บทที่ 110 สุนัขรับใช้
เพียงแค่ได้เห็นเขา จี้เฟิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “นักเรียนแนะนําแบบคุณกลายมาเป็นโจรปล้นทรัพย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพ้อเจ้อ!” อู๋จุนเจี๋ยตะคอกอย่างเย็นชา “พวกเรากินข้าวกันอยู่ที่ห้องอาหารข้างๆ และหลังจากที่พวกเรากลับมาจากห้องน้ำปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือของพวกเราได้หายไป ตอนกลับมาก็มีแค่พวกนายเท่านั้นที่อยู่ห้องข้างๆ ถ้าไม่ใช่พวกนายที่เป็นขโมยแล้วจะเป็นใคร?!”
“เหอะๆ” จี้เฟิงหัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดว่า “เป็นถึงนักเรียนดีเด่นที่ถูกแนะนําเข้าสหพันธ์มหาวิทยาลัยแต่ดันทําตัวไร้สมองมาใช้กลอุบายโง่ๆแบบนี้เนี่ยนะ?!”
โทรศัพท์หาย? จี้เฟิงแน่ใจว่าอู๋จุ้นเจี๋ยไม่ได้ทําโทรศัพท์หายจริงๆอย่างแน่นอน แต่เขาต้องการใช้มันเป็นข้ออ้างในการหาอะไรบางอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่จี้เฟิงไม่รู้นั่นก็คือเขาต้องการอะไรกันแน่?
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ แล้วส่งโทรศัพท์คืนมาได้แล้ว แล้วฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะฉันเห็นแก่หญิงสาวที่น่ารักคนนี้ แต่ถ้านายยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์มาซะดีๆ ก็อย่ามาหาว่าฉันใจ ร้ายทีหลังก็แล้วกัน!”
“ปัง!!”
ฮั่นจงวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรงและหันหน้าไปมองทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงประตู เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “อู๋เฉียน นายกําลังทําอะไร?”
เมื่ออู๋จุ้นเจี๋ยได้ยินเช่นนี้เขาถึงกับชะงักอยู่ครู่หนึ่งและหันไปมองลูกพี่ลูกน้องของเขา ด้วยความสงสัยว่าทําไมถึงมีคนที่รู้จักลูกพี่ลูกน้องของเขาอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ด้วย เพราะมันอาจจะทําให้เรื่องนี้ยากขึ้น?
อย่างไรก็ตามเมื่ออู๋จุนเจี้ยเห็นใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องแสดงออกถึงความดูถูกเหยียดหยามเขาก็เข้าใจทันทีว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่ได้ใส่ใจคนคนนี้เลย
“ฮั่นจง นายมีเพื่อนเป็นหัวขโมยตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชายที่ชื่ออู๋เฉียนลูกพี่ลูกน้องของอู๋จุ้นเจี๋ยถามอย่างเย้ยหยัน
่
ทันใดนั้นสีหน้าของฮั่นจงก็ตึงเครียดขึ้น “อู๋เฉียน อย่าคิดว่าจี้ช่าวหยินกําลังถือหางนายอยู่แล้วนายจะมาตะโกนใส่หน้าฉันแบบนี้ได้นะ เอาอํานาจของคนอื่นมาเบ่งจนเคยตัวจนคิดว่าเป็นของตัวเองจริงๆไปแล้วงั้นหรือ? อย่าลืมสิว่านายมันก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของจี้ช่าวหยิน!”
สีหน้าของอู๋เฉียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาหัวเราะเยาะและพูดว่า “นายไม่ต้องมาสนใจว่าฉันเป็นใคร นายสนใจแค่เรื่องของตัวนายเองเถอะ ว่าถ้านายมีความขัดแย้งกับฉันในวันนี้ ครอบครัวของนายจะจัดการกับนายยังไง เพราะคนที่เดือดร้อนคงจะไม่ใช่แค่นายคนเดียวนะนายน้อยฮั่นจง อย่าลืมนึกถึงผลกระทบที่จะมีต่อครอบครัวของนายด้วย เพราะลําพังแค่ฮั่นกรุ๊ปของครอบครัวนายมันไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในสายตาของจี้ช่าวหยินเลยแม้แต่น้อย!”
ใบหน้าของฮั่นจงมืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด ถ้าเขามีปัญหากับแค่อู๋เฉียน คําพูดของเขาก็ยังคงพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่ถ้าเมื่อเปรียบเทียบกับจี้ช่าวหยิน อย่าว่าแต่ความน่าเชื่อถือของคําพูดเลย แกรงว่าโอกาสที่จะได้พูดก็คงจะไม่มีด้วยซ้ำ
ถ้าบอกว่ารุ่นที่สองอย่างเขาร่ำรวยแล้ว แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับตัวจริงอย่างจี้ช่าวหยิน!
ฮั่นจงอาจไม่กลัวจี้ช่าวหยิน เพราะชายหนุ่มทุกคนเมื่อถึงเวลาที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าต่างก็มีศักดิ์ศรีและความหยิ่งทระนงในตนเอง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่มีอํานาจมากแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วการที่ฮั่นจงไม่กลัวนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฮั่นกรุ๊ปไม่กลัว
ฮั่นจงรู้ดีกว่าหากเขาทําให้จี้ช่าวหยินขุ่นเคืองขึ้นมา บริษัทในเครือสั่นกรุ๊ปทั้งหมดจะตกที่นั่งลําบาก ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีข่าวแพร่กระจายออกไปว่าฮั่นกรุ๊ปมีปัญหาขัดแย้งกับช่าวหยินโครงการทั้งหลายของฮั่นกรุ๊ปที่ร่วมมือกับรัฐบาลรวมถึงกลุ่มบริษัทอื่นๆ ต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคงไม่มีใครกล้าร่วมมือกับฮั่นกรุ๊ปและเสี่ยงที่จะมีปัญหากับคนของตระกูลไปด้วยอย่างแน่นอน
เนื่องด้วยเหตุผลเหล่านี้ฮั่นจงจึงไม่สามารถทําตามความรู้สึกของตนเองและเพิกเฉยต่อครอบครัวของเขาได้ เขาจึงทําได้แค่นั่งปิดปากเงียบด้วยใบหน้าที่ทิ้งตึงและมีแววตาแห่งความอัปยศอดสูฉายออกมา
เมื่อจี้เฟิงเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มตึงเครียดขึ้น เขาก็ยิ้มและหันไปถามจางเล่ยด้วยเสียงเบา “เล่ยชื่อตระกูลของนายพอจะมีอํานาจในเจียงโจวบ้างหรือเปล่า?”
จางเล่ยยิ้มยียวน “ถึงต่อให้มีก็คงจะไม่ดีไปกว่าตระกูลของนายแน่นอน!”
จี้เฟิงโบกมือเล็กน้อยเขายิ้มและพูดว่า “พอเถอะ แต่ว่าเรื่องในวันนี้คงต้องลําบากนายแล้วล่ะ!”
จางเลยรู้ทันทีว่าจี้เฟิงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน อันที่จริงจางเลยพอจะเข้าใจเหตุผลของจี้เฟิงเป็นอย่างดี เพราะถ้าหากจี้เฟิงเปิดเผยตัวตนของเขาที่นี่ จางเล่ยกลัวว่านับจากนี้เพื่อนร่วมหอพักหรือเพื่อนคนอื่นๆในอนาคตจะไม่สามารถคบหากับเขาได้เหมือนเพื่อนปกติอีกต่อไป เพราะคงไม่มีใครกล้าคบหาแบบเป็นกันเองกับคนของตระกูลจี้ได้ แต่ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ พวกเขาก็สามารถคบหากันได้เหมือนเพื่อนทั่วไป
เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ที่ใกล้เคียงกับตระกูล และตัวบุคคลยังต้องมีฐานะและสถานะเทียบได้กับจี้เฟิงในตระกูล มิฉะนั้นทุกคนก็จะประหม่าและอาจจะถึงขั้นให้ความเคารพต่อจี้เฟิงเล็กน้อย และถ้าหากการคบหากันระหว่างเพื่อนเป็นไปแบบนี้แล้ว จะให้เรียกว่าเพื่อนอย่างเต็มปากก็คงจะไม่ได้
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการให้เอง!” จางเล่ยยิ้มเล็กน้อย “บังเอิญว่าฉันพอจะมีผู้หลักผู้ใหญ่อาศัยอยู่ในเจียงโจวอยู่เหมือนกัน ฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าให้จางเล่ย พร้อมกับตบมือเล็กๆของลงเล่ยเบาๆเพื่อเป็นการบ อกไม่ให้เธอต้องเป็นกังวล
ถงเล่ยยิ้มหวานและพิงศีรษะของเธอบนไหล่ของจี้เฟิง ตราบใดที่จี้เฟิงอยู่ที่นี่เธอก็ไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เธอไม่รู้สึกกังวลนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่เขาเป็นลูกหลานตระกูลแต่อย่างใด แต่เธอเชื่อว่าแฟนของเธอจะปกป้องเธอได้
หลังจากที่อู๋เฉียนเห็นฮั่นจงนั่งหุบปากเงียบ และก่อนที่เขาจะมีเวลาได้ภูมิใจ เขาก็เห็นจี้เฟิง และจางเล่ยกระซิบและหัวเราะกัน ดูเหมือนกับว่าสองคนนั้นจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา มันจึงทําให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“โอเค! โอเค! พวกนายใจกล้ามาก!” อู๋เฉียนยกนิ้วให้และยิ้มเยาะ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะโทรหาตํารวจเลยแล้วกัน แล้วฉันจะคอยดูว่าเมื่อพวกนายไปอยู่ที่สถานีตํารวจพวกนายยังจะมีอารมณ์ขันแบบนี้อยู่อีกมั้ย!”
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลข “สวัสดี.. ผู้กองหวังเหรอผมเสี่ยวอู๋ ตอนนี้ เราอยู่ที่โรงแรมเหอซุน พอดีว่ามีคนขโมยโทรศัพท์มือถือของพวกเรา แต่เขาปฏิเสธและไม่ยอมคืนโทรศัพท์ และตอนนี้ก็กําลังมีปัญหากันอยู่… คุณจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง? ดีครับ แล้วพวกเราจะรอ!”
หลังจากวางสาย อู๋เฉียนมองไปที่จี้เฟิงและคนอื่นๆ เขาหัวเราะเยาะ “เหอะๆ ฉันโทรหาตํารวจแล้ว ฉันหวังว่าพวกนายจะใจกล้าแบบนี้ไปได้ตลอดนะ ไม่งั้นมันจะไม่สนุก!”
ฮั่นจงพูดเสียงเข้ม “อู๋เฉียนนายทําแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ถ้านายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆ!”
สิ่งที่พูดออกไปเขาเพียงต้องการให้อู๋เฉียนนั้นยอมอ่อนข้อ แต่มันก็สร้างความรู้สึกอับอายให้กับเขามากเช่นกัน อย่างไรก็ตามฮั่นจงไม่สามารถออกตัวปกป้องเพื่อนใหม่ของเขาได้อย่างเต็มที่ด้วยสาเหตุนี้เขาจึงรู้สึกไม่มีหน้าที่จะอยู่ร่วมหอพักกับเพื่อนใหม่เหล่านี้นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาจะได้พบปะหรือสังสรรค์ร่วมกันอีกในอนาคต
ฮั่นจงรู้สึกอับอายในใจ การพูดแบบนี้ก็ไม่ต่างกับเขานั้นยอมลงให้กับอู๋เฉียน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถรักษาหน้าของตัวเองได้ แถมยังลากเพื่อนใหม่ของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่มีหน้าที่จะไปคบหาคลุกคลีกับเพื่อนร่วมหอพักของเขาอีก
ยิ่งไปกว่านั้นในความคิดของฮั่นจง การที่จู่ๆ อู๋เฉียนและอีกสองคนบุกเข้ามาพร้อมกับกล่าวหาว่าเขาและคนอื่นๆขโมยโทรศัพท์มือถือของพวกเขาไป นั่นหมายความว่าพวกอู่เฉียนแค่ต้องการผลประโยชน์อะไรบางอย่าง ดังนั้นฮั่นจงจึงได้ยื่นข้อเสนอออกไป
อย่างไรก็ตามคําตอบของอู๋เฉียนทําให้ฮั่นจงแทบคลั่ง
ทันใดนั้นอู๋เฉียนก็แสดงรอยยิ้มเหยียดหยามและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “จริงๆแล้ว โทรศัพท์มือถือสองสามเครื่องมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรสําหรับฉัน มันก็แค่เศษเงิน อ้อ! แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเงินฉันคงไม่กล้าที่จะไปเปรียบเทียบกับนายน้อยฮั่นจงแห่งฮั่นกรุ๊ปหรอกนะ!”
เมื่อฟังคําพูดถากถางของอู๋เฉียน ฮั่นจงก็พยายามข่มความโกรธแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “อู๋เฉียน นายพูดมาตรงๆเลยดีกว่าว่านายต้องการอะไร เพื่อแลกกับการจบเรื่องนี้ ถ้ามันไม่มากเกินไป ฉันก็รับปากว่าจะทําตามที่นายต้องการ!”
“ฮ่าฮ่า! นายน้อยฮั่นพูดถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะยังใจร้ายไม่ยอมจบเรื่องนี้อีกได้ยังไง?” อู๋เฉียนหัวเราะอย่างภาคภูมิใจและชี้ไปที่อู่คุ้นเจี้ยที่ยืนอยู่ข้างๆเขา “ฉันคงไม่กล้าให้นายน้อยฮั่นจงทําอะไรให้ฉันหรอก ฉันแค่ต้องการให้สาวน้อยคนนั้นอยู่กับลูกพี่ลูกน้องของฉันสักพักหนึ่งจนกว่าเขาจะพอใจ แล้วฉันจะคิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น โอเคมั้ย? มันเป็นเงื่อนไขที่ดีมากๆเลยใช่มั้ยล่ะ!”
“พลั่ก!!”
ทันทีที่เขาพูดจบ อู๋เฉียนก็เห็นเงาดําแวบผ่านหน้าเขา จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บที่จมูกและตามมาด้วยท้องน้อยของเขา
วินาทีต่อมากว่าที่อู๋เฉียนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็กระเด็นลอยไปกระแทกกับกําแพงและร่วงลงไปนอนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้พวกชั่ว! ฉันจะอัดแกให้ตาย!” ตู้เส้าเฟิง ชายผิวดําร่างใหญ่คือผู้ที่ต่อยอู๋เฉียนจนกระเด็น จากนั้นเขาก็คว้าคอเสื้ออู๋จุ้นเจี๋ยและตบเขาอย่างแรง “ไอ้ลูกหมาสองตัว ถ้าพวกแกกล้าพูดเรื่องเลวๆที่นี่อีกฉันจะฆ่าแกด้วยมือของฉันเอง!”
ตู้เส้าเฟิงยืนกัดฟันอดทนมาสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่อู๋เฉียนพูดจาดูถูกฮั่นจง จนกระทั่งขีดจํากัดความอดทนของเขาหมดลงในตอนที่อู๋เฉียนพูดจาเลวทรามกับถงเล่ยแฟนสาวของจี้เฟิง
“ปั๊ก!!”
ตู้เส้าเฟิงเตะเน้นๆ เข้าไปที่ลําตัวของอู๋เฉียนที่ยังนอนกองอยู่กับพื้น ด้วยสีหน้าและท่าทางที่ดูน่ากลัว
“อืม.. เตะได้สวย” จ้าวไคกล่าวอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามฮั่นจงที่เพิ่งหายจากอาการตกตะลึงรีบลุกขึ้นยืนและคว้าตู้เส้าเฟิงเอาไว้ และพูดอย่างร้อนลน “พี่ตู้ ใจเย็นๆก่อน คุณต้องมีสติ!”
“ใจเย็น?”
ตู้เส้าเฟิงย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก “พวกเราถูกพวกนั้นพูดจาเยาะเย้ยถากถาง แถมยังมาหาว่าพวกเราเป็นขโมยอีก นายยังจะบอกให้ฉันใจเย็นอีกงั้นเหรอ? แล้วมีเหตุผลอะไรที่พวกเราต้องทนให้มันทํากับเราแบบนี้?”
ใบหน้าของฮั่นจงในเวลานี้ดูน่าเกลียดปนเปไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาพูดขึ้นว่า “พี่ตู้ นายเป็นคนต่างถิ่น นายไม่เข้าใจสถานการณ์ ถึงแม้อู๋เฉียนคนนี้จะไม่ได้มีความสําคัญอะไร แต่ครอบครัวของเขาอยู่ในเจียงโจว บริษัทและพันธมิตรของครอบครัวเขาต่างมีเส้นสายอยู่เล็กน้อยที่เจียงโจว!”
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นนายยังจะกลัวอะไร!” ตู้เส้าเฟิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
ฮั่นจงยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเรื่องมันมีแค่นั้นจริงๆ ต่อให้อู๋เฉียนมีสิบชีวิตก็คงไม่พอ เพราะเขาคงจะถูกคนที่มีอํานาจใหญ่โตกว่าในเจียงโจวกําจัดไปนานแล้ว เพราะอู๋เฉียนเป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ แต่ประเด็นสําคัญคือเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหาก เขาคือคนที่เราไม่สมควรที่จะไปยั่วโมโหโดยเด็ดขาด!”
จบบทที่ 110-2