บทที่ 127 ออกจากค่ายทหาร!
เมื่อทุกคนออกจากสนามฝึกและมาถึงในส่วนของสถานพยาบาลของค่ายทหารพวกเขาก็ต้องตกใจ
สถานพยาบาลอะไรกัน นี่มันไม่ต่างจากโรงพยาบาลใหญ่ๆในเมืองเลย
อาคารหลังใหญ่สี่ชั้นเต็มไปด้วยแพทย์และพยาบาลในชุดสีขาวกําลังเดินกันขวักไขว่ พวกเขาดูวุ่นวายมาก แม้แต่ในหมางซื่อซึ่งเป็นบ้านเกิดของจี้เฟิง ก็มีเพียงโรงพยาบาลกลางหมางซื้อเพื่อประชาชนเท่านั้นที่พอจะสามารถเทียบได้
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ากับตัวเอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่หมีดําสามารถผ่าตัดที่นี่ได้ เพราะมีสถานพยาบาลที่ใหญ่โตครบครันอยู่ที่นี่นั้นเอง
“เอ๋?” หูเถี่ยจวินชี้ไปที่รถจี๊ปที่จอดอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าสถานพยาบาลและพูดว่า “ทําไมมีรถผู้นํามาจอดอยู่ที่นี่ ผมคิดว่ารถคันนี้น่าจะเป็นของผู้บัญชาการ… จี้เฟิงคุณต้องทําตัวดีๆยอมรับความผิดพลาดอย่างจริงใจ เพราะผู้บัญชาการถึงขนาดมาที่นี่ด้วยตัวเอง ผมเกรงว่าเรื่องมันอาจจะยากยิ่งกว่าเดิม!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องเป็นห่วงครับครูฝึกหู คุณช่วยเหลือพวกเรามามากแล้ว ผมจะไม่ ทําให้คุณต้องลําบากใจอย่างแน่นอน”
เมื่อมองไปที่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของจี้เฟิง หูเถี่ยจวินก็ทําท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลที่จะพูดเลยเลือกที่จะเงียบไป
ในเวลานี้หวังเว่ยจินและผู้บังคับการทางการเมือง กําลังพูดคุยกับชายวัยกลางคนอยู่หน้าห้องผ่าตัดอย่างนอบน้อม พวกเขาพยักหน้าและโค้งคํานับแทบจะตลอดเวลา ศักดิ์ศรีและความหยิ่งยโสเมื่อตอนอยู่กับพวกจี้เฟิงและหูเถี่ยจวินหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคนคนนี้
เมื่อจี้เฟิงและคนอื่นๆมาถึงทางเดินบนชั้นสาม หูเถี่ยจวินก็ตกใจและรีบวิ่งไปทําความเคารพ “สวัสดีครับท่านผู้บัญชาการ!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทักทายหูเถี่ยจวิน
“ท่านรองผู้บัญชาการหวังเว่ยจินพวกเรามาให้ลงโทษแล้ว!” จี้เฟิงที่เดินตามมาทีหลังพูดขึ้นและเมื่อเขาเห็นว่าชายวัยกลางคนหันหน้ามาทางเขา เขาจึงหันไปทางหวังเว่ยจินและพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “หัวหน้าหวัง พวกผมมาที่นี่เพื่อมาขอโทษคุณ!”
ใบหน้าของรองผู้บัญชาการหวังแข็งขึ้นทันทีจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นักศึกษาจี้เฟิง คุณไม่เห็นหรือว่าผมพูดกับหัวหน้าอยู่ ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันที่หลัง!”
“หัวหน้าหวัง ผมจะพูดเรื่องนี้ในภายในหลังได้อย่างไร ในเมื่อผมถูกคุณไล่ออกจากค่ายทหาร?” จี้เฟิงพูดเบาๆ “พอดีเลยครับ ในเมื่อหัวหน้าของคุณอยู่ที่นี่ เราก็มาทําเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อหน้าหัวหน้าไปเลยแล้วกันครับ!”
ทันใดนั้นหัวหน้าหวังก็โกรธจนควันแทบจะออกหูเขารู้สึกเกลียดชังจี้เฟิงจนอยากจะฆ่าให้ตาย ถ้าหากผู้บัญชาการรู้ว่าเขากําลังทําอะไรอยู่ มันจะไม่ส่งผลดีกับเขาอย่างแน่นอน เขาจ้องมองไปที่จี้เฟิงอย่างดุเดือดและข่มขู่จี้เฟิงด้วยสายตาอย่างชัดเจน
จี้เฟิงตอบเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาไม่ได้รู้สึกกลัวสายตาที่แสดงความข่มขู่นั้นเลยแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น?” ในที่สุดชายวัยกลางคนก็พูดขึ้น และรองผู้บัญชาการหวังก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที
เพียงแค่ชายวัยกลางคนเอ่ยปากถาม สีหน้าของหวังเว่ยจินก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาจ้องไปที่จี้เฟิงและรีบพูดว่า “รายงานผู้บังคับบัญชา นักศึกษาสองคนนี้ฝ่าฝืนคําสั่งอย่างร้ายแรงระหว่างการฝึกทหารและขัดแย้งกับผู้นํารวมถึงลงมืออย่างโหดร้ายในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนทักษะการต่อสู้ จนส่งผลให้ทหารคนหนึ่งยังคงนอนอยู่ในห้องผ่าตัดครับ!”
“อย่างนั้นเหรอ..” ชายวันกลางคนมองไปที่จี้เฟิง
“โกหก!” ก่อนที่จี้เฟิงจะทันได้พูดอะไร ตู้เส้าเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเว่ยจินพูด เขาชี้ไปที่หวังเว่ยจินและพูดอย่างเย็นชา “หวังเว่ยจิน คุณกล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของผมกับจี้เฟิง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคุณเอง คุณแต่งตั้งหวังเสี่ยวหูให้เป็นหัวหน้าทีมด้วยความลําเอียงและชื่นชอบเป็นการส่วนตัว แถมคุณยังให้คนของคุณมาสั่งสอนผม แล้วตอนนี้คุณยังกล้าที่จะทําเรื่องนี้จากคําให้กลายเป็นขาวได้อีกงั้นเหรอ เรื่องที่คุณพูดมีแต่เรื่องเพ้อเจ้อ!”
“หัดมีมารยาทเสียบ้างนะ ผู้บัญชาการก็อยู่ที่นี่ทําไมถึงกล้าพูดจาไร้สาระแบบนี้ออกมา” หวังเว่ยจินตะคอกอย่างเย็นชา
“อ้าว ทําไมเรื่องที่เพื่อนของผมเล่ากับของหัวหน้าหวังมันอย่างกับหนังคนละม้วนเลยล่ะครับ?!” จี้เฟิงพูดอย่างเหยียดหยาม
“แก…” หวังเว่ยจินโกรธจัด แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปทางผู้บัญชาการเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
“ที่ผมมาหาคุณถึงที่นี่ เป็นเพราะอยากจะพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่สนามฝึกซ้อมก่อนหน้านี้ แต่ดูแล้วหัวหน้าหวังคงจะไม่ยอมรับและพูดความจริงออกมาง่ายๆ ผมก็ไม่อยากจะยึดติดกับเรื่องนั้นแล้วล่ะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่และหวังว่าหัวหน้าหวังจะตอบผมได้”
จี้เฟิงชี้ไปที่ห้องผ่าตัดที่ยังคงวุ่นวายอยู่ และถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หมีดําที่เป็นนักมวยเถื่อน ทําไมจู่ๆเขาถึงกลายมาเป็นทหารในกองทัพและตอนนี้ก็มีหน้าที่เป็นคนขับรถของหัวหน้าหวังได้ล่ะครับ? แต่พอมานึกๆดูแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ตอนนั้นหัวหน้าหวังดูมั่นใจมาก ในตอนที่สั่งให้หมีดํามาต่อสู้กับพวกเรา เฮ้อ..ตรงจุดนี้ผมก็ยังคงสงสัยนะว่าทําไมคุณถึงบอกให้นักศึกษาสองคนต้องมาเผชิญหน้ากับนักสู้ผู้โหดเหี้ยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากเวทีมวยใต้ดิน แล้วแบบนี้นักศึกษาธรรมดาๆสองคนจะเอาชนะเขาได้อย่างไร?”
จ้าวไคที่ยืนอยู่ข้างๆจี้เฟิงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยและมองไปทางรองผู้บัญชาการหวัง “น่าเสียดาย เพราะรองผู้บัญชาการหวังคงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเอาชนะหมีดําได้จริงๆ มันช่าง…”
ทั้งสองพูดจาเข้าขากันอย่างดีและใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย นั่นจึงทําให้สีหน้าของหวังเว่ยจินที่ซีดขาวด้วยความตกใจกลายเป็นสีม่วงคล้ำที่ต้องอัดอั้นความโกรธเอาไว้
เขาไม่คาดคิดว่าเด็กพวกนี้จะรู้ถึงตัวตนของหมีดําและใช้เรื่องที่หมีดําเป็นนักมวยใต้ดินแล้วได้มาเป็นทหารในกองทัพแบบผิดปกติมาทําให้เขาต้องพบกับปัญหาใหญ่ในครั้งนี้
หากมีการตรวจสอบจากเบื้องบน แค่ข้อกล่าวหานี้ข้อเดียว มันก็มากเพียงพอที่จะทําให้หวังเว่ยจนเดือดร้อนได้อย่างมากและอาจจะถึงขั้นถูกไล่ออกจากราชการทหารก็เป็นได้
ทันทีที่เส้าเฟิง ครูฝึกหูและคนอื่นๆได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงพูด พวกเขาก็ถึงกับร้องอุทานอยู่ในใจ “สุด! สามารถพูดชี้ชัดถึงปัญหาได้ตรงประเด็นและชัดเจน แถมยังแอบยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแนบเนียน นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มอายุ 20 ปีสามารถพูดได้? มันสุดยอดมาก!”
“หัวหน้า นี่ นี่มัน..” หวังเว่ยจินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อแก้ตัวกับผู้บัญชาการแต่เขาหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เขาจึงได้แต่พูดออกมาอย่างล้ำๆอึ้งๆ
เมื่อผู้บัญชาการวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่จี้เฟิงและคนอื่นๆ พูดนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง
เขาจ้องไปที่หวังเว่ยจินอย่างดุดัน และหันไปพูดกับทหารรักษาการณ์สองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา “เข้าควบคุมตัวหวังเว่ยจินพร้อมกับปลดอาวุธปืนของเขาและแจ้งไปยังผู้บังคับการทางการเมืองและรองผู้บังคับการกองอื่นๆให้พวกเขามาที่นี่เพื่อประชุมทันที!”
มันจบแล้ว!
เมื่อได้ยินคําพูดของผู้บัญชาการใบหน้าของหวังเว่ยจินก็ซีดลงทันที จากนั้นเขาจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิงสายตาที่เขามองเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนแทบจะทะลุร่างของจี้เฟิง
“ไม่! มันต้องไม่จบแบบนี้!”
หวังเว่ยจินไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาคิดอยู่ในใจว่าเรื่องมันต้องไม่จบแบบนี้ เขาจ้องไปที่จี้เฟิงอย่างอาฆาตพยาบาท เหงื่อเย็นๆไหล่เต็มแผ่นหลังและใบหน้า หัวใจของเขาเต้นรัว เขาดึงปืนออกจากเอวและเล็งไปที่จี้เฟิง “จี้เฟิง ไอ้เด็กเวร ถ้าฉันจะลงนรกฉันก็จะลากแกไปด้วย!”
“หวังเว่ยจิน! คุณจะทําอะไรก็คิดให้รอบคอบเสียก่อน!” ใบหน้าของผู้บัญชาการวัยกลางคนตึงเครียดขึ้นมาทันที เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฮ่าฮ่า! ผมจะต้องคิดอะไรอีก? นี่คือสิ่งที่คุณทําให้มันเกิดขึ้น คุณบีบบังคับผมจนผมต้องทําแบบนี้!” หวังเว่ยจินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาชี้ปลายกระบอกปืนไปที่ทุกคนที่อยู่ข้างหน้าเขา “ทั้งหมดอย่าขยับ ถ้าใครกล้าขยับฉันจะยิง!”
“หวังเว่ยจินอย่าผลักตัวเองให้ไปสู่ทางตันและวางอาวุธลงเดี๋ยวนี้!” ผู้บัญชาการวัยกลางคนพูดอย่างสง่าผ่าเผย “คุณเป็นทหาร ในเมื่อคุณทําผิดคุณก็ต้องยอมรับผิดอย่างกล้าหาญแล้วดูสิว่า ตอนนี้คุณกําลังทําอะไร นอกจากจะไม่ยอมรับผิดแต่คุณยังจะทําความผิดเพิ่มขึ้นไปอีก คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือ?!”
“ใช่! ผมบ้าไปแล้ว ฮ่าฮ่า มันไม่ใช่เพราะคุณหรอกเหรอ?” หวังเว่ยจินคําราม “ท่านผู้บัญชาการ ผมรู้ตัวดีว่าผมกําลังทําอะไรอยู่ เป็นเพราะคุณต้องการควบคุมตัวผมไปตรวจสอบเรื่องของเจ้าหมีดํา แล้วผลมันจะเป็นอะไรไปได้นอกเสียจากผมต้องไปขึ้นศาลทหาร? และมันก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ผมต้องการอย่างแน่นอน!”
“แล้วผลลัพธ์ในตอนนี้คือสิ่งที่คุณต้องการงั้นเหรอ?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถามอย่างประชดประชัน “เอาปืนมาขู่ผู้บัญชาการโดยใช้พวกเราเป็นตัวประกัน คุณคิดหรือว่าคุณจะวิ่งหนีออกจากค่ายทหารนี้ไปได้?”
“หุบปาก!” หวังเว่ยจินตะโกนอย่างเสียสติเขาดึงผู้บังคับการทางการเมืองที่อยู่ใกล้เขาที่สุดซึ่งมันทําให้เขาตกใจจนเขาอ่อน หวังเว่ยจินจ่อปลายกระบอกปืนไปที่ศีรษะของเขา “ถ้าฉันออกไปไม่ได้ เขาคนนี้ก็ต้องกลายเป็นศพ!”
ทุกคนเริ่มเป็นกังวล หมอและพยาบาลที่อยู่ตรงทางเดินที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างตกใจกลัวจากนั้นพวกเขาก็รีบกลับไปยังที่ปลอดภัยและพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อโทรไปแจ้งเหตุฉุกเฉิน
“หวังเว่ยจิน ใจเย็นๆวางปืนลงก่อน ตอนนี้คุณยังมีทางออก ฉันสัญญาว่าคุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม แต่ถ้าหากคุณคิดที่จะหลบหนีมันจะไม่เหลือทางออกใดๆให้กับคุณอีก!” ผู้บัญชาการวัยกลางคนไร้ซึ่งความกลัวเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “วางปืนลงเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากฆ่าคุณด้วยมือของฉันเอง!”
“หยุด! ถ้าคุณยังก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียวผมจะยิงเขาทันที!” หวังเว่ยจินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับกดปืนไปที่ศีรษะของผู้บังคับการทางการเมืองแน่นขึ้น
“คิกคิก มันน่าสนใจจริงๆ ผมล่ะอยากรู้นักว่าคนอย่างคุณมาถึงจุดนี้ได้ยังไง!” เมื่อเห็นฉากตรงหน้าจี้เฟิงก็ส่ายหัวและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“หุบปากไปซะไอ้เด็กเชีย!” เมื่อเห็นท่าที่เย้ยหยันของจี้เฟิง หวังเว่ยจินก็รู้สึกโกรธจนเส้นเลือดตรงขมับของเขาเต้นตุ้บๆ มันแทบจะทําให้เขากลายเป็นบ้า
“โอเคโอเค ผมจะยอมหุบปากก็ได้” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ชี้ไปที่ปืนพกที่อยู่ในมือของหวังเว่ยจิน “แต่ก่อนอื่นผมอยากจะบอกคุณว่าปืนในมือของคุณมันไม่ได้ปลดเซฟตี้และมันก็ไม่มีลูกกระสุนด้วย!”
“เพ้อเจ้อ!”
เมื่อได้ยินที่จี้เฟิงพูดหวังเว่ยจินก็ตกใจ เขาหันหน้าไปมองปืนที่อยู่ในมือของเขาทันทีเพื่อตรวจสอบโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าระยะห่างระหว่างเขากับจี้เฟิงในตอนนี้ค่อยๆลดลงจนเหลือเพียงแค่ 4 เมตร
“ฟึ่บ!”
ในขณะที่หวังเว่ยจินเสียสมาธิ จู่ๆร่างของจี้เฟิงก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และกว่าที่ทุกคนจะรู้ตัว จี้เฟิงก็ไปอยู่ตรงหน้าของหวังเว่ยจินแล้ว
“ปึ้ก!”
จี้เฟิงฟาดหมัดของเขาไปที่หน้าผากของหวังเว่ยจินอย่างรวดเร็ว โดยที่หวังเว่ยจินก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจี้เฟิงได้เข้ามาถึงตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ หวังเว่ยจินค่อยๆทรุดตัวลงและปืนพกก็ตกลงไปที่พื้นทันที
ในขณะนั้นเองทหารรักษาการณ์สองคนของผู้บัญชาการกองกําลัง ก็พุ่งเข้าไปดึงตัวผู้บังคับการทางการเมืองออกมาทันที ส่วนอีกคนหนึ่งก็ดึงเข็มขัดของเขาออกอย่างรวดเร็วและใช้มันมัดหวังเว่ยจินที่หมดสติอยู่บนพื้นและหยิบปืนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
“โง่ชะมัด!” จี้เฟิงถอนหายใจและส่ายหัว
“โง่เกิน!” ตู้เส้าเฟิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แม้แต่คนไม่เต็มบาทก็ต้องรู้ว่าพี่จี้โกหก แต่ไอ้หมอนี่มันก็ยังเชื่อ!”
หวังเว่ยจินที่เพิ่งตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือและเมื่อได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงกับตู้เส้าเฟิงพูด เขาก็อึ้งและเป็นลมไปอีกครั้ง
“ท่านผู้บัญชาการ ตอนนี้ทุกอย่างก็น่าจะจบแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราสามารถออกจากที่นี่ได้เลยหรือเปล่าครับ” จี้เฟิงถาม
ผู้บัญชาการวัยกลางคนโบกมือและกล่าวว่า “ใช่ แต่เหตุการณ์นี้ก็ส่งผลกระทบกับพวกเธอด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบจากทางเรา พวกเธอสามารถเลือกที่จะออกจากค่ายทหารก่อนเวลาได้ แต่ฉันอยากจะบอกว่าการฝึกทหารก็เป็นทางเลือกที่ไม่แย่ มันจะให้ประสบการณ์ที่ดีกับพวกเธออย่างแน่นอน อยู่ที่พวกเธอแล้วล่ะนะ ว่าจะเลือกทางไหน”
เมื่อได้ยินที่ผู้บัญชาการพูด พวกเขาต่างก็ผงะไปพร้อมๆกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ตู้เส้าเฟิงก็พูดขึ้นว่า “ผมต้องการอยู่ที่นี่ต่อเพื่อฝึกทหารต่อไป!”
เขาจะไม่มีทางยอมพลาดโอกาสที่จะได้ฝึกการต่อสู้กับครูฝึกหูฟรีๆอย่างเด็ดขาด ในเมื่อหวังเว่ยจินไม่สามารถมาสร้างปัญหาอะไรได้อีกแล้ว เขาก็จะได้เป็นหัวหน้าทีมต่อไปโดยอัตโนมัติ
จ้าวไคพยักหน้าเช่นกัน “ผมก็ต้องการที่จะฝึกทหารต่อไปเหมือนกัน ผมอยากจะปรับปรุงและพัฒนาสมรรถภาพทางกายของผม การฝึกที่นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก”
ฮั่นจงก็เลือกที่จะอยู่ต่อไปอย่างไรก็ตามพวกเขาต่างเลือกที่จะอยู่ในค่ายทหารเพื่อฝึกทหารต่อไป เพราะต่อให้พวกเขาออกไปในเวลานี้พวกเขาก็ไม่มีอะไรทําอยู่ดี
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่เลือกที่จะออกไปสินะ ฮ่าๆ งั้นเอาเป็นว่าเราค่อยเจอกันหลังจากนี้อีก 1 เดือน!”
จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยหยอกล้อกันและเดินกลับไปยังค่ายพร้อมกับครูฝึกหู
จบบทที่ 127