บทที่ 87 ตระกูลจี้
ระหว่างรับประทานอาหารการแสดงออกที่เคร่งขรึมบนใบหน้าของถงไค่เต๋อหายไปและถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อในครอบครัวอื่นๆ เพียงแต่ดูมีสง่าราศีมากกว่าคนทั่วไป
“พ่อหนุ่ม กินเยอะๆนะ!” ถงไค่เต๋อพูดกับจี้เฟิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับคุณลุง” จี้เฟิงยิ้มตอบ
“ชื่อของเธอคือ… จี้เฟิง ใช่มั้ย? เป็นเด็กที่ไม่เลวเลย!” ถงไค่เต๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่จี้เฟิง แต่ยังมีสองพี่น้องจางเล่ยและถงเล่ย ที่กำลังงุนงง พ่อรู้ได้อย่างไร ว่าจี้เฟิงเป็นคนยังไง?
“คุณลุงชมเกินไปแล้ว!” แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร เขาเพียงแค่กล่าวอย่างถ่อมตัว
ถงไค่เต๋อมองเขาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นเขาก็ยิ้มและถามว่า “จี้เฟิง เนื่องจากเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของ เสี่ยวเล่ยและเล่ยเล่ย ฉันจะคิดว่าเธอก็เหมือนลูกเหมือนหลานของฉันคนหนึ่ง ฉันในฐานะคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและเป็นพ่อคน ฉันอยากจะขอพูดเตือนเธอสักสองสามคำ ไม่รู้ว่าเธอพอจะรับฟังสักหน่อยได้มั้ย?”
ถงเล่ยและจางเล่ย ต่างประหลาดใจมาก พ่อของเขาไม่เคยพูดคุยกับใครอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองเช่นนี้ หรือหน้าตาของจี้เฟิงนั้นดูซื่อบื้อเกินไป?
จี้เฟิงก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง เขายิ้มและพยักหน้า “ได้ครับ คุณลุงบอกผมมาได้เลย”
“การที่คนหนุ่มสาวมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมันก็เป็นเรื่องปกติ และการตกหลุมรักมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์” ทันทีที่ถงไค่เต่อพูดขึ้น หัวใจของจี้เฟิงก็เหมือนจะหล่นไปที่ตาตุ่ม “เพียงแค่ทุกอย่างต้องอยู่ในความเหมาะสมพอดี แล้วที่สำคัญเธอก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นถึงความจริงใจของเธอ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องคอยตรวจสอบทุกเรื่องเกี่ยวกับเธอและเล่ยเล่ย แต่ในฐานะพ่อ ฉันไม่ต้องการเห็นลูกสาวของฉันต้องมีความทุกข์เพราะเรื่องนี้ เธอเข้าใจใช่ไหม?”
ก่อนที่จี้เฟิงจะพูดตอบอะไรออกไป สีหน้าของถงเล่ยที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด เธอรีบชิงพูดขึ้นด้วยระดับเสียงที่ต่ำจนเหมือนกระซิบ “พ่อ! พ่อพูดเรื่องอะไรของพ่อเนี่ย!”
จี้เฟิงแอบประหลาดใจ เพราะตั้งแต่ที่ถงไค่เต๋อเดินเข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ เขานั้นเพิ่งจะพูดกับตัวเขาไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ แล้วเขาจะมองเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวของเขาเองกับถงเล่ยได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าเขาจะยังรู้สึกงงๆ อยู่ แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณลุงโปรดมั่นใจ ผมจะไม่มีวันทำให้ถงเล่ยต้องเสียใจ!”
ถงไค่เต๋อพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ดี! ถือว่าเป็นคำสัญญาของลูกผู้ชาย อย่างน้อยฉันก็จะได้สบายใจ ต่อจากนี้เธอก็มากินข้าวหรือแวะมาเที่ยวเล่นที่บ้านฉันได้ตลอดเลยนะ ให้คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอ!”
ในเวลานี้แม้แต่นางถงภรรยาของถงไค่เต๋อยังมองเขาด้วยความประหลาดใจ ไม่ว่าเพื่อนเก่าที่มีความสัมพันธ์อันดีแค่ไหนมาเยี่ยมที่บ้าน แต่สามีของเธอก็ไม่เคยแสดงความเป็นกันเองขนาดนี้ แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
แม้ว่านางถงจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อสามีและลูกๆ ที่กำลังทานข้าวกันอย่างมีความสุข เธอก็มีความสุขไปด้วย
จะเห็นได้ชัดว่าถงไค่เต๋อรักลูกๆของเขามากเพียงใด ด้วยความที่เขาเป็นพ่อที่เจ้าระเบียบและเข้มงวด ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มให้กับลูกๆ แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะทำให้ลูกๆ นั้นเหลิงหรือได้ใจจนเกินไป แต่ความรักที่เขามีให้นั้นออกมันมาจากหัวใจอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถงเล่ย ลูกสาวคนเล็กของเขา ถงไค่เต๋อรักเธอดั่งแก้วตาดวงใจ เขาไม่อยากให้เธอเลือกเดินเส้นทางที่ผิดจนพบกับความเสียใจ
ในขณะที่จี้เฟิงกินข้าวเกือบจะเสร็จ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเท้าของเขาถูกเตะ และเขาก็เข้าใจในทันทีว่าเพื่อนซี้ของเขา จางเล่ยได้ส่งสัญญาณผ่านการเตะที่ขาของเขา เพื่อบอกให้เขานั้นช่วยพูดขออนุญาตถงไค่เต๋อเรื่องที่จะไปเจียงโจว
จี้เฟิงแกล้งทำเป็นไม่สนใจและก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป พร้อมกับแอบขำอยู่ในใจ “เรื่องอะไรฉันจะต้องยอมโดนด่าเพราะนาย!”
แน่นอนว่าเมื่อเห็นจี้เฟิงไม่ตอบสนอง จางเล่ยจึงเตะขาจี้เฟิงอีกสองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากจี้เฟิง ตอนนี้จางเล่ยเริ่มใจคอไม่ดี ถ้าตาแก่ของเขากินข้าวเสร็จแล้วกลับไปทำงานต่อ เขาคงไม่กล้าไปรบกวนและเขาจะหมดโอกาสที่จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“จี้เฟิงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่ เธอมีแผนจะทำอะไรต่อหรือเปล่า?” จู่ๆ ถงไค่เต๋อก็ถามขึ้น
จี้เฟิงยิ้มและตอบว่า “ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เบื้องต้นผมวางแผนไว้ ว่าจะไปสำรวจดูอะไรนิดหน่อยที่เจียงโจวก่อนน่ะครับ และว่าจะลองหางานพาร์ทไทม์ทำดูในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ไปด้วยเลย!”
“เจียงโจว? เธอควรไปหยานจิง!” ถงไค่เต๋อชะงัก เขารีบหันหน้าไปทางลูกสาวและเขาก็เข้าใจในทันทีว่าเป็นเพราะอะไร
“ทำไมคุณลุงถึงบอกว่าผมควรจะไปหยานจิง?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก
“อ้อ! ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ฉันคิดว่า หยานจิงเป็นที่ที่บรรยากาศดี แถมยังเป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับการเมือง ถ้าอยากจะหางานดีๆทำ การไปหยานจิงมันเลยน่าจะดีกว่า!” ถงไค่เต๋อโบกมือและพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้อธิบายอะไรมาก
จี้เฟิงรู้สึกแปลกเล็กน้อยตั้งแต่ที่เขาพบกับถงไค่เต๋อ แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร และตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ผงกศีรษะ
“ในเมื่อเธอจะไปเจียงโจว ก็พาเสี่ยวเล่ยไปเป็นเพื่อนด้วยสิ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันและกันได้!” ถงไค่เต๋อยิ้ม
จางเล่ยสะดุ้ง เขาดีใจจนออกนอกหน้าขึ้นมาทันที “พ่อ นี่พ่ออนุญาตให้ผมออกไปข้างนอกได้แล้วเหรอ!”
“ลูกก็โตพอที่จะไปไหนมาไหนและตัดสินใจด้วยตัวเองได้แล้ว!” ถงไค่เต๋อยิ้ม
“ท่านพ่อคิดถูกแล้วขอรับ ท่านพ่อของผมนี่ฉลาดหลักแหลมและยอดเยี่ยมที่สุด ฮ่าฮ่า!” จางเล่ยหัวเราะอย่างมีความสุข
หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วถงไค่เต๋อ ก็กลับไปจัดการงานที่เหลือต่อ ส่วนนางถงหลังจากเก็บกวาดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ตามถงไค่เต๋อเข้าไปในห้องทำงาน
จางเล่ยผู้ที่กำลังหัวเราะอย่างมีชัยชนะ ถูกถงเล่ยและจี้เฟิงมองบนใส่ในเวลาเดียวกัน
“ถงเล่ย บ่ายนี้เธอสนใจที่จะออกไปเดินเล่นกับฉันซักหน่อยใหม่?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“หืม?.. เอาสิ!” ถงเล่ยพยักหน้าอย่างอ่อนหวาน
จางเล่ยยิ้มแซว “เอาเลย ตามสบายเลย ไม่ต้องชวนฉันนะ ฉันไม่อยากไปเป็น กขค หรอก!”
……….
ในขณะนั้นได้มีการสนทนาระหว่างคนสองคนภายในห้องทำงาน
“ตาเฒ่า วันนี้คุณคิดยังไงถึงได้คุยเรื่องแฟนกับเล่ยเล่ย มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอสำหรับลูกสาวเรา แล้วถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ท่านจะว่ายังไง?” นางถงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความกังวลใจ
ถงไค่เต๋อส่ายหัวเล็กน้อย เขายิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงพ่อจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน!”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น?” นางถงถามด้วยความแปลกใจ “ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดนั้น แต่พวกลุงๆ ที่บ้านก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆเลย โดยเฉพาะถ้าครอบครัวของจี้เฟิงเป็นแค่ครอบครัวคนธรรมดา ไม่มีตำแหน่งหรือหน้าตาในสังคมที่ดีพอ ฉันกลัวว่าจี้เฟิงอาจจะโดนดูถูกได้”
“จากครอบครัวธรรมดา?” ถงไค่เต๋อส่ายหัวและยิ้ม “ที่รักคุณไม่สังเกตหรือว่า จี้เฟิงคนนี้เขามีลักษณะรูปร่างหน้าตาเหมือนใคร?”
“รูปร่างหน้าตาเหมือนใคร?…” นางถงขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามอย่างระมัดระวัง “พอคุณพูดขึ้นมาแบบนี้ ฉันก็เริ่มรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ว่าใครคนไหนที่ทำให้คุณสามารถจดจำได้เป็นพิเศษขนาดนี้ ?”
“ถ้าอย่างนั้นคุณลองคิดดูนะว่า นามสกุลจี้เช่นเดียวกับของเด็กคนนี้ที่คุณรู้จักมีกี่คนกัน” ถงไค่เต๋อยิ้ม
เมื่อฟังคำใบ้ของสามี นางถงถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจในทันที “ตระกูลจี้… ที่รัก! อย่านอกนะว่า เด็กจี้เฟิงคนนี้เป็นคนของตระกูลจี้แห่งหยานจิง?!”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก” ถงไค่เต๋อกล่าว “นามสกุลจี้ของเด็กจี้เฟิงคนนี้ ต้องเป็นนามสกุลเดียวกันกับเพื่อนเก่าของผมคนนั้นอย่างแน่นอน มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อจริงๆ!”
“แล้วถ้าหากเขาเป็นเด็กในตระกูลจี้จริงๆ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” นางถงถามอย่างสงสัย
ถงไค่เต๋อยิ้มก่อนที่จะพูดว่า “คุณไม่เคยได้ยินเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วเหรอ ที่ลูกชายคนโตของตระกูลจี้ กำลังจะแต่งงาน แต่จู่ๆ เจ้าสาวได้หายตัวไปในวันก่อนวันแต่งงาน”
“ฉันพอจะนึกออกแล้ว ในตอนนั้นเรื่องนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญในแวดวงธุรกิจเลยทีเดียว ว่ากันว่าลูกชายคนโตถูกจับแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ระหว่างสองครอบครัวตั้งแต่เขายังเด็ก แล้วสุดท้ายพวกเขาก็เลิกรากันไป แต่พอเขาจะแต่งงานใหม่ ภรรยาเก่าของเขาก็มาสร้างปัญหาจนทำให้ว่าที่เจ้าสาวเกิดความอับอายจนวันต่อมาเธอได้หายตัวไป แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”
นางถงคิดอยู่ครูหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “หรือที่คุณพูดนั้น จะหมายถึงเด็กจี้เฟิงที่มาบ้านเราตอนนี้เป็นคนคนเดียวกันกับลูกของลูกชายคนโตแห่งตระกูลจี้งั้นเหรอ?” สีหน้าของนางถงเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ภูมิหลังของเด็กจี้เฟิงคนนี้ก็ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!”
“ถูกต้อง ความยิ่งใหญ่ของตระกูลจี้นั้นเปรียบได้กับท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และนับวันอำนาจของพวกเขาก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ตระกูลถงของเราก็ยังไม่อาจเทียบได้ แล้วถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้ คุณคิดว่าพอบรรดาญาติๆ ในตระกูลเราได้รู้ว่า เล่ยเล่ยนั้นมีใจและคบหากับจี้เฟิง คุณว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือเปล่าล่ะ? ฮ่าฮ่าฮ่า~!” ถงไค่เต๋อหัวเราะด้วยความพอใจ
“พวกเขาต้องไม่คัดค้านอย่างแน่นอน!” นางถงพยักหน้าทันที แต่หลังจากนั้นเธอก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าอันเป็นกังวล “แล้วในเมื่อจี้เฟิงมาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเขาปฏิบัติกับเล่ยเล่ยของเราไม่ดีล่ะ?”
“ผมคิดว่าจนถึงตอนนี้ จี้เฟิงยังไม่รู้ต้นกำเนิดของตัวเขาเอง!” ถงไค่เต๋อส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า
“จากสายตาการมองคนของผม เด็กจี้เฟิงคนนี้เป็นคนสุภาพ พูดจาชัดถ้อยชัดคำไม่โลเล มีความสม่ำเสมอและดูน่าจะเป็นคนที่ขยันขันแข็ง แล้วผู้ชายแบบนี้จะปฏิบัติกับเล่ยเล่ยของเราไม่ดีได้อย่างไร?”
นางถงพยักหน้า และกล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ คุณต้องการที่จะบอกเรื่องนี้กับลูกชายคนโตของตระกูลจี้หรือเปล่า คุณกับเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาหลายปี”
“อืม.. ผมคงต้องพูดคุยเรื่องนี้กับเขาสักหน่อยแล้วล่ะ” ถงไค่เต๋อพยักหน้า “เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าลูกชายคนโตแห่งตระกูลจี้ เขาจะยังตามหาเจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาในตอนนั้น และถ้าเขาได้รู้ว่าข่าวว่าเขานั้นมีลูกชายกับเจ้าสาวของเขา ไม่รู้ว่าเขาจะมีความสุขมากขนาดไหน และยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจี้ และตระกูลถง อย่างแน่นอน!”
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกไปที่หมายเลขของ… หยานจิง
………จบบทที่ 87~