บทที่ 63 การชักชวนของถงเล่ย
ยิ่งจี้เฟิงเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกาแลคซี่แกมมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าระบบการศึกษาของประเทศเขานั้น ยังไม่ดีมากพอหากต้องพูดถึงนักเรียนที่ผลการเรียนดีกับนักเรียนที่เก่งแต่ผลการเรียนไม่ดี และในบรรดาสิบคน จะต้องมีเก้าคนที่ชอบนักเรียนที่ผลการเรียนดีและเกลียดนักเรียนที่ผลการเรียนไม่ดี
อย่างไรก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปแปดถึงสิบปี เราจะพบได้ว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีอย่างเดียวมักจะทำงานให้กับนักเรียนที่เก่งแต่ผลการเรียนไม่ดี
แต่ต่อให้รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้นักเรียนทุกคนก็ยังคงต้องทำผลการเรียนออกมาให้ดีที่สุด เพราะภายใต้ระบบการศึกษาที่เน้นใช้ผลสอบเป็นตัวชี้วัดทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงการเข้ามหาวิทยาลัย ผลการเรียนที่ดีจึงเป็นทุกอย่างสำหรับเด็กนักเรียน
แน่นอนว่ามีเด็กที่เก่งและผลการเรียนดีเด็กบางคนรู้จักผสมผสานให้เกิดความเหมาะสม แต่ถ้าหากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาความรู้ที่จะมีประโยชน์จริงๆ พวกเขากลับต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการศึกษาในสิ่งที่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยในอนาคต
จี้เฟิงไม่ได้ต่อต้านการเรียนรู้และแน่นอนว่าหากเขาไม่ได้เรียนรู้พื้นฐานทุกๆอย่างจากระบบการศึกษามาก่อน มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและอาวุธของกาแลคซี่แกมมา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเรียนตามระบบการศึกษาจะสำคัญ แต่คุณไม่สามารถเลือกเรียนได้ตามที่ต้องการนี่เป็นเพียงมุมมองของจี้เฟิงเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการอธิบายอะไรกับถงเล่ยเพราะในความคิดของเขา ถงเล่ยเป็นนักเรียนที่ดีและมีผลการเรียนที่ดีมาก เธอไม่อาจเข้าใจความคิดในมุมนี้ของเขาและอาจจะพูดเพื่อให้เขาเปลี่ยนมุมมองความคิด
เขาทำได้แต่คิดเรื่องเหล่านี้ในใจจากนั้นเขาก็ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถงเล่ย เธอต้องการจะบอกอะไรกับฉัน?”
ใบหน้าของถงเล่ยที่สวยงามแสดงออกถึงความสงบนิ่ง หลังจากที่เธอคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “จี้เฟิงนายช่วยพูดกับฉันตามตรงได้ไหมว่าเป็นเพราะฉันหรือเปล่า ที่ทำให้ผลการทดสอบของนายออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร?”
จี้เฟิงตกใจและตระหนักได้ในทันทีไม่น่าแปลกใจเลยถ้าถงเล่ยจะรู้สึกผิดต่อเขา แต่เขาก็ไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าที่ถงเล่ยเรียกเขามาคุยในวันนี้เป็นเพราะเรื่องนี้
ดูเหมือนว่าถงเล่ยจะคิดว่าที่ผลการทดสอบของจี้เฟิงแย่ลง นั่นเป็นเพราะเธอปฏิเสธความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนระหว่างเธอและจี้เฟิง จนทำให้จี้เฟิงยอมแพ้และท้อต่อการเรียน เพราะเหตุนี้เองถงเล่ยจึงรู้สึกผิดและทนดูจี้เฟิงยอมแพ้เรื่องเรียนไปแบบนี้ไม่ได้นี่คือเหตุผลที่เธอเรียกจี้เฟิงมาคุยในวันนี้
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่ได้ตอบอะไรถงเล่ยเลยคิดว่าเธอเดาถูก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “จี้เฟิงถ้ามันเป็นเพราะคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของฉัน ที่ทำให้นายเข้าใจผิดจนทำให้นายไม่สบายใจ จนไม่สามารถตั้งสมาธิกับการเรียนได้ ฉันต้องขอโทษจริงๆมันเป็นความผิดของฉันเอง แต่…”
จู่ๆถงเล่ยก็ชะงักไปเธออยากจะพูดกับเขาไปตรงๆเลยว่า “ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาย ดังนั้นเลิกคิดเรื่องนี้แล้วเอาเวลาไปตั้งใจเรียนด้วยความสบายใจดีกว่า”… ถงเล่ยกังวลว่าถ้าเธอพูดแบบนี้จริงๆ เธอกลัวว่าแทนที่จะโน้มน้าวใจให้เขากลับมาตั้งใจเรียนได้ มันอาจได้ผลตรงกันข้ามและเขาอาจจะอยากเอาชนะใจเธอให้ได้มากกว่าเดิม
“แต่อะไรหรอ?” จี้เฟิงถามและจ้องมองไปที่ดวงตาที่สวยงามของถงเล่ย ถึงแม้ในเวลานี้เขาจะรู้สึกอึดอัดเล็กใจเล็กน้อย แต่พอเห็นถงเล่ยที่ปกติจะมีความมั่นใจเสมอกำลังกระอักกระอ่วน เขาก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาจึงเอ่ยปากถาม
“แต่ แต่ …” ถงเล่ยย่นคิ้วและครุ่นคิดในสิ่งที่เธอจะพูด “ถึงนายจะไม่ได้ขยันเรียนมากนัก แต่นายเป็นคนฉลาดและความจำดีมากถ้านายลองใช้เวลาทำความเข้าใจและตั้งใจเรียนเพิ่มอีกซักหน่อย ผลทดสอบของนายจะต้องดีกว่าในตอนนี้อย่างแน่นอน!”
จี้เฟิงแอบยิ้มในใจแต่ภายนอกเขากลับส่ายหัวตีหน้าเศร้าเล็กน้อย “จริงๆฉันเรียนหนักมากและถึงแม้ฉันจะมีความจำที่ดี แต่ความรู้ที่ได้เรียนมาฉันก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้เลย ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้!”
“นาย…” ถงเล่ยมองเขาด้วยความโมโหและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายยังจะบอกว่านายตั้งใจเรียนได้อีกเหรอ แล้วนายก็เพิ่งจะพูดเองด้วยว่าความจำนายดีมากจริงๆ งั้นอธิบายมาหน่อยว่าเมื่อ 2เดือนก่อนที่ฉันติวให้นายวิชาคณิตศาสตร์ นายมีปัญหาที่ไม่เข้าใจอยู่สองสามข้อ แล้วพอฉันอธิบายให้นายฟังอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว นายก็เข้าใจได้ในทันทีแถมนายยังบอกว่าจะไม่มีทางลืม เพราะความจำของนายนั้นดีมาก ไหนบอกมาซินายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?
โดยไม่รอให้จี้เฟิงตอบ ถงเล่ยก็พูดต่อว่า “ถ้านายบอกว่านายตั้งใจเรียนอย่างหนัก แล้วทำไมฉันเห็นนายนอนหลับที่โต๊ะเรียนแทบทุกวัน นายเคยฟังที่อาจารย์สอนในชั้นเรียนบ้างหรือเปล่า?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของถงเล่ยก็เริ่มเป็นสีแดงเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากความโกรธ
อย่างไรก็ตามเมื่อจี้เฟิงเห็นเธอทุกข์ใจเพราะความโกรธ แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขมาก
ผู้หญิงคนนึง ถ้าเธอไม่ได้สนใจในตัวคุณ แต่แค่อยากจะหายจากความรู้สึกผิด เธอก็จะโน้มน้าวอย่างใจเย็นเท่านั้น และไม่มีทางที่จะโกรธขนาดนี้
การที่เธอรู้สึกแบบนี้มันหมายถึงอะไร?
แล้วทำไมเธอถึงต้องโกรธ?
คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะถงเล่ยมีความรู้สึกห่วงใยและสนใจในตัวจี้เฟิง ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนกับเมื่อเราคาดหวังว่าคนที่เราเป็นห่วงจะ ทำสิ่งที่ดีให้สำเร็จแต่สุดท้ายเขากลับทำให้เราผิดหวัง ด้วยเหตุนี้เธอจึงโกรธจี้เฟิงมาก
เมื่อจี้เฟิงเข้าใจถึงเหตุผลเหล่านี้ดี เขาจึงเผลอยกมุมปากขึ้นและหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“นายยังกล้าหัวเราะอีกเหรอ?”
ถงเล่ยโกรธมากเมื่อเห็นท่าทางของจี้เฟิง เธออดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าตัวเองและบ่นจี้เฟิง “ฉันกำลังคุยเรื่องซีเรียสกับนายอยู่ แต่นายกลับหัวเราะหรือฉันพูดอะไรผิด?”
“ใช่แล้ว!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม เมื่อมองดูท่าทีของถงเล่ยที่เหมือนกับเด็กน้อยเอาแต่ใจกำลังโกรธ มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ
“อะไรนะสรุปว่าฉันพูดถูกใช่ไหม เรื่องที่นายนอนหลับทุกคาบแล้วยอมแพ้เรื่องเรียนไปแล้วน่ะ?!” ถงเล่ยโกรธมากขึ้นไปอีกเมื่อเธอได้ยินจี้เฟิงตอบแบบนี้ “ในเมื่อนายยอมรับว่านายไม่ได้ตั้งใจเรียน ฉันขอถามว่าทำไมนายถึงหมดหวังกับเรื่องเรียนถึงขนาดนอนหลับในห้อง หรือที่นายทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน? แต่ไม่ว่านายจะทำเรื่องนี้ด้วยสาเหตุไหนมันก็ผิดอยู่ดีจี้เฟิงนายอย่าทำแบบนี้เลย.. ถ้านายยังเป็นอยู่แบบนี้นายอาจจะเรียนไม่จบ ชีวิตนายก็อาจจะไม่มีอนาคตก็ได้นะ!”
ในท้ายที่สุดถงเล่ยเปลี่ยนจากการตั้งคำถามอย่างดุเดือนเป็นการโน้มน้าวใจจนเกือบจะเป็นการเว้าวอนให้จี้เฟิงกลับมาสนใจเรียนอย่างจริงจัง
“ฮิฮิ..” เมื่อมองไปที่ความงามที่ไม่มีใครเทียบของถงเล่ย จี้เฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้
“นายหัวเราะอะไร?” เมื่อถงเล่ยเห็นว่าสิ่งที่เธอพูดไปทั้งหมดเหมือนจะไม่ได้เข้าหูจี้เฟิงเลย แถมยังมองมาที่เธอแล้วหัวเราะอีกเธอจึงรู้สึกโกรธมาก
ทันใดนั้นถงเล่ยก็เหมือนได้สติ.. นี่ฉันเพิ่งตัดสินใจที่จะบอกเขาไปว่าฉันไม่ได้ชอบเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้? ทำไมฉันต้องใส่ใจในตัวเขาขนาดนี้ด้วยล่ะ?!
หัวใจของถงเล่ยสับสน เป็นไปได้ไหมว่าหัวใจกับความคิดของเธอนั้นมันตรงข้ามกัน หรือความจริงแล้วเธอชอบจี้เฟิง?
อย่า! เป็นไปไม่ได้! ถงเล่ยรีบปฏิเสธความคิดนี้ออกไปทันที มันไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันเป็นคนพูดเองว่าจะไม่มีเรื่องความรักในขณะที่ยังเรียนม.ปลายอยู่เป็นอันขาดหรือถึงแม้จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วครอบครัวของฉันก็คงไม่มีทางยอมให้ฉันได้มีความรักอย่างอิสระแน่นอน!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถงเล่ยก็ตกตะลึง ที่เธอไม่กล้ายอมรับว่าชอบจี้เฟิงนั่นเป็นเพราะในใจลึกๆเธอกลัวว่าจี้เฟิงอาจมีปัญหาเพราะครอบครัวเธอ มันเลยทำให้เธอปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อจี้เฟิงโดยไม่รู้ตัว?
…….
……จบบทที่ 63~