บทที่ 69 เดิมพัน!
เซียวหยูซวนรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของจี้เฟิงเล็กน้อย เธอยังจำการเล่นลอตเตอรี่ครั้งล่าสุดได้ ยิ่งไปกว่านั้นเงินรางวัลของจี้เฟิงยังคงอยู่ในบัญชีของเธอ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้เฟิงเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและแม้กระทั่งตอนนี้ครอบครัวเขาก็ยังคงไม่ได้ร่ำรวยอะไร นอกเสียจากว่าเขาจะมีเงินจากการถูกรางวัลลอตเตอรี่นี้ หรืออย่างน้อยเขาก็คงจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง
แต่ในกรณีนี้มันก็แปลกเกินไป ที่จี้เฟิงและจางเล่ยจะกล้ามาร้านอาหารที่ราคาแพงและหรูหราขนาดนี้เพียงเพื่อจะมาทานอาหารค่ำ?
เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่เซียวหยูซวนมาที่เขตหมางซือนี้ และแน่นอนว่าเธอเคยได้ยินชื่อของโรงแรมเผิงเฉิงระดับสามดาวแห่งนี้ ว่ากันว่าคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยหรือมีหน้ามีตาในเขตหมางซือ หรือแม้แต่ผู้นำระดับสูงของเขตก็มักจะมาใช้บริการที่นี่
เซียวหยูซวนเพิ่งพูดถึงโรงแรมนี้กับแฟนของเธอก่อนหน้านี้แล้ววันนี้แฟนของเธอก็พาเธอมา
แต่จางเล่ยและจี้เฟิงนั้นพวกเขาตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ?
หรือเหตุผลจะเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ พวกเขาแค่อยากลองรับรู้และสัมผัสร้านอาหารระดับไฮเอนด์แบบนี้ดูบ้าง เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต แล้วพวกเขาเอาเงินมาจากไหน?
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่จางเล่ย เพราะเธอแน่ใจว่าจี้เฟิงคงไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้อย่างเดียวที่เหลือก็คือ จางเล่ยต้องเป็นคนพาจี้เฟิงมา
นักเรียนคนนี้จากที่รู้ จางเล่ยนั้นมีฐานะปานกลาง แต่เขาทำผลการทดสอบได้ดีทุกครั้งมันเป็นไปได้ไหมที่ครอบครัวของเขาจะมีฐานะร่ำรวย? เซียวหยูซวนมองไปที่จางเล่ยอย่างสงสัย แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ
ไม่สิ!
ทันใดนั้นเซียวหยูซวนก็นึกขึ้นได้ เมื่อตอนที่จี้เฟิงบอกให้พนักงานคิดเงินค่าหูฉลามสองชามนั้น ลงไปในบัญชีของจางเล่ย ท่าทางการแสดงออกของจางเล่ยดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติมาก ไม่น่าเกิดจากการเสแสร้งและไม่น่าใช่เพราะความสัมพันธ์ที่ดีอย่างแน่นอน หูฉลามสองชามนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแค่ไหน แต่ถ้าที่บ้านไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาก ก็คงไม่มีใครกล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมาด้วยท่าทีที่เคยชิน เหมือนกับเป็นของราคาไม่กี่สิบหยวน!
เซียวหยูซวนหาเหตุผลมารองรับการกระทำเหล่านี้ของนักเรียนทั้งสองไม่ได้ เธอไม่แน่ใจในอะไรหลายๆอย่าง เธอจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างรับประทานอาหาร จี้เฟิงและจางเล่ยไม่ได้คุยอะไรกันเลย เดิมทีจางเล่ยต้องการจะขอโทษจี้เฟิงและอีกอย่างคือพวกเขาไม่เคยมาทานอาหารร่วมกันอย่างเป็นทางการมาก่อน
แต่เนื่องจากการมาของเหอตง จางเล่ยจึงรู้สึกว่ารสชาติของอาหารเหล่านี้มันช่างจืดชืดจริงๆ
“เอ้า พวกเธอสองคนรีบกินหูฉลามก่อนมันจะเย็น มันมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากเลยนะรู้หรือเปล่า!” เหอตงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงหูฉลามในชามนี้จะเป็นส่วนของครีบหลังซึ่งไม่ใช่ส่วนที่ดีที่สุดของเมนูหูฉลามเหมือนกับครีบหน้า แต่ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับร้านอาหารในเขตเล็กๆ แบบนี้ ฮ่าฮ่า!”
“ให้ตายเหอะ!” จางเล่ยบ่นอยู่ในใจ “ฉันเป็นคนชวนให้มาร่วมโต๊ะแท้ๆ ยังจะพูดมากอยู่ได้ แถมยังกวนส้นตีนไม่หยุดไม่หย่อนอีก!”
ส่วนจี้เฟิงนั้นเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วใจจดใจจ่อกับการกินหูฉลามของเขา เขาไม่เข้าใจถึงความแต่งต่างระหว่างครีบหน้าหรือครีบหลัง เขาคิดแค่ว่าหูฉลามชามนี้รสชาติเกือบจะคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวที่เขากินอยู่เป็นประจำ สิ่งที่เหอตงพยายามพูดประชดแดกดันเป็นครั้งคราว สำหรับจี้เฟิงแล้วมันเป็นเรื่องไร้สาระมากเกินกว่าที่เขาจะใส่ใจ เขาจึงปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ลมที่ผ่านหูไป
แม้แต่ตอนที่เขามองไปที่หน้าของเซียวหยูซวน สีหน้าของเธอก็ดูไม่ค่อยพอใจนัก
เซียวหยูซวนรู้สึกว่าเหอตงพูดมากเกินไป เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “คุณก็รีบกินเถอะ ฉันเกรงว่าแม้แต่หูฉลามก็ไม่สามารถหยุดปากของคุณไม่ให้พูดมากได้!”
เหอตงขมวดคิ้วใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาของเขากระพริบอย่างรวดเร็ว เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนในเมื่อแม้แต่แฟนของตัวเองยังกล้าตำหนิเขาต่อหน้าเด็กนักเรียนสองคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนักเรียนสองคนนี้ยังปล่อยให้เขาพูดเก้ออย่างเสียหน้า
เมื่อมองไปที่หน้าตาเฉยเมยของจางเล่ยและจี้เฟิง ที่กำลังกินหูฉลามอย่างตั้งใจ เหอตงก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจ เด็กนักเรียนทั้งสองคนนี้จะต้องหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจแน่ๆ!
“ฉันจะเอาคืนพวกแกในภายหลัง!” เหอตงครุ่นคิดในใจ
“เอ้อ.. พอดีฉันเห็นป้ายแนะนำที่ล็อบบี้ด้านล่างบอกว่าที่ด้านบนของโรงแรมดูเหมือนจะมีห้องสำหรับความบันเทิงไว้บริการลูกค้าที่อยากจะหาความสนุกเล็กน้อย ทำไมเราไม่ลองขึ้นไปเล่นกันดูสักหน่อยล่ะ?” หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เหอตงยิ้มและเสนอ “คราวนี้ฉันจะเลี้ยงพวกเธอทั้งหมดเอง สิ่งที่พวกเธอต้องทำก็เพียงแค่เล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้น!”
จี้เฟิงและจางเล่ยลังเลเล็กน้อย เนื่องจากระยะเวลาที่รับประทานอาหารร่วมกันเขาได้เห็นถึงนิสัยใจคอและการพูดแขวะของเหอตงแทบจะตลอดเวลา ถ้าหากพวกเขายังไปทำกิจกรรมร่วมกันอีก คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะโดนผู้ชายคนนี้พูดจาประชดประชันใส่อีก
แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะเซียวหยูซวนชอบนักเรียนทั้งสองคน เธอจึงเห็นด้วยและสนับสนุนให้พวกเขาไปด้วยกัน “ใช่ๆ ไปด้วยกันเถอะน่าสนุกดีออก!”
เมื่อเซียวหยูซวนพูดมาแบบนั้น จางเล่ยและจี้เฟิงจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆและพยักหน้า
ทั้งสี่คนขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องความบันเทิงขนาดใหญ่ ทันทีที่เข้ามาในล็อบบี้ พวกเขาก็พบว่า ด้านนอกสุดเป็นห้องบิลเลียด แต่เมื่อเทียบกับห้องบิลเลียดของร้านทั่วไปตามท้องถนนแล้ว ที่นี่ดูหรูหรากว่ามาก พื้นห้องทั้งหมดถูกปูด้วยพรมผืนหนาที่เหยียบแล้วรู้สึกได้ถึงความนุ่มสบาย
บนเพดานยังถูกประดับด้วยโคมไฟระย้าที่มีแสงสว่างเหมาะกับการเล่นบิลเลียดได้อย่างสบายตา นอกจากนี้ยังมีป้ายบอกคะแนนบนผนัง ขาดเพียงผู้ตัดสินที่นี่ก็แทบไม่ต่างจากห้องที่ใช้แข่งขันบิลเลียดรายการใหญ่ๆเลยทีเดียว
“เรามาเล่นบิลเลียดกันเถอะ!” เหอตงยิ้มเจ้าเล่ห์ และเดินไปที่ด้านหนึ่งของโต๊ะบิลเลียดที่ว่างอยู่และพูดด้วยรอยยิ้ม “หยูซวนเธอรู้ดีว่าทักษะของฉันยังไม่ดีอะไรมากนัก ดังนั้นฉันจึงเป็นแค่นักเล่นบิลเลียดของมหาวิทยาลัยเป็นเวลาสี่ปี รวมถึงเป็นรองประธานสมาคม!”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่โอ้อวดอย่างน่าหมั่นไส้ของเหอตง สีหน้าของจางเล่ยก็มืดมนขึ้นเล็กน้อยแต่เขาก็กลับมามีสีหน้าที่ปกติในไม่ช้าเขายิ้มแล้วพูดว่า “โชคไม่ดีที่อาจารย์เซียวอยู่ที่นี่ แต่ฉันจะยอมรับสารภาพก็ได้ว่า ฉันเป็นนักเรียนที่ไม่ดีนัก ชอบโดดเรียนไปเล่นบิลเลียดอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็เลยพอจะมีฝีมือในการเล่นอยู่บ้าง!”
“ดีเลย งั้นเราก็มาเล่นกันเถอะ! เหอตงยิ้มเล็กน้อยและพูดด้วยความภาคภูมิใจ “อย่างไรก็ตาม ถ้าแพ้ขึ้นมาอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน!”
“ไม่ต้องห่วง!” จางเล่ยยิ้มให้อย่าง ‘สดใส’ “เพราะส่วนมากฝ่ายที่ร้องไห้มักจะเป็นฝ่ายตรงข้ามของฉันเสียมากกว่า!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีๆ!” เหอตงดูมั่นใจมาก เขาพูดอย่างนึกสนุก “แต่มันจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่หากเราจะเล่นแบบสบายๆ ฉันว่าเรามาเพิ่มสีสันกันหน่อยดีไหมล่ะ?”
“เหอตง!!” พวกเขายังเป็นนักเรียน คุณจะชวนพวกเขาเล่นการพนันแบบนี้ไม่ได้!” เซียวหยูซวนพูดอย่างไม่พอใจ
แต่เหอตงไม่สนใจ แต่มองไปที่หน้าจางเล่ยอย่างยั่วเย้า
“โอเค!” จางเล่ยเห็นด้วยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าเกมละ 100 หยวนเป็นไง?”
เหอตงหัวเราะทันที และพูดว่า “แล้วแต่เธอเลยจางเล่ย ระวังอย่าเอาค่าขนมมาเสียซะหมดล่ะ!”
“ฉันเกรงว่าจะได้เงินค่าขนมเพิ่มซะมากกว่า!” จางเล่ยยิ้มบางๆ
“ดีมาก!” เหอตงหัวเราะเล็กน้อย “เด็กน้อยมีความกล้าหาญมาก ดังนั้นเราอย่าเล่นด้วยกติกาของสนุ๊กเกอร์แบบปกติเลย มันช้าเกินไป เราจะเล่นแบบนับแต้ม ซึ่งเราจะแข่งกันทำแต้ม ส่วนผู้ที่ทำลูกขาวลงหลุมจะต้องเสียแต้มให้อีกฝ่าย เราจะเล่นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายนึงจะทำแต้มครบตามที่กำหนด แล้วคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ”
“เยี่ยม ฉันชอบเล่นแบบนี้ที่สุดแล้ว!” จางเล่ยยิ้ม
ดวงตาของเหอตงเปล่งประกายแวววาวมุมปากของเขาโค้งงอจนเหมือนรอยยิ้มผู้ที่มีแผนการร้าย
ทั้งสองจับไม้แทงบิลเลียดยืนกันคนละฝั่ง มีบริกรเป็นผู้ตั้งลูกบอลลงบนโต๊ะ
“มาเริ่มกันเลย ฉันให้เธอเริ่มก่อนเด็กน้อย!” เหอตงยิ้มใจดี แต่ภายในใจเขานั้นมีความเจ้าเล่ห์ คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเป็นคนแทงลูกก่อน เพราะถ้าคุณทำคะแนนไม่ได้ในครั้งแรก ลูกบิลเลียดส่วนมากจะไปอยู่ในตำแหน่งที่ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสได้คะแนนมากกว่า เพราะฉะนั้นผู้ที่เล่นทีหลังจะมีความได้เปรียบมากกว่า
……จบบทที่ 69~