บทที่ 79 ปีใหม่ที่เงียบเหงา
สำหรับจี้เฟิงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิปีสุดท้ายนี้สามารถเรียกได้ว่าเงียบเหงามาก
เพราะหลังจากที่เขาได้พบกับครอบครัวของฮูซู่ฮุ่ยในตอนที่ขายผักในช่วงวันหยุดฤดูหนาว มันจึงทำให้อารมณ์ของจี้เฟิงไม่ดีจนเกือบตลอดในช่วงของวันหยุด แม้ว่าเขาจะทำตัวเป็นปกติทุกอย่างเวลาอยู่ต่อหน้าเซียวซูเหม่ย แม่ของเขา และมักจะพูดติดตลกกับเธอบ่อยๆ และถึงแม้ว่าเซียวซูเหม่ยจะยังคงยิ้มและหัวเราะ แต่จี้เฟิงก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า พฤติกรรมที่เลวร้ายหลายอย่างของฮูซู่ฮุ่ย ได้ตราตรึงอยู่ในใจของเขากับแม่อย่างมาก และไม่มีวันที่จะลบล้างออกไปได้
สิ่งที่ฮูซู่ฮุ่ยมอบให้กับจี้เฟิง ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงสันดานที่หยิ่งยโสและจองหองอย่างแท้จริงของเธอ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการที่เธอทำให้จี้เฟิง ได้สัมผัสกับโลกที่หนาวเย็นแบบที่ไม่เคยสัมผัสก่อนในชีวิต ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากการถูกใครบางคนเอามีดมากรีดที่หัวใจของเขาโดยตรง ความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนเหล่านั้นมันฝังรากลึกเข้าไปในหัวใจของจี้เฟิง
จี้เฟิงสามารถมั่นใจได้ว่า เขานั้นได้เลิกชอบฮูซู่ฮุ่ยไปอย่างไม่มีเยื่อใยใดๆ หลงเหลืออยู่อีกเลย หลังจากที่เขาได้รู้ธาตุแท้ของเธอตั้งแต่ในวันเปิดภาคเรียนวันแรกที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว มันทำให้เขาตระหนักได้ในทันทีว่าเมื่อก่อนเขาเคยตามืดบอดและโง่งมมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ จี้เฟิงยังคงไม่เข้าใจว่าในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทำไมฮูซู่ฮุ่ยถึงยังได้ทำตัวเป็นหมาบ้าตามกัดเขาไม่ปล่อยอยู่แบบนี้ หรือเป็นเพราะเธอรู้สึกอับอายที่เคยหลงมาคบกับคนอย่างเขา? เธอเลยตามหาเรื่องเขาแบบกัดไม่ปล่อยเพื่อให้ตัวเธอเองรู้สึกสบายใจขึ้น?
จี้เฟิงยังคงไม่เข้าใจ และไม่ต้องการเข้าใจอีก ในตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่า เขาและฮูซู่ฮุ่ย จะไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอีกต่อไป เพราะนับตั้งแต่ที่ฮูซู่ฮุ่ยกับพี่สาวและพี่เขยของเธอ พูดจาดูถูกเหยียดหยามเขาและแม่ของเขาในตอนนั้น จี้เฟิงได้เปลี่ยนสถานะของเธอจากคนแปลกหน้าให้กลายเป็นศัตรูของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจี้เฟิงจะยังไม่มีความสามารถในการพิสูจน์ตัวเองและไม่ต้องการแก้แค้นในทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจี้เฟิงจะลืมเรื่องนี้และไม่ได้หมายความว่า จี้เฟิงจะให้อภัยกับการกระทำของฮูซู่ฮุ่ยและครอบครัวของเธอ
“ฮูซู่ฮุ่ย สิ่งที่เธอทำอย่าคิดว่าฉันจะปล่อยมันไปง่ายๆ…” แสงเย็นวาบฉายชัดออกมาจากดวงตาของจี้เฟิง “การที่เธอพาพี่สาวและพี่เขยเศรษฐีใหม่ขี้โอ่ของเธอมารุมต่อว่าฉันด้วยถ้อยคำดูถูกอย่างเลวร้าย
อย่ามาโทษว่าฉันเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม ถ้าซักวันฉันจะทำให้เศรษฐีขี้โอ่อย่างพี่เขยและพี่สาวของเธอต้องกลายเป็นขอทานข้างถนนอย่างที่ไม่ให้มีสมบัติติดตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อถึงวันนั้นฉันอยากจะรู้นักเธอจะเหลืออะไรมาอวดได้อีก?!”
มือของจี้เฟิงกำแน่น เขากัดฟันและคิด… ถ้าฮูซูฮุ่ยทำตัวเป็นคนแปลกหน้าหมือนที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันที่พวกเขาเลิกรากัน โดยที่ไม่ตามมาคอยพูดจาดูถูกทำให้เขาต้องอับอาย เขาก็จะคิดเสียว่ามันเป็นความผิดของเขาเอง ที่หน้ามืดตามัวหลงงมงายไปกับความรักโง่ๆ จนทำให้มองสันดานที่แท้จริงของคนอย่างเธอไม่ออก และเขาจะคิดเสียว่าอย่างน้อยฮูซู่ฮุ่ยก็ถือว่าเป็นคนที่เขาเคยรักและจะไม่โกรธแค้นเธอมากขนาดนี้
แต่ตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฮูซูฮุ่ยจะไม่ถือว่าเป็นชื่อของคนที่เขาเคยชอบอีกต่อไป
หลังจากหลายปีที่ผ่านมา จี้เฟิงพยายามพัฒนาตัวเองให้มีจิตใจที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอารมณ์โกรธที่ต้องการจะแก้แค้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากในตอนนี้ เขาได้จัดให้ ฮูซู่ฮุ่ยนั้นอยู่ในบัญชีดำประเภทศัตรูที่รอการแก้แค้นไปเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่ฝืนตัวเองเพื่อทำตัวสุภาพกับคนประเภทนี้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะคำพูดดูถูกเหยียดหยามและความทระนงตนอันแสนเย่อหยิ่งของพี่สาวและพี่เขยของเธอ มันทำให้จี้เฟิงจำได้อย่างฝังใจ
ด้วยเรื่องราวที่น่าโมโหเหล่านี้ จี้เฟิงจึงใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่เหลือมาขายผักอย่างจริงจังมากขึ้น เขาช่วยแม่ขายผักด้วยความกระตือรือร้น สีหน้าที่ยิ้มแย้มและสดใสตะโกนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาริมถนน ลูกค้าหลายคนไม่ได้ต้องการที่จะซื้อผัก แต่เมื่อเห็นการตะโกนเรียกอย่างขยันขันแข็งของจี้เฟิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแวะอุดหนุน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของจี้เฟิง การค้าขายของเขาและแม่จึงดีขึ้นอย่างมาก
เดิมทีด้วยความแข็งแรงของเซียวซูเหม่ยกับสามล้อถีบคู่ใจของเธอที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงขนผักได้อย่างมากก็ไม่เกินครั้งละสองหรือสามร้อยกิโลกรัม เพราะมันเป็นเรื่องยากมากที่ผู้หญิงอย่างเธอจะขี่ไหว
แต่ด้วยความช่วยเหลือของจี้เฟิงตลอดยี่สิบห้าวันของวันหยุดฤดูหนาว รถสามล้อถีบคันนี้ได้บรรทุกผักที่มีน้ำหนักมากถึงห้าหกร้อยกิโลกรัมในทุกๆวัน จนล่าสุดมันเริ่มที่จะส่งเสียงดังออกมาแล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีเวลาเพียงยี่สิบห้าวัน แต่เนื่องจากจำนวนผักที่พวกเขารับมานั้นมากมายบวกกับความกระตือรือร้นในการตะโกนเรียกลูกค้าของจี้เฟิง ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปด้วย ทำให้ธุรกิจการค้าผักของพวกเขาในฤดูหนาวนี้ดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาดใจ
และเนื่องจากใกล้จะถึงวันปีใหม่ ทำให้ผักมีราคาแพงมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ช่วงหลังเขาสามารถขายผักได้วันนึงไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวน นั่นหมายความว่าก่อนปีใหม่เพียงสิบวัน จี้เฟิงช่วยแม่ของเขาขายผักได้เงินมาถึงสองพันหยวน!
สำหรับเซียวซูเหม่ย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน เพราะโดยปกติแล้ว เธอจะทำเงินได้เพียง 30 หรือ 40 หยวนต่อวันเท่านั้นเวลาที่เธอขายผัก ซึ่งนั่นก็ถือว่าค่อนข้างเยอะมากแล้ว เมื่อรวมระยะเวลาหนึ่งเดือนก็จะเป็นเงินประมาณหนึ่งพันหยวน อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงสามารถหารายได้มากกว่าที่เธอใช้เวลาหาถึงสองเดือนภายในระยะเวลาแค่สิบวัน แล้วสิ่งนี้จะไม่ทำให้เซียวซูเหม่ยรู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร?
แน่นอนว่าช่วงที่ขายดีที่สุดก็คือช่วง สิบวันก่อนถึงวันปีใหม่(ตรุษจีน) เนื่องจากทุกคนต่างก็กำลังเตรียมสินค้าไว้ขายในช่วงปีใหม่ รวมถึงจะมีแขกและเครือญาติมาเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดังนั้นจึงมีการจับจ่ายซื้อของมากขึ้นกว่าปกติ
และหลังจากวันปีใหม่จบลง การค้าขายของพวกเขาก็จะต้องซบเซาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ได้ซื้อผักไว้ก่อนวันปีใหม่เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันหลังปีใหม่ทุกคนก็จะยังคงยุ่งอยู่กับการเยี่ยมญาติและเพื่อนๆ ของพวกเขา จึงมีคนออกมาจับจ่ายใช้สอยหรือค้าขายน้อยมาก
ดังนั้นเมื่อจี้เฟิงและแม่ของเขากำลังนั่งทำเกี๊ยวอยู่ที่บ้านในวันส่งท้ายปีเก่า เซียวซูเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “เฟิงเอ๋อ ลูกแม่โตขึ้นมากแล้วจริงๆ!”
จี้เฟิงยิ้มตอบเล็กน้อยและพูดว่า “แน่นอน ผมโตแล้ว และในอนาคตเมื่อผมเรียนจบ ผมจะหาเงินให้ได้เยอะๆ หลังจากนั้นสิ่งที่แม่ต้องทำก็แค่พักผ่อนอยู่กับบ้านหรือวันไหนเบื่อๆ ก็ออกไปเดินเที่ยวเล่นคุยกันเพื่อนบ้าน ผมจะเป็นคนดูแลรับผิดชอบทุกอย่างภายในบ้านเอง!”
“เจ้าเด็กคนนี้! เห็นแม่ของตัวเองอายุเท่าไหร่กัน เจ็ดสิบแปดสิบหรือยังไง? ที่เดินไม่ไหวจนต้องพักผ่อนอยู่กับบ้านไม่ทำการทำงานน่ะหืม?!” ถึงเซียวซูเหม่ยจะพูดทำนองหยอกล้อลูกชายของเธอไปแบบนั้น แต่เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจและมีความสุขที่ลูกชายของเธอโตมาเป็นเด็กที่มีความกตัญญูรู้คุณ ความสุขของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็มีเพียงเท่านี้จริงๆ
“โธ่แม่ ผมไม่ได้หมายถึงว่าแม่แก่เหมือนคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบเสียหน่อย แต่แม่มักจะไม่ค่อยแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ ถ้าแม่ลุกมาแต่งสวยซะหน่อยคงดูเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ยิ่งถ้าเรายืนอยู่ด้วยกัน คนอื่นคงจะคิดว่าแม่เป็นพี่สาวมากกว่าเป็นแม่ของผมซะอีก ฮิฮิ!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวเถอะ เจ้าลูกบ้านี่ ยังจะกล้ามาทำเป็นหัวเราะเยาะแม่!” เซียวซูเหม่ยจ้องมองเขาอย่างโกรธเคืองและหลังจากนั้นเธอก็หัวเราะตามเขา
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มที่มีความสุขของแม่ จี้เฟิงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจและมีความสุขตามไปด้วย เขาอยากให้แม่ของเขามีช่วงเวลาแห่งความสุขแบบนี้ไปตลอด เพราะตั้งแต่ที่แม่ของเขาอาศัยอยู่กับตาและยายในสมัยก่อนแม่ต้องหลั่งน้ำตาจากการดูถูกเหยียดหยามจากพวกญาติๆ ตลอดเวลา
และต่อมาถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะย้ายออกจากบ้านที่ชนบทมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาสองคน แต่แม่ก็ต้องพบกับความลำบากมาโดยตลอด ไม่มีญาติหรือเพื่อนไว้ให้ไปมาหาสู่พูดคุยในช่วงวันตรุษจีนเหมือนคนอื่นๆ เลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นในช่วงของเทศกาลตรุษจีนแบบนี้ แม่ของเขาจึงมีความเศร้าใจเป็นพิเศษเหมือนกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา
แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแม่ของเขาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสออกมาบ้างในช่วงปีใหม่ จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบตั้งเป้าในใจว่า ไม่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะต้องทำให้แม่ของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น จนทำให้ไอ้พวกที่ชอบทำตัวเหนือคนอื่นและคอยดูถูกแม่ของเขา ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาหาแม่ของเขาเองให้ได้!
โดยปกติแล้ว จี้เฟิงไม่ใช่คนที่จะทำตัวหยิ่งผยองเหนือกว่าคนอื่นหรือทำตัวเป็นคนหัวสูง แต่ในบางกรณีเขาอาจจะต้องลองทำแบบนั้นดูบ้าง!
………จบบทที่ 79~