วย พอถึงเวลานั้น ซูหม่าก็ไม่น่าจะทำอะไรฉันได้และฉันก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีก!”
“ตามใจนายแล้วกัน!” จางเล่ยถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่เขาใจเย็นลง เขาจึงพูดต่อว่า “ถึงนายจะไม่อยากไปยุ่งกับซูหม่า แต่อย่างน้อยเราก็ต้องไปคุยกับซูหม่าให้รู้เรื่องว่าไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะรังแกได้ มากับฉัน!”
ไม่ทันที่จี้เฟิงได้พูดอะไร จางเล่ยก็ดึงแขนจี้เฟิงเพื่อที่จะพาเขาไปทันที! จี้เฟิงตกใจผละมือออกและรีบพูด “โอเคๆ ฉันจะไป!”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ก็เดินมาถึงด้านหน้าที่นั่งของซูหม่า
“ตุ้บ!!” จางเล่ยตบไหล่ซูหม่าอย่างแรง ซูหม่าหันมามองอย่างประหลาดใจ
จางเล่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ออกมาด้วยกันหน่อยฉันมีอะไรจะคุยกับนาย!”
ซูหม่าเหลือบไปเห็นจี้เฟิงยืนอยู่ข้างๆ และเขาก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น หัวใจของเขาเต้นระรัวเมื่อรู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี แต่ถึงเขาจะรู้สึกอย่างนั้น ซูหม่าก็ไม่ได้แสดงอาการหรือสีหน้าใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มตอบ “โอเค!”
จางเล่ยตะคอกอย่างเย็นชาและเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับจี้เฟิง มีซูหม่าตามมาด้านหลังไม่ไกล ตอนนี้ใบหน้าและดวงตาของซูหม่าเป็นประกาย ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ถงเล่ยที่กำลังเก็บกระเป๋านักเรียนอยู่ หันมาเห็นด้านหลังของทั้งสามคนที่กำลังเดินตามกันออกไป เธอขมวดคิ้วและดวงตาที่เคลื่อนไหวอย่างสวยงามแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จึงออกจากโรงเรียนไปจนเกือบหมดและโรงเรียนในเวลานี้ก็ดูโล่งมาก
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงในเขตของ*มหาวิทยาลัย จางเล่ยมองไปที่ซูหม่าด้วยท่าทางและสายตาที่ดุดันเหมือนพร้อมที่จะทำร้ายซูหม่าได้ตลอดเวลา
เมื่อเห็นสายตาท่าทางแบบนั้นของจางเล่ย ซูหม่าก็สะดุ้ง เขาตกใจและพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน “จางเล่ย นายจะทำอะไรน่ะ! ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของนาย นายก็ไม่สมควรที่จะมายุ่ง!”
“อะไร?!” จางเล่ยแสยะยิ้มพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อมึงมายุ่งกับน้องชายกู ทำไมกูจะยุ่งกับมึงไม่ได้!”
มันเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ! ซูหม่าเริ่มน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย เขารีบพูดว่า “จางเล่ย ฉันไม่เข้าใจ นายพูดเรื่องอะไรฉันว่านายเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ!”
จี้เฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆจางเล่ยยิ้มอย่างเย็นชา ถ้าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็คงมีแค่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถงเล่ยกับซูหม่า ส่วนเรื่องเข้าใจผิดอื่นๆนั้นคงไม่มี!
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ?” ดวงตาของจี้เฟิงหรี่ลง เขาจำได้ถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ หากฉันไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสมองหมายเลข 1 อย่างกระทันหันและได้พบกับผู้กองหยานที่ไม่ได้มีเอี่ยวกับเส้นสายของซูเฉา ฉันกลัวว่าป่านนี้ฉันคงอยู่ในสถานกักกันหรือแม้กระทั่งถูกไล่ออกจากโรงเรียน และฉันก็คงหมดอนาคต
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความโกรธของจี้เฟิงก็ล้นทะลักออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมกับดวงตาของเขาที่ฉายแววเย็นชาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ใช่สิจี้เฟิง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ฉันไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านายกำลังพูดถึงอะไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับก่อนนะ!” ซูหม่ามองไปที่ใบหน้าของจี้เฟิงและจางเล่ย นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวดังยิ่งกว่าเสียงตีกลอง หากเขาถูกรุมกระทืบที่นี่ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ ทน!
หลายคนไม่รู้จักตัวตนของ จางเล่ย แต่ซูหม่า รู้ดีว่าผู้ชายที่เหมือนนักเลงคนนี้แท้จริงแล้วเป็นลูกชายของ ถงไค่เต๋อ เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขตเขาเปรียบได้กับเจ้าชายแห่งหมางซือ
ถึงแม้เขาจะรอดจากตรงนี้และไปฟ้องพ่อ แต่พ่อของเขาคงช่วยอะไรเขาไม่ได้มีแต่จะถูกด่าซ้ำ
“มึงนี่แม่ง โคตรจะหน้าด้านเลยว่ะ!” จางเล่ยตะโกนด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ซูหม่า มึงยังกล้าพูดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกเหรอ? คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้การกระทำลับหลังของมึงหรือไง กูไปสืบมาหมดแล้ว รู้ทุกอย่างชัดเจน กูขอเตือนมึงไว้อย่างนะภายในปีนี้ ถ้าน้องชายของกูจี้เฟิง มีปัญหาอะไรแม้แต่นิดเดียว หรือต่อให้เขาจะเหยียบเปลืองแตงโมลื่นล้ม กูก็จะคิดว่าเป็นเพราะมึงโยนเปลือกแตงโม จำใส่กะโหลกของมึงไว้นะว่า ถ้าจี้เฟิงสูญเสียแม้แต่เส้นผม มึงไม่ได้ตายดีแน่ และรู้ไว้ด้วยว่าคนอย่างกูไม่เคยผิดคำพูด! ถ้าไม่เชื่อจะลองดูก็ได้นะ!”
“พี่เล่ยใจเย็นก่อน ฉันจะทำอะไรจี้เฟิงน้องชายพี่ได้ยังไง? นี่มันเรื่องเข้าใจผิดกันชัดๆ!” ซูหม่าพูดอย่างขมขื่น ในตอนแรกเขาต้องการจะรอให้เรื่องเงียบ แล้วค่อยส่งคนมาเก็บกวาดจี้เฟิง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะแล้ว!
ถึงแม้ว่าซูหม่าจะไม่ได้รู้จักตัวตนของจางเล่ยมากนัก แต่แค่เหตุผลที่เขาเป็นลูกชายตระกูลถงเจ้าชายแห่งหมางซือ ก็มากพอที่จะทำให้เขาไม่อยากยั่วโมโห จางเล่ย
“แม่งเอ้ย ขอแค่ฉันทำให้ถงเล่ยหลงรักฉันหัวปักหัวปำ หลังจากนั้นฉันค่อยเก็บกวาดไอ้จี้เฟิงและครอบครัวมันไม่ให้รกหูรกตาอีก!” ซูหม่าคิดเรื่องนี้อยู่ภายในใจ แต่เขากล่าวออกมาว่า “พี่เล่ยสบายใจได้ เดิมทีฉันกับจี้เฟิงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว ในอนาคตเราต้องเป็นเพื่อนรักกันอย่างแน่นอน!”
“ถ้าคิดได้แบบนั้นก็ดี!” จางเล่ยตะคอกอย่างเย็นชา
ฮะฮะ! ซูหม่าหัวเราะแห้งๆ “พี่เล่ย จี้เฟิง ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอกลับบ้านก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ ฮ่าฮ่า!”
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของซูหม่า จี้เฟิงหัวเราะเยาะโดยไม่ได้พูดอะไร แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไม ซูหม่าถึงดูกลัวจางเล่ยขนาดนี้ แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับตัวตนของจางเล่ยอย่างแน่นอน แต่ก็คิดว่ายังไม่สมควรพูดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้
ในตอนนี้ จี้เฟิงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและหวังว่าตัวเขานั้นจะแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นคนที่มีอำนาจ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะมีสิทธิ์พูดและไม่โดนดูถูกอีกต่อไป!
……จบบทที่ 18~