บทที่ 113 เผยไต่!!
จี้เฟิงส่ายหัวและกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ว่าพวกเราจะอวดดีหรือหยิ่งผยองแค่ไหน ก็คงสู้พวกคุณสองคนไม่ได้หรอกครับ ผู้กองหวัง เจ้าหน้าที่ตํารวจผู้บังคับใช้กฎหมายขี้เมา และคุณอู่เฉียน นักเลงผู้ยิ่งใหญ่ด้วยบารมีคนอื่นแห่งเจียงโจว การที่พวกคุณกล้าทําร้ายร่างกายประชาชนอย่างเปิดเผยในสถานีตํารวจโดยไม่มีการสอบถามหาความจริง มันช่างน่าทึ่งมากจริงๆ!”
ประโยคที่ดูเหมือนจะเป็นคําชมของจี้เฟิงแฝงไปด้วยความประชดประชันเหน็บแนม ทันใดนั้นใบหน้าของผู้กองหวังก็แดงก่ําไปด้วยความโกรธ “ไอ้เด็กเวร! จะปากดีเกินไปแล้ว แกกล้าพูดจาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตํารวจงั้นหรือ ฉันจะทําให้แกไม่มีโอกาสอ้าปากพูดได้อีก!”
“เดี๋ยวก่อน!” จางเลยยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า “คุณต้องการจะทําร้ายร่างกายประชาชนจริงๆงั้นเหรอ แถมยังเป็นในสถานีตํารวจถิ่นของพวกคุณอีก ยังไงพวกเราก็ไม่สามารถขัดขืนหรือหนีไปไหนได้อยู่แล้ว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุและผลของมัน คุณตํารวจไม่คิดที่จะไต่สวนสอบถามความจริงก่อนสักหน่อยหรือว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ใครถูกหรือผิดกันแน่?!”
“จะเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระกับพวกแกไปทําไม ไม่ว่ายังไงพวกแกก็ต้องเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี!” ก่อนที่ผู้กองหวังจะทันได้พูดอะไร อู่เฉียนที่ยืนอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“มันไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยเหรอ คุณควรจะทําเรื่องนี้ให้มันชัดเจน!” แม้จางเล่ยจะพูดด้วยรอยยิ้ม แต่มีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาของเขา
“ถ้ามันจะไร้เหตุผล แล้วนายจะทําอะไรได้?” อู่เฉียนพูดอย่างเย้ยหยัน
จี้เฟิงในเวลานี้เขาทําเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ ดูจางเล่ยค่อยๆชักจูงผู้กองหวังและอู่เฉียนให้เข้าสู่กับดักทีละขั้นตอน จี้เฟิงรู้ดีว่าจางเล่ยไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้จบอย่างรวดเร็วด้วยการใช้อํานาจที่เหนือกว่า แต่เขาต้องการจะให้ผู้กองหวังและอู่เฉียนเผยไต๋แผนสกปรกของพวกเขาออกมาจนหมดเปลือก และหลังจากนั้นจางเล่ยก็จะทําการตลบหลังโดยมีเรื่องนี้เป็นหลักฐานชั้นดี
ไม่เช่นนั้นเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในโรงแรมเหอซุน ในตอนที่จางเล่ยต่อสายหาน้าสองของเขา เขาสามารถที่จะบอกให้ผู้กองหวังรับสายและจบเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะจี้เฟิงเชื่อว่าผู้กองหวังคงไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะท้าทายน้าคนที่สองของจางเล่ยอย่างแน่นอน
แต่จางเลยไม่ได้ทําแบบนั้น เขาเพียงแค่แจ้งน้าคนที่สองของเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เพราะอันที่จริงเขาต้องการให้น้าสองของเขามาที่สถานีตํารวจโดยจุดประสงค์คือเขาต้องการให้น้าสองของเขาเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ พร้อมทั้งมีหลักฐานในการทําผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งของทั้งผู้กองหวังและอู่เฉียน และเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้กองหวังและอู่เฉียนจะมีคนสนับสนุนที่ใหญ่แค่ไหน มันก็คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะหลุดรอดจากเรื่องนี้ไปได้โดยที่ไม่ได้รับการลงโทษ
หลังจากฟังคําพูดที่หยิ่งผยองของอู่เฉียนแล้วจางเล่ยก็ยิ้มน้อยๆออกมาและพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา “งั้นก็หมายความว่าโทรศัพท์ของนายก็ไม่ได้หายไปไหน แต่พวกนายกุเรื่องโทรศัพท์หายแล้ว มาบอกว่าพวกเราเป็นคนขโมย เพื่อที่จะป้ายความผิดและจะได้หาเรื่องพวกเราได้สะดวกๆงั้นสินะ?
“ฉลาดเหมือนกันนี่!” อู่เฉียนเยาะเย้ย “ใช่! โทรศัพท์ของฉันมันไม่ได้หาย ฉันแค่ต้องการให้พวกนายมีความผิด แต่แล้วยังไง? ในเมื่อรู้ความจริงแบบนี้แล้วพวกนายจะทําอะไรฉันได้?!”
“ฉันคงทําอะไรนายไม่ได้ แต่ที่นี่คือสถานีตํารวจที่เต็มไปด้วยผู้รักษากฎหมาย ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะรักษาความยุติธรรมให้กับพวกเรา!” จางเล่ยพูดอย่างจริงจังและมองไปที่ผู้กองหวังด้วยสายตาที่เย็นชา “ผู้กองหวัง ตอนนี้คุณก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว คุณสามารถตัดสินได้ในทันทีว่าใครถูกหรือผิดกันแน่ในเรื่องนี้ ฉันหวังว่าคุณจะควบคุมตัวเขาแล้วพาไปดําเนินคดีตามกฎหมาย!”
“ควบคุมตัวและดําเนินคดี?”
“ฮ่าฮ่า!!”
ผู้กองหวังและอู่เฉียนต่างมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะเสียงดัง ผู้กองหวังพูดพร้อมกับยิ้มเยาะ “เฮ้! เด็กน้อย แกโง่หรือเปล่าเนี่ย? ฉันกับอู่เฉียนพวกเราสนิทกัน อย่าว่าแต่จะให้ฉันจับเขาเลย ฉันจะปล่อยให้เขาทําร้ายพวกแกจนถึงตายและจะยัดเยียดความผิดให้กับพวกแกด้วย เป็นไง ยุติธรรมพอหรือเปล่า?”
“การเป็นตํารวจไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นผู้นําประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องยุติธรรมเลยงั้นเหรอ แต่กลับกลายเป็นว่าตํารวจมาเป็นผู้ที่ทําผิดกฎหมายเสียเอง?” ไม่มีความอ่อนโยนในน้ําเสียงของจางเล่ยอีกแล้วมีแต่ความเย็นชาอยู่ในน้ําเสียงของเขา
“ฉันเป็นตํารวจเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกรังแก แล้วไปรังแกคนอื่นแทนไม่ได้เหรอ?” ผู้กองหวังพูดอย่างประชดประชัน
และมันก็ทําให้จางเล่ยโกรธขึ้นมาทันที! “ให้ตายเหอะ ฉันเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับพวกแกมามากพอแล้ว!”
จางเลยหันหน้าไปมองทางจี้เฟิงแล้วยิ้ม “นายไม่คิดว่าต่อจากนี้ควรเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญอย่างนายเหรอ?”
จี้เฟิงพยักหน้าแล้วยิ้ม “นายลืมผู้เชี่ยวชาญอีกคนไปนะ ฉันคิดว่าเขาคงจะสนใจทําหน้าที่นี้อยู่ไม่น้อย!”
เมื่อฟังบทสนทนาระหว่างจางเล่ยและผู้กองหวัง ตู้เส้าเฟิงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าจี้เฟิงต้องการให้เขาทําอะไร
ตู้เส้าเฟิงขยับแข้งขยับขาด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาหัวเราะและพูดว่า “พี่จี้ ปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง พี่จี้ดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ พี่ไปยืนพักผ่อนอยู่ด้านหลังกับคนอื่นๆอีกว่าตู้เส้าเฟิงคนนี้ขอรับรองว่าจะไม่มีใครสามารถแตะต้องพวกพี่ได้แม้แต่ปลายผม!”
“สองหัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียว!” จี้เฟิงยิ้ม “มันน่าจะดีกว่าหากพวกเราร่วมมือกันและทําให้เรื่องนี้มันจบได้เร็วขึ้น”
“จัดการพวกมัน!” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มไม่เข้าท่าผู้กองหวังก็ตะโกนสั่งลูกน้องด้วยน้ําเสียงดุดัน และทันทีที่ผู้กองหวังตะโกนขึ้น ก็มีเจ้าหน้าที่ตํารวจสี่ห้าคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับมีอาวุธกระบองและกระบองไฟฟ้าถืออยู่ในมือ
“สั่งสอนบทเรียนให้ไอ้พวกนี้สักหน่อยก่อนแล้วค่อยซักถาม!” ผู้กองหวังที่อยู่ในอาการมึนเมา เขาเริ่มที่จะพูดอะไรเลอะเทอะเล็กน้อย
“ครับ!”
ตํารวจหลายนายตะโกนตอบรับ พวกเขาชูกระบองและกระบองไฟฟ้าขึ้นและก้าวเข้าหาพวกของจี้เฟิงพร้อมกันกับผู้กองหวังและอู่เฉียน
“เข้ามาเลย!” จี้เฟิงและตู้เส้าเฟิงต่างมองหน้ากันและระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันทีเนื่องจากพวกเขาพูดออกมาพร้อมกัน
“ใครถึงก่อน ก็ได้สนุกก่อน!” ตู้เส้าเฟิงไม่รอช้า เขาหัวเราะและวิ่งกระแทกเข้าไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ใหญ่โตราวกับขุนเขาแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นและคล่องแคล่ว
เขาหลบหลีกกระบองไฟฟ้าที่อยู่ในมือของตํารวจอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งอันตรายมาสัมผัสตัวของเขาได้ ในขณะเดียวกันกําปั้นที่ใหญ่และหนักอย่างกับก้อนหินของเขากระแทกเข้าไปเต็มหน้าของตํารวจหลายคน จนทําให้พวกเขาหมดสติล้มลงไปบนพื้น
การต่อสู้ของตู้เส้าเฟิงเต็มไปด้วยพละกําลังและความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทําให้จางเล่ยและคนอื่นๆที่ดูอยู่อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
แต่เมื่อพวกเขามองไปที่จี้เฟิง ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การเคลื่อนไหวของจี้เฟิงว่องไวจนแทบจะทําให้พวกเขามองตามไม่ทัน ในขณะที่จี้เฟิงเคลื่อนไหวผ่านตัวของพวกตํารวจเขาได้ทําการล็อคคอและเคลื่อนย้ายกระดูกส่วนต่างๆในร่างกายของพวกตํารวจ
ทักษะของจี้เฟิงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลอบสังหารที่รวดเร็วจากการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว แม้แต่ต้เส้าเฟิงผู้ที่ชํานาญในการต่อสู้ยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที่เมื่อเห็นการต่อสู้ที่เหมือนเป็นการสังหารหมู่ของจี้เฟิง!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงยังคงมีสมาธิกับการกระทําของเขา เขาเพียงแค่ถอดข้อต่อส่วนของแขนและขาของทุกคนออกอย่างรวดเร็วและปล่อยให้พวกเขาเดินปวกเปียกไม่สามารถเคลื่อนไหวและร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ได้พลั้งมือฆ่าใคร
แน่นอนว่าหากไม่สามารถดึงแขนและขาของคนเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว มันอาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนและความผิดพลาดที่อาจจะก่อให้เกิดผลที่เลวร้ายกว่าเดิมจากการที่กระดูก ส่วนต่างๆถูกดึงออกมาอย่างแรง
ตอนนี้ดวงตาของตู้เส้าเฟิงถึงกับกระตุก ยิ่งมองการกระทําของจี้เฟิงมากเท่าไหร่ มันยิ่งทําให้เขานึกถึงศิลปะการต่อสู้แบบโบราณที่เน้นการปลิดชีวิตเป็นหลัก แต่สิ่งที่จี้เฟิงทํานั้นถึงจะคล้ายคลึง แต่เป็นวิธีที่ต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์เกี่ยวกับสรีระร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างดี
ตู้เส้าเฟิงที่ได้รับการฝึกฝนกังฟูจากครอบครัวตั้งแต่ยังเด็กเขาสามารถมองการกระทําของจี้เฟิงออกได้ในทันที แม้ว่าจี้เฟิงมีความเมตตาอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังคงโหดร้ายมากอยู่ดีที่เลือกใช้วิธีนี้มาใช้ในการสั่งสอนศัตรู ตู้เส้าเฟิงอดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงเมื่อเห็นสิ่งนี้
ผู้ชายคนนี้แม้ภายนอกจะดูเป็นคนที่สงบนิ่งและอ่อนโยน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีมุมที่โหดเหี้ยม เขาไปฝึกทักษะเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน? ตู้เส้าเฟิงได้แต่พึมพําอยู่ในใจ
ในเวลานี้ไม่เพียงแต่ตู้เส้าเฟิงเท่านั้นที่หวาดกลัว แต่ผู้กองหวังที่เริ่มสร่างหลังจากที่มีอาการมึนเมาจากสุราและอู่เฉียนที่ก่อนหน้านี้เคยหยิ่งผยองลําพองตน ต่างก็กําลังหวาดกลัวความโหดเหี้ยมของจี้เฟิงเช่นเดียวกัน
แขนและขาของพวกเขาถูกทุบและกระดูกก็เคลื่อนที่ออกจากกัน การกระทําของจี้เฟิงไม่ได้ไปสัมผัสถูกส่วนใดที่มีผลกระทบต่อหัวใจเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกและเจ็บปวดจนใบหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ําและมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผาก
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็ทรุดลงไปกับพื้นและสั่นกระตุกอย่างแรง แสดงให้เห็นว่าพวกเขากําลังประสบกับความเจ็บปวดที่รุนแรงขนาดไหน
“อ้ากกกกก !!” อู่เฉียนกรีดร้องอย่างทรมานอยู่บนพื้น แขนและขาของเขาถูกจี้เฟิงถอดกระดูกข้อต่อออกทั้งหมด ทําให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือลุกขึ้นยืนได้ เขาทําได้แค่เพียงนอนหงายอยู่บนพื้นและตะโกนด่า “ไอ้สารเลว! มึงกล้ามากที่ทํากับกูแบบนี้ พึงระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าวันนี้ถึงฆ่ากูไม่ตาย มึงจะต้องเสียใจ!”
จี้เฟิงพูดเบาๆ “ถ้าคุณยังมีแรงเหลือมาด่าผมอยู่แบบนี้ เกรงว่าผมคงต้องถอดกระดูกส่วนคอ และดึงหัวของคุณออกมาซะแล้วล่ะมั้ง!”
แม้ว่ากระดูกสันหลังของมนุษย์ที่เชื่อมต่อไปยังไขสันหลังที่เป็นส่วนหลังของสมองจะไม่สามารถถอดตรงกลางออกได้ แต่ด้วยระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงที่จี้เฟิงได้เรียนรู้ เขาสามารถทําการรื้อถอนกระดูกสันหลังของคนคนหนึ่งได้ทั้งหมดตราบเท่าที่เขาต้องการรวมไปถึงศีรษะของคนคนนั้นด้วย!
เมื่อฟังคําพูดที่โหดร้ายแต่กลับพูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่ราบเรียบของจี้เฟิง อู่เฉียนก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและปิดปากของเขาทันทีโดยไม่รู้ตัว เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องครวญครางจากความเจ็บปวด
ส่วนผู้กองหวังก็ไม่ต่างกัน เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า ทําไมเด็กพวกนี้ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลย พวกเขากล้าที่จะทําร้ายตํารวจโดยที่ไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่หลังจากที่เขาได้ยินชื่อของช่าวหยินแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเฉยเมย
เป็นไปได้ไหมว่าเบื้องหลังของเด็กพวกนี้จะมีคนที่มีอํานาจยิ่งใหญ่กว่าจี้ช่าวหยิน?
ผู้กองหวังเริ่มรู้สึกวิตกกังวลทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาหันไปมองที่ขี้เฟิงโดยไม่รู้ตัว และหัวใจของเขาก็ดิ่งวูบลงอย่างต่อเนื่อง
ผู้กองหวังรู้ดีว่าถ้าเด็กผู้ชายที่เหมือนกับนักเรียนเหล่านี้มีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าจี้ชาวหยินจริงๆ นั่นก็หมายความว่า ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เขาจะเจอของแข็งเข้า แต่ยังมีความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงรอเขาอยู่อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่รักษาตําแหน่งหรืออาชีพตํารวจเอาไว้เลย เพราะแม้แต่ชีวิตเขาก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
เมื่อคิดได้แบบนี้ผู้กองหวังจึงคิดที่จะเปิดปากพูดร้องขอความเมตตาจากจี้เฟิง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร อู่เฉียนที่นอนอยู่ข้างๆเขาก็พูดขึ้นมาอย่างหยิ่งผยอง “พวกมึงช่างใจดีจริงๆ ที่อุตส่าห์ไว้ชีวิตกู แต่อย่าคิดว่าการกระทําแบบนี้ของถึงจะได้รับการอภัยและจบลงง่ายๆ พวกมึงรอรับผลของการะกระทําของพวกมึงจากการแก้แค้นของจี้ช่าวหยินได้เลย!”
จบบทที่ 113