บทที่ 94 กระชับความสัมพันธ์
จี้เฟิงตัดสินใจไปเจียงโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพ่อ เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไปเจียงโจว!
และอีกเหตุผลหนึ่งเจียงโจวยังเป็นสถานที่ที่ถงเล่ยต้องการจะไป และแน่นอนว่าจี้เฟิงจะไม่ละทิ้งถงเล่ยเพื่อไปหยานจิงเพียงลำพังอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าที่หยานจิงจะมีญาติพี่น้องของเขามากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยกันมาก่อนและที่สำคัญจี้เฟิงไม่ต้องการอยู่โดยอิทธิพลของใคร แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นพ่อของเขาเองก็ตาม!
แต่จี้เจิ้นหัวก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ทีแรกจี้เจิ้นหัวยังคงพอใจมากที่จี้เฟิงมีความคิดที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง แต่หลังจากนั้นจี้เฟิงก็ไม่เคยยอมรับการช่วยเหลือหรือการจัดเตรียมใดๆ จากเขาเลย แต่เมื่อนึกถึงระยะห่างที่เป็นเวลากว่าสิบแปดปี เขาจึงเข้าใจได้ในระดับหนึ่งและเขาก็ไม่ต้องการมีปัญหากับลูกและภรรยาของเขาจนอาจทำให้ต้องห่างเหินกันไปกว่านี้ ดังนั้นจี้เจิ้นหัวจึงยอมผ่อนปรนไม่บังคับให้จี้เฟิงทำตามความต้องการของเขา
อย่างไรก็ตามการที่เขาไม่บังคับไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยปละละเลย โดยไม่สนใจอะไร เพราะถ้าจี้เฟิงไปเรียนมหาวิทยาลัยที่หยานจิงอย่างน้อยก็ยังอยู่ภายใต้สายตาของครอบครัว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับจี้เฟิง เขาจะสามารถรู้ได้ตลอดเวลา และด้วยเหตุผลนี้จี้เฟิงจะไม่มีทางได้รับอันตรายใดๆ
หลังจากที่ไม่ได้พบกับมาสิบแปดปี จี้เจิ้นหัวไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาต้องพบกับความทุกข์ยากอะไรอีก
อย่างไรก็ตามหากจี้เฟิงไปเรียนที่เจียงโจว ก็จะอยู่ห่างจากอำนาจของตระกูลออกไปเล็กน้อย ถึงแม้ตระกูลจี้จะยังพอมีอำนาจในเจียงโจวอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนกับอยู่ภายในประตูบ้านของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย เกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ ในกรณีที่อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับจี้เฟิงที่นั่น อย่าว่าแต่ตัวจี้เจิ้นหัวจะไม่ให้อภัยกับตัวเองเลย เพราะแม้แต่พ่อและแม่ของเขาเองก็คงไม่ให้อภัยเขาเช่นกัน!
“ไม่!”
จี้เจิ้นหัวพูดช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ซึ่งเพียงแค่คำพูดสั้นๆ ก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้โดยไม่รู้ตัว
เขามองไปที่จี้เฟิง “เฟิงเอ๋อ ตราบใดที่ลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่หยานจิง ไม่ว่าลูกจะเลือกเรียนที่ไหนก็ตาม พ่อจะไม่บังคับหรือไปยุ่งอะไรกับลูกอีกเลย”
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “พ่อจะทิ้งผมอีกแล้วเหรอ ทั้งๆที่เราเพิ่งจะเจอกัน!”
“เพี๊ยะ!!”
เมื่อจี้เฟิงพูดจบเขาก็ถูกตบ แต่คนที่ตบเขากลับเป็นเซียวซูเหม่ย “เด็กคนนี้! พูดกับพ่อแบบนี้ได้อย่างไร พ่อของลูกก็แค่ต้องการให้ลูกไปเรียนที่หยานจิงเท่านั้น!”
จี้เฟิงถึงกับกลัวจนหัวหด เวลาแม่ของเขาโกรธน่ากลัวที่สุดแล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก แต่สายตาของเขายังคงมองไปที่จี้เจิ้นผิง อาของเขาที่กำลังแอบดูอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ ความหมายจากสายตาของจี้เฟิงดูเหมือนจะพูดว่า “ผมรู้ว่าอากำลังยิ้ม แต่ได้โปรดช่วยผมด้วย!”
จี้เจิ้นผิงมองกลับด้วยที่ต้องการจะสื่อว่า “เด็กน้อย ทำไมฉันต้องช่วยเธอ?”
จี้เฟิงยิ้มอย่างชั่วร้าย “อย่าลืมว่าคุณเคยพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพ่อของผมก่อนหน้านี้ ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทางการทหารของเขตหมางซือควรเป็นของอา…”
จี้เจิ้นผิงพ่ายแพ้ในทันทีและมองไปที่จี้เฟิงอย่างขมขื่น “เจ้าเด็กร้ายกาจ!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อรู้ว่าแผนการของเขาสำเร็จแล้ว
หลังจากทั้งสองคนสบตาเป็นการสื่อสารกันอยู่พักนึงจนเสร็จเรียบร้อย จี้เจิ้นผิงก็กระแอมไอเบาๆ “คือ..พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก “เสี่ยวเฟิงก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าเขาจะไปเรียนที่เจียงโจว ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องเป็นกังวล พี่สะใภ้จำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ไหม?”
“เมื่อคืน?” เซียวซูเหม่ยสะดุ้งเล็กน้อย “คุณหมายถึงที่เฟิงเอ๋อจัดการกับคุณน่ะเหรอ?”
“อะไรนะเฟิงเอ๋อจัดการเจิ้นผิง?” ดูเหมือนว่าจี้เจิ้นหัวจะได้ยินบางอย่างที่เหลือเชื่อ แม้แต่ใบหน้าที่สงบนิ่งของเขายังอดไม่ได้ที่แสดงความประหลาดใจออกมา เพราะเขารู้ถึงฝีมือของจี้เจิ้นผิงดี
ปีที่ลูกชายคนที่สาม จี้เจิ้นผิง ได้เกิดมาในเป็นปีที่ครอบครัวได้รับการฟื้นฟูแล้ว เพราะฉะนั้นสภาพแวดล้อมการเติบโตของจี้เจิ้นผิงจึงดีมาก แต่มันก็ทำให้เขามีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
ด้วยความโกรธของชายชราพ่อของพวกเขาจึงได้ส่งลูกชายคนที่สามไปยังกองทัพโดยตรงและมันยังเป็นกองกำลังพิเศษเพื่อให้เขาได้ออกกำลังกายฝึกฝนระเบียบวินัย ถึงแม้แม่ของเขาจะทุกข์ใจจนหลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
อย่างไรก็ตามเขาลบคำสบประมาทของชายชราพ่อของเขา โดยผ่านการแข่งขันการรับสมัครทหารใหม่ ได้ผลการทดสอบมาเป็นอับดับหนึ่งในปีแรกจากนั้นเขาก็เข้ารับฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือการป้องกันตัวจากค่ายทหาร เขาได้ประโยชน์มากมายจากที่นั่นและ ในปีนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เขาได้เรียนรู้ประโยชน์หลายอย่างของการเป็นทหารและข้อดีของการต่อสู้
ดังนั้นลูกชายคนที่สามคนนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นทหารพิเศษที่แท้จริง ออร่าแห่งการสังหารบนตัวเขาก็มากเพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะมองเขาตรงๆ เพราะฉะนั้นแล้วเด็กหนุ่มอย่างจี้เฟิงจะจัดการลูกชายคนที่สามแห่งตระกูลจี้คนนี้ได้อย่างไร?
“น้องสามนายโดนเสี่ยวเฟิงซื้อตัวไปแล้วงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า!” จี้เจิ้นหัวถามด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะยังคงประหลาดใจอยู่ และก็เชื่อเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่สำคัญน้องสามไม่กล้าที่จะโกหกต่อหน้าเขาอย่างแน่นอน!
จี้เจิ้นผิงยิ้มอย่างขมขื่นทันที “พี่ใหญ่ถึงฉันจะถูกซื้อตัว แต่พี่สะใภ้ของฉันก็ไม่สามารถซื้อได้แน่นอน ถึงแม้ฉันจะแพ้ให้กับกลอุบายบางอย่างในเรื่องนี้ แต่เมื่อวานนี้ฉันสาบานได้เลยว่าฉันพ่ายแพ้เจ้าเด็กร้ายกาจคนนี้จริงๆ ฉันสามารถรับประกันได้เลยว่า ฝีมือของเขาไม่แพ้พวกเราในหน่วย เรดแอร์โร่อย่างแน่นอน!”
ในตอนนี้แม้แต่เซียวซูเหม่ยก็ยังรู้สึกประหลาดใจ “เฟิงเอ๋อ ลูกไปเรียนต่อสู้ที่ไหน?”
จี้เจิ้นหัวก็มองไปที่จี้เฟิงเพื่อรอคำตอบเช่นเดียวกัน
จี้เฟิงยิ้ม “ผมบอกอาสามของผมไปแล้วเมื่อวานนี้ ว่าผมชอบดูพวกหนังแนวต่อสู้ ผมเลยเรียนรู้มันด้วยตัวเอง!”
เกี่ยวกับระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง จี้เฟิงไม่มีความคิดที่จะบอกใครอย่างแน่นอน เพราะเขารู้ดีว่า ทันทีที่เรื่องนี้รั่วไหลออกไป ร่างกายของเขาจะต้องถูกจับไปชำแหละทดลองอย่างแน่นอน!
“เจ้าเด็กตัวเหม็นหัวรั้นมานี่ซิ!” จี้เจิ้นผิงด่าด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว จากนั้นก็หันไปมองพี่ชายคนโตของเขา “พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องฝีมือของเจ้าเด็กคนนี้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นพี่รองก็อยู่ในเจียงโจวเช่นกัน แบบนี้พี่ใหญ่ยังกลัวเจ้าตัวเล็กนี่จะไม่ปลอดภัยอีกงั้นเหรอ?”
จี้เจิ้นหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “เฟิงเอ๋อ ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้พ่อก็จะไม่ห้ามลูกอีกต่อไป แต่ลูกต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าพ่อจะไม่ยอมให้ใครมารังแกลูกอย่างเด็ดขาด แต่ลูกก็ห้ามใช้อำนาจของตระกูลในการรังแกผู้อื่นเช่นกันไม่เช่นนั้นพ่อจะไม่มีวันให้อภัยลูกเลย หรือแม้กระทั่งคุณปู่ของลูกก็จะไม่ปล่อยลูกไปง่ายๆ เช่นกัน
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่มีพ่อเขาก็ยังผ่านมันมาได้ เพียงแค่ว่าตอนนั้นเขามักจะถูกรังแกอยู่บ่อยๆ เท่านั้นเอง
“เออ ใช่!”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็นึกอะไรบางอย่างออก “พ่อเรื่องที่ถงไค่เต๋อเป็นคนโทรบอกพ่อ เราจะไม่ขอบคุณเขาหน่อยเหรอ ผมคิดว่าเราควรเชิญเขามาทานอาหารค่ำเป็นการขอบคุณนะ พ่อว่าดีมั้ยครับ?!”
จี้เจิ้นหัวหันไปมองที่ลูกชายทันที เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหมือนมีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของจี้เฟิง หรือเป็นเพราะว่าเมื่อจี้เฟิงรู้ถึงตัวตนและอำนาจของครอบครัวแล้ว จึงอยากเชิญถงไค่เต๋อมาทานอาหารค่ำเพื่อต้องการให้ช่วยสนับสนุนถงไค่เต๋องั้นหรือ?
อันที่จริงจี้เจิ้นหัวไม่ทราบถึงความต้องการจริงๆ ของจี้เฟิง เขาทำเพียงเพื่ออยากจะให้พ่อและแม่ของเขาได้พบกับถงเล่ยแฟนสาวของเขาเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางของจี้เฟิง ทันใดนั้นจี้เจิ้นผิงก็นึกถึงบางอย่างออกและพูดด้วยรอยยิ้มทันที“
หือ..เสี่ยวเฟิง ฉันเพิ่งเอะใจนึกขึ้นได้ว่าถงไค่เต๋อจะมาพบกับเธอได้อย่างไร ฉันได้ยินมาว่าถงไค่เต๋อนั้นมีลูกชายและลูกสาว เป็นไปได้ไหมว่าเธอสนิทกับลูกๆ ของพวกเขา? ว่าแต่…สนิทกับคนไหนมากกว่ากันล่ะ ลูกชายหรือลูกสาว? ฮ่าฮ่า!”
ทันทีที่จี้เจิ้นผิงพูดจบ จี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยต่างมองหน้ากันและยิ้มออกมาเล็กน้อย เฟิงเอ๋อของพวกเขาเติบโตขึ้นมาก และเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง
“ไม่มีปัญหาเฟิงเอ๋อโทรหาพวกเขาได้เลย และบอกกับพวกเขาว่าพ่อต้องการเชิญพวกเขาไปทานอาหารค่ำ ส่วนสถานที่ให้พวกเขาเลือกได้เลย ลูกคิดว่าอย่างไร?” จี้เจิ้นหัวมีความรักที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกชายคนนี้ แม้ว่าเขาจะมีความสันพันธ์ที่ดีกับถงไค่เต๋อมาก่อน แต่การเชิญทั้งครอบครัวมารับประทานอาหารค่ำค่อนข้างไม่ใช่สไตล์ของเขา แต่เนื่องจากจี้เฟิงเป็นคนเอ่ยปากขอ จี้เจิ้นหัวก็ไม่ติดขัดอะไร
“ขอบคุณครับพ่อ!” จี้เฟิงดีใจมาก
………….
เมื่อถงไค่เต๋อได้ยินสิ่งที่ลูกชายของเขาพูดก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เสี่ยวเล่ย ลูกแน่ใจหรือว่าจี้เฟิงบอกมาว่าพ่อของเขาต้องการเชิญให้ครอบครัวของเราไปทานอาหารค่ำ!”
จางเล่ยที่ตอนนี้รู้เรื่องของทางบ้านจี้เฟิงอย่างไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็เข้าใจได้ทันทีจากสิ่งที่พ่อของเขาแสดงออก
เขาพยักหน้าและพูดว่า “ครับพ่อจี้เฟิงพูดอย่างชัดเจนในโทรศัพท์ พ่อของเขาต้องการเชิญครอบครัวของเราทั้งสี่คนไปทานอาหารค่ำและให้พวกเราตัดสินใจเลือกสถานที่ได้เลย!”
“สี่คน?” ถงไค่เต๋อตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “อ่า.. ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเล่ย ลูกโทรหาผู้จัดการหวู่ของโรงแรมแยงซีในทันทีและขอให้เขาจัดห้องอาหารที่ใหญ่และดีที่สุดไว้… ไม่ดีกว่าฉันจะโทรหาเขาเอง วันนี้ก็อย่าเพิ่งออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะรู้มั้ย!”
จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “พ่อไม่ต้องห่วง ลูกชายของพ่อรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน อีกอย่างผมกับจี้เฟิงก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันไม่ต่างจากพี่น้อง ผมไม่พลาดนัดสำคัญแบบนี้แน่นอน!”
ถงไค่เต๋อจ้องมองไปที่ลูกชาย “ลูกสามารถเป็นเพื่อนกับจี้เฟิงได้ ถือว่านี่เป็นการพิสูจน์ว่าลูกเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์สูงมาก แต่ลูกก็ต้องจำไว้ให้ดีว่าต้องรักษาสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ต่อไป เข้าใจไหม!?”
จางเล่ยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดในใจว่า “พวกเราไม่ใช่คนในระบบเสียหน่อย ทำไมพวกเราต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย นอกจากนี้ฉันรู้ดีว่าจี้เฟิงเป็นคนอย่างไร มันจะไม่เกิดปัญหาระหว่างเราอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีโอกาสที่จะเป็นน้องเขยฉันในอนาคตอีกด้วย”
อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่เขาคิดออกไปมิฉะนั้นเกรงว่า เขาอาจจะถูกถงไค่เต๋อพ่อของเขาจัดการก็เป็นได้
เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของถงไค่เต๋อ จางเล่ยก็รีบพยักหน้าตกลง “พ่อ งั้นผมขอไปดูทีวีก่อนแล้วกัน ถ้าจะไปตอนไหน ก็เรียกผมได้ตลอด!”
เขาวิ่งออกไปทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ถงไค่เต๋อได้พูด
ถงไค่เต๋ออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย “ไอ้ลูกคนนี้นี่มัน…” ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงจะเรียกจางเล่ยกลับมา และให้นั่งคุกเข่าฟังเขาสั่งสอนบทเรียนชุดใหญ่อย่างแน่นอน แต่วันนี้นั้นต่างออกไป ถึงแม้ว่าเขาและจี้เจิ้นหัวจะเป็นเพื่อนเก่าและมีความสัมพันธ์ที่ดีกันในระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ตระกูลถงของเขาก็ต้องพึ่งพาตระกูลจี้ ถึงแม้ทั้งสองตระกูลจะมีความสัมพันธ์ทางด้านมิตรภาพและผลประโยชน์รวมอยู่ในนั้น
แม้ว่าความสัมพันธ์แบบมิตรภาพจะแน่นแฟ้นกว่าความสัมพันธ์แบบมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่มันก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างรอบคอบและสม่ำเสมอ
……จบบทที่ 94~❤️