บทที่ 65 ห้องหมายเลข 88
“เยี่ยม! ในที่สุดน้องสาวที่ใจแข็งมาตลอดก็เหมือนจะใจอ่อนลงแล้ว!” จางเล่ยแอบยิ้ม ในตอนที่เขาเห็นถงเล่ยกำลังวิ่งหนีออกมา หลังจากที่คุยกับจี้เฟิงที่สุดทางเดิน
เมื่อตอนที่ถงเล่ยเรียกจี้เฟิงออกจากห้องเรียนไป จางเล่ยรู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดและน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงแอบตามออกมาด้วยความเป็นห่วง แล้วหลบอยู่ที่มุมทางเดินเพื่อดูว่า จี้เฟิงและถงเล่ยมีปัญหาอะไรกันและแน่นอนว่าเขาได้ยินทุกอย่างชัดเจนระหว่างที่ทั้งสองคนนั้นคุยกัน
จางเล่ยแอบยิ้มได้เพียงไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วและพูดกับตัวเองว่า “คราวนี้ปัญหาของเจ้าบ้านั่นก็จะใหญ่มาก แม้ว่าฉันจะคอยช่วยนายอยู่ข้างๆ แต่ฉันเกรงว่านายน่าจะลำบากไม่น้อยอยู่ดี!”
“เฮ้อ~!”
จางเล่ยถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวเล็กน้อย “เจ้าบ้าฉันหวังว่านายจะไม่เปลี่ยนใจในเรื่องนี้ไปง่ายๆ ไม่เช่นนั้นเรื่องระหว่างนายกับถงเล่ยคงไม่มีทางเป็นไปได้ ที่ฉันยุยงให้นายจีบเธอเมื่อตอนนั้นฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าฉันทำสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่!”
สีหน้าของจางเล่ยแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน หลังจากนั้นไม่นานเขากำหมัดแน่นแล้วกล่าวว่า “เจ้าบ้า ฉันติดหนี้นายครั้งใหญ่เลยล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันยุยงนายให้พยายามจีบถงเล่ยวันนั้น นายอาจจะมีชีวิตที่ธรรมดาและมีความสุข แต่ในฐานะพี่ชายฉันไม่อาจปล่อยให้น้องสาวของฉันต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิตกับการแต่งงานที่เธอไม่ได้เลือก การแต่งงานเพราะหน้าที่ และเป็นคู่แต่งงานที่ครอบครัวเลือกให้ มันจะทำให้เธอไม่มีวันได้พบกับความสุข!”
ฉันคงทำใจไม่ได้ ที่จะต้องปล่อยให้น้องสาวของฉันใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตด้วยความเจ็บปวด! จางเล่ยกล่าวอย่างหนักแน่น
แต่อีกใจนึงจางเล่ยก็รู้สึกปวดใจอย่างมากที่เขาสนับสนุนแนะนำให้จี้เฟิงนั้นตามจีบถงเล่ย
เพราะเขารู้ดีว่าตระกูลของเขานั้น มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่าตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขตหมางซือ นี่เป็นเพียงส่วนปลายสุดของภูเขาน้ำแข็ง พลังอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเขาไม่ได้อยู่แค่ในหมางซือเท่านั้นแต่อยู่ในเมืองหลวงอย่างเจียงโจวและเมืองอื่นๆ
ด้วยสถานะของตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้ แล้วลูกหลานของตระกูลจะมีสิทธิได้รับผิดชอบเลือกคู่ชีวิตแต่งงานของตัวเองได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นการที่จี้เฟิงชอบและตามจีบถงเล่ยเขาต้องพบเจอกับอุปสรรคอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแน่นอน
เมื่อคิดว่าจี้เฟิงต้องเจอกับอุปสรรคอะไรบ้างจากคนในครอบครัวเขา จางเล่ยก็รู้สึกผิดมากขึ้น
คราวนี้ฉันติดหนี้นายมากจริงๆ แล้วถ้านายต้องการเอาชีวิตฉันเป็นการตอบแทนในอนาคต ฉันก็จะไม่ทักท้วงใดๆ! จางเล่ยมองไปที่ด้านหลังของจี้เฟิง ในขณะที่เขายืนแอบอยู่ที่มุมของทางเดินอย่างเงียบๆ
“ดูตั้งนานแล้วไม่เหนื่อยเหรอ?” ในขณะที่จางเล่ยกำลังคิดอะไรไปเรื่อย จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้นมาจากสุดทางเดินที่เขายืนอยู่ เขาหันกลับมายิ้มและมองมาที่จางเล่ยที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมทางเดิน
จางเล่ยสะดุ้งตกใจ เขาที่แอบดูจี้เฟิงและถงเล่ยคุยกัน ได้โผล่ไปแค่ครึ่งหัวกับตาเพียงข้างเดียวเท่านั้น แล้วจี้เฟิงรู้ได้อย่างไรว่าเขายืนแอบอยู่ที่นี่?
จางเล่ยยิ้มและเดินออกมาจากมุมที่เขายืนแอบอยู่ “อ้าว เจ้าบ้า นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ?!”
“ฉันต้องถามนายมากกว่ามั้ง ว่านายมายืนแอบตรงนี้ทำไม!” จี้เฟิงตะคอก “สิ่งที่ฉันพูดมันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอเล่ยซือ.. การแอบฟังมันไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ แต่ดูท่าทางนายจะคุ้ยเคยกับมันเป็นอย่างดี สงสัยคงทำแบบนี้บ่อยๆ ล่ะสิ?!”
จางเล่ยรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่หน้าของเขานั้นหนาพอ เขาหัวเราะแล้วแกล้งตีมึนพูดคุยเรื่องอื่น “เจ้าบ้า จะว่าไปแล้ววันนี้อากาศดีมากเลยเนอะ ลมก็แรงแดดก็มี”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา การทำตัวกวนๆ และสไตล์การพูดแบบนี้ของจางเล่ยทำเขาอารมณ์ดีได้เสมอ
จี้เฟิงไม่ได้ถามจางเล่ยว่าทำไมเขาถึงมายืนแอบฟังที่นี่ เพราะทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างก็รู้จักนิสัยของกันและกันเป็นอย่างดี ถ้าจางเล่ยมีเรื่องที่ต้องการพูดเขาก็จะพูดมันออกมาเอง แต่ตราบใดที่เขาไม่อยากจะพูด ต่อให้ถามอย่างไร เขาก็จะไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน และมันอาจจะกลายเป็นความอึดอัดจนทำร้ายความรู้สึกของกันและกันในที่สุด
“จี้เฟิงฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายดี… ขอบคุณนะ!” จางเล่ยพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
จี้เฟิงรู้ดีว่าที่จางเล่ยพูดนั้นหมายถึงอะไร เขาได้แต่โบกมือแล้วพูดว่า “นี่เป็นทางเลือกของฉันเอง มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกะนาย!”
“ฮ่าฮ่า..!” จางเล่ยหัวเราะเล็กน้อยและตบไหล่จี้เฟิง เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ!
“เออใช่ บ่ายนี้เลิกเรียนแล้ว เราไปหาอะไรดื่มกันสักแก้วสองแก้วมั้ย พรุ่งนี้ก็วันหยุดแล้ว” จางเล่ยถาม
จี้เฟิงผงะเล็กน้อยจากนั้นก็ส่ายหัวและยิ้ม “นอกจากฉันจะคบกับนักเลงแล้ว นักเลงคนนั้นยังจะชวนฉันไปดื่มของมึนเมาอีก นายกลัวแม่ฉันจะไม่ฆ่าฉันหรือไง?”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปดื่มเครื่องดื่มธรรมดาไม่ต้องดื่มแอลกอฮอล์ก็ได้!” จางเล่ยกล่าวทันที “เพราะจริงๆแล้วฉันเอง ถ้าดื่มแอลกอฮอล์แล้วกลับบ้านไป ก็คงโดนคนที่บ้านจัดการไม่ต่างจากนายหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จี้เฟิงหัวเราะและส่ายหัว “นายนี่นะ… ถ้าอย่างนั้นนายเป็นคนเลี้ยง โอเค?”
“ไม่มีปัญหา มันก็แค่ปาร์ตี้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น!” จางเล่ยพูดอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นจางเล่ยดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกพอดี เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าบ้าฉันว่าจะบอกนายเรื่องแฟนของอาจารย์เซียว ดูเหมือนเขาจะมาหาอาจารย์เซียวอีกแล้ว”
“นายรู้ได้ยังไง?” หัวใจของจี้เฟิงกระตุกเล็กน้อย แต่เขายังคงมีสีหน้านิ่งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็ตอนนั้นฉันยืนอยู่ชั้นบนของอาคารเรียน มันสามารถมองเห็นอพาร์ตเมนต์ที่พักของพวกอาจารย์ได้ แล้วฉันก็บังเอิญเห็น..” จางเล่ยยิ้มแห้ง “ตอนแรกฉันเห็นอาจารย์เซียวกับแฟนของเธอนั่งคุยกันอยู่ที่ศาลาด้านล่างอพาร์ตเมนต์ พวกเขาคุยกันนานพอดู อาจารย์เซียวเธอดูมีความสุขมาก!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า “เล่ยซือ เลิกทำเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ แล้วมาสนใจนัดของเราบ่ายนี้กันดีกว่า!”
หลังจากนั้น จี้เฟิงก็ชกจางเล่ยเบาๆแล้วจากไปด้วยรอยยิ้ม
“ให้ตายเถอะ ไอ้บ้านี่มันแรงเยอะอะไรขนาดนี้วะ!” จางเล่ยร้องโอดโอย เขารู้สึกเจ็บหน้าอกตรงที่จี้เฟิงชกเบาๆเมื่อสักครู่ เขายิ้มอย่างขมขื่น “พอฉันพูดถึงแฟนอาจารย์เซียว ทำไมนายถึงมีอาการแปลกๆ?”
ทันใดนั้นดูเหมือนจางเล่ยจะนึกอะไรออก เขาเบิกตากว้างแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไอ้บ้า อย่าบอกนะว่านายคิดอะไรกับอาจารย์เซียว.. ไม่อย่างนั้นทำไมนายถึงระบายความโกรธโดยการมาชกฉันหลังจากที่ฉันบอกเรื่องแฟนของอาจารย์เซียว? ไอ้เด็กบ้านี่มันจะร้ายเกินไปแล้ว ฉันคงต้องบอกน้องสาวของฉันให้ทำตัวกับนายดีๆหน่อย ไม่งั้นในอนาคตเธออาจจะได้มีพี่สาวเพิ่ม!”
หลังจากจางเล่ยพูดจบเขาก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องเรียน
……….
ในช่วงบ่าย จี้เฟิงยังคงได้รับการฝึกฝนสมองภายในจิตใต้สำนึก จนถึงตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวยิมนาสติกท่าที่เก้าได้สำเร็จและร่างกายของเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก ตราบใดที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ครบทั้งสิบสามท่าและรวมกับการฝึกฝนทักษะเสริมทั้งหมดที่เรียนรู้มา เขาจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดสายลับแห่งยุคของดวงดาว!
เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์และอีกสองวันถัดไปเป็นวันหยุดจึงไม่มีการเรียนด้วยตัวเองในช่วงบ่ายของวันนี้
ทันทีที่โรงเรียนเลิก จางเล่ยก็พาจี้เฟิงวิ่งออกไป “เจ้าบ้า ไวๆหน่อยสิ ร้านที่ฉันจะพานายไปคนเยอะมากนะ บางทีถ้าเราไปช้ากว่านี้อาจจะไม่มีที่ยืนเลยด้วยซ้ำ!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และรีบเดินตามหลังจางเล่ยไปอย่างรวดเร็ว
“เผิงเฉิง โฮเทล!”
นี่คือชื่อสถานที่ที่จางเล่ยเลือก
พอมาถึงประตูก็เห็นรถหลายคันจอดกันเต็มไปหมด แม้แต่ห้องโถงก็เต็มไปด้วยผู้คน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก
ทันทีที่บริกรเห็นจางเล่ยและจี้เฟิง เขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอประทานโทษลูกค้าทั้งสองท่านด้วย ตอนนี้โต๊ะอาหารได้เต็มหมดแล้วค่ะ!”
จางเล่ยโบกมือและพูดว่า “โทรหาผู้จัดการของคุณ ผมจองห้องไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายวันนี้แล้ว!”
“ไม่ทราบว่าเป็นห้องหมายเลขที่เท่าไหร่คะ?” บริกรผงะ
“เลขที่แปดสิบแปด!” จางเล่ยพูด
บริกรตอบกลับด้วยความรวดเร็ว “ฉันต้องขอโทษจริงๆ คุณคือคุณจางใช่ไหมคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณได้จองห้องนี้เอาไว้แล้ว โปรดตามฉันมา!”
แต่เดิมห้องหมายเลข 88 ได้ถูกจองโดยลูกค้าท่านหนึ่งเอาไว้แล้วในช่วงเช้า แต่จู่ๆ ผู้จัดการก็แจ้งเรื่องมาว่าเขาต้องการจ้องห้องหมายเลข 88 ให้กับลูกค้าที่ชื่อคุณจาง และเมื่อคุณจางมาถึงให้รีบจัดสถานที่และพาเขาไปห้องหมายเลข 88 โดยทันที!
เมื่อลองคิดดู ลูกค้าที่ชื่อคุณจางคนนี้ไม่น่าจะใช่บุคคลธรรมดา พนักงานเสิร์ฟรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ เธอจึงไม่กล้าที่จะละเลย
แต่เธอก็ยังคงกังวลอยู่พอสมควรเพราะสุภาพบุรุษที่มาจองห้องเลขที่ 88 เมื่อเช้านี้ ก็ดูไม่น่าใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปเช่นกัน จากที่ดูก็น่าจะมีตำแหน่งหรืออำนาจพอสมควร แล้วถ้าเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ลูกค้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้จะจัดการปัญหากันอย่างไร?
……..จบบทที่ 65~