บทที่ 51 สัมผัส
เมื่อเซียวหยูซวนมองไปที่รูปลักษณ์ภายนอกที่สงบและจริงใจของจี้เฟิง รวมถึงแววตาที่แสดงให้เห็นว่าเขาได้ผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อย ในขณะที่เธอกำลังจ้องมองไปยังแววตาลึกล้ำของจี้เฟิงเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ถูกดึงดูดไปยังอดีตที่เจ็บปวดของเขา แววตาที่แสดงให้เห็นถึงความอัปยศอดสูและความรู้สึกโดดเดี่ยวจากโลกทั้งใบ เซียวหยูซวนสามารถสัมผัสได้ถึงความทุกข์เหล่านั้นและมันก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก
คนคนนี้เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นจริงๆนะหรือ?!
เขามีประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างน่าสงสาร ซึ่งน้อยคนนักจะได้พบเจอกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่วัยเยาว์ เขาอยู่ในจุดที่การถูกมองข้ามนั้นเจ็บปวดน้อยกว่าการถูกดูถูกเหยียดหยาม แต่ไม่น่าเชื่อว่าบุคลิกภายนอกที่ดูสงบนิ่งและจริงใจที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ คือบุคลิกของคนที่ผ่านเรื่องราวที่น่าเจ็บปวดเหล่านั้นมาตลอดชีวิต
และที่สำคัญไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้มีความกตัญญู ถึงแม้จะเป็นแค่ความห่วงใยที่ครูมีต่อนักเรียน เขาก็ยังจำมันไว้อยู่ในใจอย่างลับๆ เด็กหนุ่มคนนี้รู้สึกขอบคุณความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาอย่างจริงใจ เธอสามารถเห็นมันได้จากความไว้วางใจของเขาที่มีต่อเธอ นี่คือผลตอบแทนที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามชีวิตของวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผ่านเรื่องราวที่ทุกข์ทรมานในวัยเด็กมาอย่างสาหัส เขาสามารถที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีและเป็นคนที่กตัญญูแบบนี้ได้อย่างไร?
ในขณะนั้นเองเซียวหยูซวนรู้สึกราวกับว่าเหมือนมีหินก้อนใหญ่กำลังกดทับหน้าอกของเธออยู่ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและหายใจอย่างยากลำบาก นอกเหนือจากนั้นจู่ๆเธอก็รู้สึกคัดที่จมูกพร้อมกับรู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา
เมื่อเห็นการแสดงออกของเซียวหยูซวน จี้เฟิงก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พี่สาว ที่ผมอธิบายให้ฟัง ไม่ใช่เพื่อต้องการให้พี่มาเห็นใจหรือสงสารผมในเรื่องราวเหล่านี้ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็รู้สึกขอบคุณมากจริงๆ สำหรับความห่วงใยที่พี่มอบให้!”
ที่จี้เฟิงต้องพูดและอธิบายออกไปทั้งหมดนั่นเป็นเพราะว่าเขาอยากจะแสดงความขอบคุณในความห่วงใยที่เซียวหยูซวนมอบให้เขาอย่างจริงใจ เขาไม่ได้ต้องการให้เธอมาสงสารหรือเห็นใจ เพราะจี้เฟิงในเวลานี้ เขาไม่ได้ต้องการความเวทนาเห็นใจจากคนอื่นๆแม้แต่น้อย เขามั่นใจว่าเขามีความสามารถเพียงพอที่จะทำตามเป้าหมายในชีวิตให้สำเร็จ เขาต้องการที่จะค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคง และเขาจะก้าวมันไปให้ไกลกว่าคนอื่น เขาจะขึ้นไปอยู่ในจุดที่คนอื่นไม่มีวันไปถึง และได้แต่มองขึ้นมาเท่านั้น!
เซียวหยูซวนตกใจ ที่จี้เฟิงกำลังจะเข้าใจเธอผิด เธอรีบพูดว่า “จี้เฟิง นายอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันในฐานะพี่สาวและครูของนาย ฉันแค่รู้สึกเสียใจกับเธอที่ต้องพบกับประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีต แต่ฉันไม่ได้มีความคิดอื่นหรือรู้สึกสงสารเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย?”
“ผมเข้าใจแล้ว” จี้เฟิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของทั้งสอง “อ้อ.. พี่สาวเซียวหยูซวน เงิน 60,000 หยวน นั่นเก็บไว้ที่พี่ก่อนแล้วกัน ถ้าผมต้องการมัน ผมจะบอกพี่อีกที ตกลงนะ?”
“อย่าทำแบบนั้นเลยจี้เฟิง! ไม่ใช่ว่าฉันจะลำบากหรือเก็บเงินไว้ให้นายไม่ได้หรอกนะ แต่เรื่องของมีค่าโดยเฉพาะเรื่องเงิน นายควรที่จะเก็บรักษามันไว้ด้วยตัวเอง นายไม่เคยได้ยินเหรอว่าเงินไม่กี่ร้อยหยวนก็สามารถทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้แค่เวลาไม่นาน แต่เงินไม่กี่หยวนกลับทำให้เพื่อนที่สนิทกันมานานกลายเป็นคนแปลกหน้ากันได้ในทันที ดังนั้นนายต้องปรับทัศนคติเกี่ยวกับการจัดการเงินของนายใหม่นะ นายเข้าใจใช่มั้ยว่าฉันหมายถึงอะไร?”
เซียวหยูซวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าที่สวยงามของเธอแสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงที่เธอมีต่อจี้เฟิงอย่างจริงใจ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักและสงสารเขาในเวลาเดียวกัน
เมื่อจี้เฟิงหันไปเห็นสีหน้าของเซียวหยูซวนในตอนนี้ เขาถึงกับใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ และรีบหันหน้าหนีไปทันที เพราะเขากลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และอาจจะเผลอทำอะไรน่าเกลียดที่ผิดปกติออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงไม่มีหน้าที่จะมาพบกับเธออีก
จี้เฟิงกระแอมไอเล็กน้อย เขาพยายามสงบจิตใจและพูดว่า “ผมเข้าใจว่าพี่สาวหมายถึงอะไร และผมก็รู้ด้วยว่าที่พี่ทำไปก็เพื่อประโยชน์ของผมเอง แต่….”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “แต่ในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรจริงๆ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่กลัวเรื่องพูดเล่นนั่นด้วย หรือแม้แต่ถ้าพี่จะใช้เงินนั่นจริงๆ ผมก็ไม่กลัว และที่สำคัญ ถ้าจู่ๆ ผมเอาเงินมากถึง 60,000 หยวนกลับบ้านไปตอนนี้อย่างกะทันหัน แม่ผมคงรับไม่ได้ และอาจจะเกิดเรื่องใหญ่กว่าที่คิด พวกเราไม่ได้เห็นเงินมากมายขนาดนี้ในรอบหลายปีแล้ว และที่สำคัญผมไม่มีบัญชีธนาคาร….”
“เฮ้ออ…”
เซียวหยูซวนถอนหายใจและพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เธอเข้าใจในสิ่งที่จี้เฟิงบอก “โอเคๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะเก็บเงินไว้ให้นายก่อน แล้วถ้านายต้องการเมื่อไหร่ ก็บอกฉันได้ทุกเมื่อ!”
“ขอบคุณมากครับพี่สาว!” จี้เฟิงกล่าวคำขอบคุณกับเซียวหยูซวนและพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ยังไงก็ตาม ครอบครัวของผมถ้าจะใช้เงินจำนวนมาก ก็มีแค่เรื่องค่าเทอมเท่านั้น แล้วถ้าหากพี่สาวต้องการจะใช้ ก็สามารถใช้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องบอกผม!”
“ไม่ต้องห่วง พี่สาวคนนี้มีเงินเพียงพอแล้ว!” เมื่อเห็นจี้เฟิงกำลังจะพูดต่ออีก เธอก็ยิ้มออกมา “ถ้านายยังจะดื้อให้ฉันใช้เงินนายให้ได้อีก ระวังคนจะคิดว่านายติดสินบนอาจารย์นะ!”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้ารับ เขายิ้มอย่างยียวนแล้วพูดว่า “ถ้าอาจารย์ไม่พูด นักเรียนไม่พูด ใครจะรู้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า~!!”
ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกัน กว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
จี้เฟิงไม่ได้รู้เลยว่า ในเวลานี้หัวใจของเซียวหยูซวนเต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่งในตัวของเขามากแค่ไหน จี้เฟิงต้องพบเจอกับประสบการณ์แบบไหนถึงได้ทำให้เขามีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยได้ขนาดนี้?
คุณรู้ไหมว่าถ้าเป็นคนในวันเดียวกันได้รับเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อย่างกะทันหัน คนที่มีนิสัยดีก็จะมีความสุขมากที่จะได้นำเงินกลับบ้านไปให้พ่อแม่ของพวกเขา หรืออย่างน้อยเขาก็จะสามารถซื้อของขวัญดีๆ ให้กับพ่อแม่และญาติๆ ทำให้คนในครอบครัวมีความสุขได้ ส่วนคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีก็อาจจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายหรือไม่ก็นำเงินไปทำสิ่งเลวร้ายอื่นๆ
อย่างไรก็ตามเซียวหยูซวนคิดว่าคงมีไม่กี่คนที่จะเป็นแบบจี้เฟิง ที่หลังจากได้รับเงินก้อนใหญ่ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เขาก็คิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเขา อันดับแรกที่เขานึกถึงเลยก็คือว่า แม่ของเขานั้นจะแบกรับความประหลาดใจอย่างกะทันหันในเรื่องนี้ได้หรือไม่
สำหรับนักเรียนม.ปลายแล้ว ความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ มีน้อยคนนัก หรือแม้แต่นักศึกษาหลายๆคน ก็อาจจะยังมีความคิดที่ไร้เดียงสากว่านี้มาก!
“ดูเหมือนว่าถ้าฉันอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นและอยากรู้ว่าชีวิตของเธอผ่านประสบการณ์แบบไหนมาบ้าง ฉันคงต้องไปเยี่ยมบ้าน….” เซียวหยูซวนคิดในใจอย่างเงียบๆ
จี้เฟิงไปส่งเซียวหยูซวนกลับที่พัก ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดถึงเรื่องครอบครัวหรือเรื่องเงินอีก ในขณะที่พวกเขานั่งรถบัสด้วยกันนั้น จี้เฟิงได้แนะนำเซียวหยูซวนให้รู้จักกับสถานที่ต่างๆในหมางซือบ้างเป็นครั้งคราว และแล้วรถบัสก็มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว
เซียวหยูซวนยืนมองด้านหลังของจี้เฟิงที่หน้าโรงเรียนอยู่เป็นเวลานาน แม้ว่าระหว่างทางกลับบ้านพวกเขาจะไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แต่เธอก็รู้ได้ว่าจี้เฟิงเป็นคนที่จิตใจดีมีความขยันขันแข็ง เขามีจิตใจที่แข็งแกร่งไม่กลัวความยากลำบากและรู้จักพัฒนาตนเองเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก
เซียวหยูซวนนึกถึงประโยคนึงขึ้นมาได้ว่า “ความทุกข์ยากนำมาซึ่งพรสวรรค์”
เธอรู้สึกว่าประโยคนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก ไม่ใช่พรสวรรค์ที่มาจากความทุกข์ยาก แต่เป็นหัวใจที่ใฝ่หาความก้าวหน้าและมุ่งมั่นเพื่อความเข้มแข็งรวมถึงจิตวิญญาณที่ดื้อดึงไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆต่างหาก!
ด้วยหัวใจที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เช่นนี้ ใครๆ ก็สามารถที่จะมีพรสวรรค์ได้!
ทันใดนั้น เซียวหยูซวนก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ร้านลอตเตอรี่เมื่อตอนกลางวันขึ้นมา เมื่อพูดถึงความมุ่งมั่นแล้ว จะมีสักกี่คนที่มีความมุ่งมั่นกับเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงอย่างการเล่นลอตเตอรี่?
จากที่จี้เฟิงเล่าถึงสถานการณ์ด้านการเงินของครอบครัวเขา ว่าไม่ค่อยดีนัก มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ
หรือเป็นเพราะจี้เฟิงนั้นแค่อยากจะเอาชนะซูหม่าที่คอยแต่จะหาเรื่องเขาเท่านั้น เขาจึงดึงดันที่จะเล่นลอตเตอรี่อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังด้วยจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย มันเป็นความคิดของคนที่ไม่รู้จักโต ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะนิสัยของจี้เฟิงเลย
เธอค่อยๆ นึกย้อนกลับไปอย่างระมัดระวัง เธอจำได้ว่าจี้เฟิงในเวลานั้นดูเหมือนเขาจะมีความมั่นใจมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งหมด และแล้วผลที่ตามมามันก็ชัดเจน จี้เฟิงสามารถทำกำไรจากการเล่นลอตเตอรี่ได้เป็นจำนวนมาก… ทั้งหมดนี้มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆน่ะเหรอ?
ในชั่วขณะหนึ่งเซียวหยูซวนก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า เธอมองไม่เห็นว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะเป็นเพียงคนที่อายุน้อยกว่าเธอไม่กี่ปี เธอเริ่มอยากรู้อยากเห็นและสนใจในตัวจี้เฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ!
“ฉันคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมบ้านของจี้เฟิงสักหน่อยแล้วล่ะ!” เซียวหยูซวนพึมพำกับตัวเอง
……จบบทที่ 51~