บทที่ 64 ความคิดของถงเล่ย
“จี้เฟิง..ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นายต้องตั้งใจเรียนนะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อตัวนายเองแต่อย่างน้อยก็เพื่อ… คนในครอบครัวของนายลองเก็บไปคิดดูนะโอเคไหม?”
ถงเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยเธอพยายามขจัดความคิดอื่นๆที่วุ่นวายอยู่ภายในใจของเธอ เธอทำได้เพียงแค่พูดเตือนสติจี้เฟิงอย่างใจเย็นที่สุด แต่เมื่อเธอพูดถึงครอบครัวของจี้เฟิงน้ำเสียงของเธอก็ดูแปลกไปเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่าง
จี้เฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรถงเล่ยที่จริงแล้ว ..อืมฉันจะพูดยังไงดี อันที่จริงขอแค่เธอรู้ว่าฉันชอบเธอฉันก็พอใจแล้วนะ แล้วถ้าเกิดเธอคิดจะชอบฉันบ้างเหมือนกันฉันก็คงจะดีใจและมีความสุขมาก แต่ถ้าเธอไม่ได้คิดอะไรกับฉันจริงๆฉันก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นสิทธิของเธอแต่ถ้าเรื่องที่ฉันชอบเธอมันทำให้เธอเดือดร้อน ฉันต้องขอโทษด้วยและฉันอยากจะบอกให้เธอรู้ไว้ ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ
เขาหยุดยิ้มครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “เรื่องที่เธอพยายามจะบอก ฉันเข้าใจจริงๆนะว่าเธอหมายถึงอะไร และฉันก็ขอบคุณความห่วงใยของเธอจริงๆ!”
จี้เฟิงกล่าวขอบคุณจากหัวใจ
เขาเข้าใจความหมายของถงเล่ยที่บอกให้เขาทำเพื่อครอบครัวของเขา จี้เฟิงเข้าใจมันเป็นอย่างดี
นับตั้งแต่ที่ฮูซู่ฮุ่ยทิ้งจี้เฟิงและพูดกับเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า ‘ลูกเมียน้อย’พร้อมด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน และแน่นอนว่าข่าวนี้ก็แพร่กระจ่ายไปอย่างรวดเร็วทำให้เพื่อนร่วมชั้นทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี และในสายตาของพวกเขาจึงมองจี้เฟิงเป็นเพียงแค่เด็กยากจนที่อ่อนแอ แถมยังถูกแฟนทิ้งเพราะเขาเป็นลูกที่ไม่มีพ่อ
มันเป็นเรื่องปกติที่คนวัยนี้ชอบพูดคุยเรื่องไม่ดีของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบางคนที่ชอบนินทาและไม่สามารถเก็บคำพูดของพวกเธอได้
ภายใต้สถานการณ์นั้นจี้เฟิงได้ยินข่าวลือพวกนี้บ่อยครั้ง จนทำให้ความรู้สึกดีของเขาที่มีต่อฮูซู่ฮุ่ยหมดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะเขาคิดว่ามันเป็นสิทธิของคนอื่นที่จะพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ตราบใดที่ไม่มีใครกล้ามาถามเขาตรงๆหรือพูดต่อหน้า เขาก็จะไม่พูดอะไรออกไป
นักเรียนในชั้นทังหมดรู้เรื่องนี้และแน่นอนว่าถงเล่ยก็ต้องรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน ในขณะที่เธอพยายามเตือนสติจี้เฟิงให้ตั้งใจเรียนด้วยการอ้างถึงครอบครัวเขา เธอพยายามเลือกใช้คำพูด ‘ครอบครัวของนาย’ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอจงใจหลีกเลี่ยงคำพูดที่จะสื่อได้ว่า เขาเป็นลูกนอกสมรสเพื่อไม่อยากให้จี้เฟิงรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ และเธอไม่อยากให้จี้เฟิงรู้สึกว่าตัวเขานั้นด้อยไปกว่าคนอื่น
จี้เฟิงจะไม่เข้าใจเจตนาดีของถงเล่ยได้อย่างไร เขามองไปที่ดวงตาของเธอที่ตอนนี้กำลังมองเขาด้วยความห่วงใย เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนเหล่านี้ของเธอ เขาไม่อาจปล่อยให้เธอต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยแม้แต่น้อยได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้เธอถูกคนอื่นนินทาวิพากษ์วิจารณ์และต้องมาแบกรับภาระความรู้สึกทุกข์ใจเหล่านี้
“จี้เฟิง นายไม่เข้าใจ …” ถงเล่ยเหมือนอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่สุดท้ายเธอทำได้แค่เพียงถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “จี้เฟิง ฉันขอถามนายแค่ประโยคเดียวแล้วกัน นายจะกลับมาตั้งใจเรียนไหม?”
“ฉันก็ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด!” จี้เฟิงยิ้ม
ทันใดนั้นถงเล่ยรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันทีเธอพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ที่จะเกลี้ยกล่อมจี้เฟิงแต่ทำไมเขาถึงยังเป็นแบบนี้ จี้เฟิงไม่เห็นความหวังดีของเธอเลยหรือ จี้เฟิงที่แน่วแน่มั่นคงฉลาดและกล้าหาญคนนั้นหายไปไหน? ทำไมตอนนี้เขาถึงยังยิ้มได้กับเรื่องแบบนี้!”
“ฉันหมายความตามนั้น!” เมื่อเขามองไปที่ถงเล่ยก็เหมือนจะคาดเดาความคิดของเธอได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจ “ถงเล่ย ฉันตั้งใจเรียนและเรียนหนักมากจริงๆ แล้วสำหรับความจำอย่างฉัน เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าตราบใดที่ฉันต้องการ ฉันก็สามารถทำมันออกมาให้ดีได้ทุกเมื่อ!”
“ทำให้ดีได้ทุกเมื่อ?! แล้วผลทดสอบที่ผ่านมามันออกมาแย่ขนาดนี้ได้ยังไง?” ถงเล่ยโกรธมากขึ้นกว่าเดิม เขากล้าที่จะพูดเรื่องไร้สาระในเรื่องสำคัญอย่างเรื่องเรียนแบบนี้ได้ยังไง ในขณะที่ใครหลายๆคนตั้งใจเรียนแทบตายก็ยังไม่สามารถทำผลการเรียนให้ดีขึ้นได้ แต่เขากลับพูดว่าตราบใดที่เขาต้องการเขาก็สามารถทำผลลัพธ์ให้ออกมาดีได้ทุกเมื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขาแค่พูดให้มันจบๆไปหรือเขาทำแบบนั้นได้จริงๆ?
“เพราะถ้าฉันทำข้อสอบได้ดีอาจารย์ก็จะต้องให้ฉันไปอยู่แถวหน้า แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลย เดิมทีฉันอยู่ในที่ของฉันซึ่งไม่มีใครสนใจฉันพอใจมากกับตอนนี้ แล้วถ้าจู่ๆฉันต้องกลายมาเป็นที่สนใจเพราะผลการทดสอบดีขึ้นอย่างกะทันหัน ฉันเกรงว่าฉันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นสักเท่าไหร่!”
เขาพูดขณะมองไปที่หน้าของถงเล่ยและเมื่อเห็นว่าถงเล่ยยังโกรธอยู่ เขาจึบรีบพูดต่อทันที “ถ้าเธอไม่เชื่อเธอจะขอดูเอกสารผลการทดสอบของฉันก็ได้ นอกจากข้อที่ฉันไม่คิดจะทำ ที่เหลือฉันก็ทำถูกทั้งหมดแล้วสาเหตุที่ผลทดสอบออกมาแย่… ซึ่งมันก็แย่กว่าที่ฉันคิดไว้เล็กน้อย นั่นเป็นเพราะหลายๆข้อฉันไม่ได้ดูมันเลยด้วยซ้ำ ฉันจงใจทำเฉพาะบางข้อและปล่อยบางข้อให้ว่างเปล่า แล้วฉันก็ส่งกระดาษคำตอบไปทั้งแบบนั้นเหมือนกับว่าฉันทำมันไม่ได้”
ถงเล่ยตกตะลึงราวกับว่าเธอยังไม่สามารถประมวลผลจากสิ่งที่รับฟังมาได้ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนายช่วยอธิบายได้ไหมว่า ทำไมถึงต้องการแบบนี้ แล้วมันเป็นเรื่องไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอที่จะต้องเป็นคนมีค่าในสายตาคนอื่น?”
จี้เฟิงส่ายหัวและกล่าวว่า “ขอโทษนะถงเล่ยฉันไม่อยากโกหกเธอ เพราะฉันไม่สามารถบอกเธอได้ในตอนนี้จริงๆ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของฉันแต่อย่างน้อยฉันก็สามารถรับรองได้ว่า ถ้าจะมีใครรู้เรื่องนี้นอกจากตัวฉันเองคนแรกที่จะได้รู้ก็ต้องเป็นเธอแน่นอน!”
“ฉันจะแน่ใจได้ไง!” ในตอนนี้นั้นใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยเริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อย ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ใจลึกๆของเธอก็เชื่อสิ่งที่จี้เฟิงพูดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกตราบใดที่จี้เฟิงยังไม่ยอมแพ้เรื่องการเรียนเธอก็สบายใจ
อันที่จริงถงเล่ยเริ่มรู้สึกว่าเธออาจจะชอบจี้เฟิงขึ้นมานิดๆแล้ว แต่ที่เธอยังไม่อยากจะยอมรับมันออกมาตรงๆ นั่นเป็นเพราะว่าเธอกลัวครอบครัวของเธอจะรู้เข้า แล้วคนที่จะเดือดร้อนก็จะเป็นจี้เฟิงเอง ครอบครัวของเธอคงไม่ยอมรับจี้เฟิงง่ายๆอย่างแน่นอน และจี้เฟิงก็จะพบปัญหาอีกมากมาย เพราะด้วยสถานะครอบครัวของจี้เฟิงนั้นไม่ใช่ครอบครัวที่เรียบง่าย
เมื่อดูท่าทีของหญิงสาวตัวน้อยตรงหน้าที่กำลังยืนหน้าแดงและครุ่นคิดบางอย่างอยู่ จี้เฟิงก็อดยิ้มไม่ได้และเหมือนเขานึกอะไรบางอย่างได้และพูดโพล่งออกมาทันทีว่า “ถงเล่ย วันตรุษจีน(ปีใหม่)ใกล้จะมาถึงเร็วๆนี้แล้ว และเหลือเวลาที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกเพียงแค่ครึ่งปีเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนเหรอ?”
ถงเล่ยสะดุ้งและเข้าใจทันทีว่าทำไมจู่ๆจี้เฟิงถึงถามเธอว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน นั่นเป็นเพราะเขาอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ!
ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายแต่ก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ แต่มันก็มีความรู้สึกเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้อยู่เช่นกัน ถงเล่ยตอบไปเบาๆว่า “ครอบครัวฉันอยากให้ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยจิงหัว แต่ตัวฉันเองชอบมหาวิทยาลัยในเจียงโจวมากกว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันก็จะยึดมั่นความปรารถนาของตัวเอง ฉันไม่อยากถูกที่บ้านบังคับมากเกินไปถ้าอันไหนฉันเลือกเองได้ฉันก็จะทำ!”
“ดีเลย! ฉันก็ว่าจะไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเจียงโจวเหมือนกัน ฉันจะตามไปเป็นเพื่อนร่วมชั้นเธอต่อไป!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
“เราค่อยมาคุยกัน ถ้านายสอบผ่านได้” ใบหน้าขาวนวลของถงเล่ยหันหนีพร้อมกับหันหลังเดินออกไปเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวทเธอก็หันกลับมาและพูดอย่างหนักแน่นว่า “นายต้องสอบให้ผ่าน!”
ทันทีที่เธอพูดจบแก้มของเธอก็แดงขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเธอก็รีบหันหลังวิ่งหนีไป
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของถงเล่ย มุมปากของจี้เฟิงก็ค่อยๆยกขึ้นและยิ้มออกมา ประโยคสุดท้ายของถงเล่ย ได้เผยให้เห็นความรู้สึกภายในใจของเธอ
“ไม่ว่าจะเพื่อเธอหรือเพื่อตัวฉันเอง ฉันจะสอบผ่านให้ได้!” จี้เฟิงพูดกับตัวเองแต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ ในวันที่เขากับฮูซูฮุ่ยเลิกกันเธอเคยบอกว่าเธอจะเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจว….
……..จบบท 64 ~