ในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่ดาวสักดวงบนท้องฟ้าซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะท้องฟ้ามีเมฆมากหรือเป็นเพราะมลพิษทางอากาศที่มีมากจนเกินไป อย่างไรก็ตามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้เอื้อต่อการกระทำสำหรับใครบางคนในเวลานี้เป็นอย่างมาก
ที่กำแพงด้านนอกของโรงงานเคมีร้างมีเงาสีดำตะคุ่มๆเกาะอยู่ชิดติดกับกำแพงอย่างแนบเนียน ทุกครั้งที่เงานั้นก้าวเดินไปข้างหน้า เขาจะหยุดชะงักอย่างกะทันหัน จากนั้นเงาดังกล่าวก็ผสานเข้ากับความมืดอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงจนมองไม่เห็นถึงความแตกต่างไปจากเดิมเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างของการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกับการนิ่งเงียบจนกลืนหายไปกับเงามืดได้ในทันทีมันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำคนละขั้วแต่เงาดำนั้นกลับทำได้อย่างไม่มีที่ติเพียงเท่านี้ก็น่าจะเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของเงาดำนี้มาถึงระดับใดแล้ว
แม้จี้เฟิงจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาที่นี่ตามนัดจริงๆหรือไม่และฝ่ายตรงข้ามต้องการจะทำอะไรไม่ว่าจะแบบไหนจี้เฟิงก็ยังคงใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ ตราบใดที่มีการปฏิบัติภารกิจเขาจะทำตามกฎของสายลับในระบบฝึกอย่างเคร่งครัดโดยไม่รู้ตัว มันเป็นความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจให้สมบูรณ์แบบที่สุด รวดเร็วที่สุด และที่สำคัญความปลอดภัยคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด!
ในระบบฝึกอบรมสุดยอดสายลับระดับสูงจี้เฟิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้รับการฝึกอบรมจากปรมาจารย์ร่างเสมือนเหล่านั้นมากี่ครั้งแล้วและจิตสำนึกที่กลายเป็นความเคยชินนี้ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขามาเป็นเวลานานจนมันได้กลายเป็นสัญชาตญาณของเขาไปแล้ว
แม้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อความเร็วของเขาเพียงเล็กน้อยแต่จี้เฟิงได้มารู้ในภายหลังว่ามันเป็นเพราะการกระทำตามสัญชาตญาณเหล่านี้เองที่ทำให้เขานั้นหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้
เดิมทีจี้เฟิงเริ่มต้นจากมุมกำแพงด้านนอกของโรงงานเคมีร้างเพื่อที่จะอ้อมไปด้านหลังแต่เมื่อเขาเจอมุมกำแพงและกำลังจะปีนข้ามเข้าไปด้านในโรงงานเคมีทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบ
มีคนอยู่!
จี้เฟิงหยุดและเกาะกำแพงค้างไว้ที่ด้านนอกเขาโผล่หัวให้พ้นมุมกำแพงออกมาเล็กน้อย มีแสงเย็นวาบฉายผ่านดวงตาของเขา จากระยะที่เขาอยู่ห่างไปประมาณ 20 เมตร เขามองเห็นแสงสว่างจางๆกะพริบอยู่สองจุด มีการเคลื่อนที่และสั่นไหวเป็นครั้งคราว เนื่องจากแสงของทั้งสองจุดนั้นอ่อนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาที่ดีเยี่ยม จี้เฟิงก็แทบจะไม่สังเกตเห็น
เมื่อมีกระแสลมเบาบางพัดผ่านมาจี้เฟิงก็เข้าใจในทันที แสงจางๆทั้งสองจุดนี้มันคือแสงจากมวนบุหรี่ จี้เฟิงจึงแน่ใจแล้วว่ามีคนสองคนกำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น แต่มันมืดเกินไปที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
จี้เฟิงกระตุ้นให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายให้มาอยู่ที่ดวงตาของเขาทันทีและเขาก็พบว่าในที่ข้างหน้าไม่ไกลจากเขามากนักมีคนสองคนนั่งยองๆพิงกำแพงสูบบุหรี่อยู่พร้อมกับมองขึ้นไปรอบๆเป็นครั้งคราว
เป็นชายหนุ่มสองคนอายุสามสิบทั้งคู่
ชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งและดูเหมือนจะบ่นด้วยความไม่พอใจ แม่งเอ๊ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครมาจากไหน ทำไมบอสของเราถึงต้องไปเชื่อคำพูดมันจนต้องสั่งให้เรามาเฝ้าอยู่ที่นี่ ที่ที่แม้แต่นกก็ยังไม่อยากมาขี้ (หมายถึงสถานที่ที่รกร้าง แห้งแล้งหรือน่าเบื่อ) บนดาดฟ้าก็มีคนเฝ้าอยู่ แล้วจะส่งพวกเรามาทำหอกอะไรตรงนี้ก็ไม่รู้ หรือจะมีคนมาขุดอุโมงค์แล้วมาโผล่ตรงนี้?!
อย่าบ่นมากนักเลยเจ้านายสั่งไว้ว่าอย่าส่งเสียงดังจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนอื่น ชายอีกคนพูดเสียงเบา ฉันได้ยินมาว่าคนที่พวกเขาต้องจัดการในครั้งนี้เป็นยอดฝีมือในการต่อสู้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเฝ้าระวังมากขนาดนี้
ไอ้บ้า! ชายคนแรกตวาดด้วยความไม่พอใจ นายจะบ้ารึเปล่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วยังจะเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่อีกเหรอ! คนเราไม่ว่ามันจะเก่งกาจแข็งแกร่งสักแค่ไหน มันจะแข็งสู้มีดหรือจะไวกว่ากระสุนปืนได้เหรอ?
เออๆฉันรู้แล้วหน่า ก็ใครใช้ให้พวกเราเป็นโจรกระจอกแบบนี้กันล่ะ ชายอีกคนพูดปลอบใจ นึกถึงเงินไว้พวก เผื่อมันจะทำให้นายใจเย็นลงได้บ้าง พอจบงานนี้พวกเราทุกหารกันก็ตกคนละ 50,000 เลยนะเว้ย!
แล้วทำไมต้องให้เรามาเฝ้าอยู่ที่กำแพงด้านหลัง นายดูอย่างหลิวเอ๋อกับคนอื่นๆ พวกเขาได้เฝ้าอยู่ที่ป้อมยามตรงประตูหน้า อย่างน้อยพวกเขาก็มีที่ให้นั่ง ดีไม่ดีนั่งจิบเหล้าไปด้วยยังได้เลยมั้ง แล้วดูพวกเราที่นั่งก็ไม่มีต้องมานั่งยองๆแถมยุงก็กัดอีก!
ผู้ชายคนแรกเต็มไปด้วยความคับข้องใจเขาอดไม่ได้ที่จะโอดครวญ ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน ตีฉันให้ตายฉันก็คงไม่มาที่นี่!
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพักเสียงของพวกเขาก็ค่อยๆเบาลงและในที่สุดทั้งสองคนก็สูบบุหรี่และไม่มีเสียงพูดคุยอีกต่อไป
แต่พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าในเวลานี้จี้เฟิงได้ยืนอยู่ข้างกำแพงห่างจากพวกเขาไปไม่ถึง20 เมตร
ที่นี่มีคนซุ่มโจมตีอยู่จริงๆ!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอยู่ในใจเขานึกว่าอีกฝ่ายต้องการจะสู้กับเขาตัวต่อตัว ที่ไหนได้อีกฝ่ายต้องการจะจัดการเขาให้สิ้นชื่อภายในคืนนี้เลย!
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อยว่าเฉียวหรงบ้าไปแล้วใช่ไหมเธอกล้าที่จะฆ่าตัวตายแบบนี้จริงๆหรือ? หากเป็นเช่นนั้นนับประสาอะไรกับแค่เฉียวหรงคนเดียวเพราะแม้แต่ทั้งตระกูลเฉียวก็จะถูกกำจัดด้วยความโกรธเกรี้ยวของตระกูลจี้ในทันทีและจะไม่หลงเหลือชื่อของตระกูลเฉียวอีกต่อไป!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เฉียวหรงหรือโทรศัพท์สายแปลกๆนั่นจะเป็นคนอื่นจริงๆ จี้เฟิงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแต่เดินต่อไปอย่างเงียบๆ เท้าของเขาที่เหยียบย่างลงไปบนพื้นไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย เป็นการก้าวเดินที่เงียบสงบจนน่าตกใจ
เป้าหมายของเขาคือต้องกำจัดผู้ชายสองคนนี้ให้ได้เสียก่อน
ตอนนี้จี้เฟิงรู้แล้วว่าที่ประตูด้านหน้าและบนดาดฟ้ารวมถึงส่วนอื่นๆของกำแพงมีคนคอยเฝ้าอยู่ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้มีอาวุธหรืออาจจะมีปืนพกติดตัวอยู่ด้วย
ในกรณีนี้เขายิ่งต้องระวังตัวให้มากขึ้นและเมื่อเริ่มลงมือแล้วเขาจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตอบโต้กลับไม่เช่นนั้นเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกันว่าตัวเขานั้นจะเร็วกว่ากระสุนปืนจริงๆหรือเปล่าในความเป็นจริงแม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ลองต่อสู้ด้วยศิลปะการต่อสู้ๆจริงเลย ดังนั้นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจี้เฟิงจึงยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
ผู้ชายสองคนข้างหน้ากำลังพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจจี้เฟิงเดินเข้าไปที่ด้านข้างของพวกเขาและมือทั้งสองข้างของจี้เฟิงก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าและทันใดนั้นคอของผู้ชายทั้งสองก็ถูกจี้เฟิงคว้าไว้
มือของเขาพริ้วไหวเหมือนหัวงูที่ไม่มีกระดูกเขาออกแรงกดเบาๆที่คอของชายคนหนึ่ง ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะมีการตอบสนองใดๆ เขาก็ทรุดลงไปกับพื้นทันที
แต่ทันใดนั้นเองจี้เฟิงก็เหยียดขาข้างหนึ่งออกเพื่อรับร่างของชายคนนั้นที่กำลังจะล้มลงและค่อยๆวางเขาลงกับพื้นอย่างช้าๆกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงใดๆเลย
ส่วนผู้ชายอีกคนที่ถูกจี้เฟิงบีบคอไว้นับประสาอะไรกับการที่เขาจะขัดขืนเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้สึกเวียนหัวภาพตรงหน้าก็เริ่มที่จะเบลอ
ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาถ้ายังไม่อยากตาย! เสียงที่เย็นชาของจี้เฟิงลอยเข้าหูของชายคนที่เหลืออยู่ ถ้าตกลงก็แค่พยักหน้า แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ลงไปอยู่ในนรกกับเพื่อนของแกซะ!
ชายคนที่เหลืออยู่พยักหน้าอย่างรวดเร็วใครมันจะอยากตายกัน! ไอรีนโนเวล
จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า มีคนเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งหมดกี่คน แค่ยกมือก็พอ ไม่ต้องพูดออกมา!
จี้เฟิงกลัวว่าทันทีที่เขาปล่อยมืออีกฝ่ายจะตะโกนออกมา และถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะตกอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่และนอกจากนี้เพียงแค่การยกมือเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ในความมืด
ชายคนนั้นผงะเล็กน้อยและรีบชูมือขึ้นพร้อมกับนิ้วสามนิ้วสั่นไปมาต่อหน้าจี้เฟิง
สามสิบคน จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม
ชายคนนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็วตอนนี้การหายใจของเขาเริ่มติดขัดแล้ว เขาไม่สามารถพูดหรือส่งเสียงอะไรได้เลย
นี่มันไม่ใช่น้อยๆเลย! จี้เฟิงพูดเบาๆ แล้วถามต่อว่า แล้วคนพวกนั้นมีอาวุธอะไร
ชายคนนั้นยกมือขึ้นอีกครั้งและเหยียดนิ้วออกเป็นรูปปืนอย่างสั่นกลัว
………………
แม้ว่าการแสดงออกของชายคนนี้จะดูเงอะงะอยู่บ้างแต่จี้เฟิงก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็ถามคำถามสำคัญที่เขาอยากรู้เสร็จ ไปอยู่กับเพื่อนของแกก่อนแล้วกัน!
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงพูดชายคนที่เหลือก็รีบดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พยายามหลีกหนีชะตากรรมของการถูกฆ่า แต่จี้เฟิงไม่สนใจ เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยบีบไปที่คอและทันใดนั้นชายคนที่เหลืออยู่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงและร่างกายของเขาก็อ่อนยวบไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป
เขารู้สึกเพียงความดำมืดในดวงตาและสุดท้ายก็หมดสติไป
จี้เฟิงวางเขาลงที่พื้นโดยไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นเขาพลิกตัวของชายทั้งสองดูอย่างลวกๆและพบเข้ากับมีดสองเล่มและของใช้ส่วนตัวอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
เขาหยิบมีดขึ้นมาพกไว้ที่เอวและเดินต่อไป
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีคนคอยซุ่มโจมตีเขาอยู่สามสิบคนแน่นอนว่าจี้เฟิงจะต้องไม่ใจร้อนที่จะเข้าไปในโรงงานทันที เขาจะต้องกำจัดคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเหล่านี้เสียก่อนแล้วจึงหาทางเข้าไปข้างในโรงงานเป็นขั้นตอนต่อไป
ตามข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้จี้เฟิงค่อยๆเดินเลาะไปตามกำแพง เขาจัดการคนของฝ่ายตรงข้ามที่เฝ้ากำแพงอยู่ 5 จุดติดต่อกันรวมแล้วมีทั้งหมด 10 คนที่ถูกเขาจัดการ
แต่ไม่ว่าจะสิบคนหรือสองคนที่เขาพบในทีแรกจี้เฟิงก็ไม่ได้ฆ่าพวกเขา เพียงแต่ทำให้พวกเขาสลบไปเท่านั้น
จี้เฟิงไม่ใช่คนกระหายเลือดนอกจากนี้เขายังมีวิธีการที่พิเศษมากเพียงแค่กดไปที่จุดประสาทสำคัญที่ทำให้เป็นอัมพาตของคนเหล่านี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาหลับไปและถึงแม้ว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาพวกเขาก็จะเป็นอัมพาตไปทั้งตัวและไม่สามารถพูดได้ด้วยซ้ำ
คนเหล่านี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนในการที่จะฟื้นตัวแต่สำหรับจี้เฟิงแค่คืนเดียวก็เพียงพอแล้ว
คนที่คอยเฝ้าอยู่ที่กำแพงเกือบทั้งหมดได้ถูกจี้เฟิงจัดการเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงแค่ไม่กี่คนในป้อมยามตรงประตูทางเข้า
ด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพความมืดมิดในเวลากลางคืนไม่สามารถลดทอนความสามารถในการมองเห็นของจี้เฟิงได้ เขาเหมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำย่างกรายเข้าไปในป้อมยามอย่างเงียบๆและทำให้ทั้งห้าคนในป้อมยามหมดสติลง
สิบเจ็ด! จี้เฟิงนับอย่างเงียบๆ ถ้าไม่นับเจ้านายของคนเหล่านี้กับคนแปลกหน้าที่โทรหาฉัน ก็เหลืออีกสิบสามคน คนเหล่านี้ถูกกระจายเพื่อรอซุ่มโจมตีอยู่ตามจุดต่างๆของโรงงาน
จี้เฟิงเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นเพราะคนที่เหลืออีกสิบสามคนนั้นแตกต่างจากคนที่เฝ้าอยู่ภายนอกโรงงาน พวกเขาล้วนเป็นมือดีและที่ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทุกคนถือปืน!
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจี้เฟิงถึงได้ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้นพลังของปืนมันได้ฝังรากลึกลงในหัวใจของผู้คนและจี้เฟิงก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์สัมผัสกับกระสุนปืนในระบบฝึกซ้อมมาแล้วแต่เขาก็ยังคงรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเผชิญกับมันจริงๆ
จี้เฟิงเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุดโดยการอ้อมกลับไปที่กำแพงด้านหลังและปีนเข้ามาจากทางนั้นแทน
จี้เฟิงไม่ได้จัดการคนที่เฝ้าระวังอยู่บนดาดฟ้าโรงงานซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบเพราะพวกเขามีเครื่องรับส่งวิทยุและถือปืนไรเฟิลอยู่ในมือ
เพราะถ้าหากจี้เฟิงไปทำให้พวกเขาสลบเหมือนคนอื่นๆแล้วเมื่อคนในโรงงานติดต่อมาพวกเขาก็จะรู้ทันทีว่ามีคนบุกเข้ามา
จี้เฟิงเข้าไปในโรงงานอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าภายในโรงงานไม่ได้ว่างเปล่ายังคงมีชั้นไม้ที่ถูกทิ้งร้างไว้อยู่เป็นจำนวนมากและเครื่องจักรอื่นๆ มันช่วยให้เขามีที่หลบซ่อน
หนึ่งสองสาม…จี้เฟิงทำให้คนห้าคนหมดสติในหนึ่งลมหายใจ เหลืออีกแปดหลังจากกำจัดคนที่อยู่บนดาดฟ้าเสร็จแล้วก็เหลืออีกเจ็ดคน
จี้เฟิงเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างเงียบๆในความมืดเงาร่างของเขาแทบไม่ต่างจากผี
ปึ้ก!
เสียงแน่นๆดังขึ้นและคอของชายคนนั้นก็ถูกจี้เฟิงกระแทก
แต่ในขณะนั้นเองความรู้สึกถึงวิกฤตที่รุนแรงได้พุ่งตรงมายังร่างกายของจี้เฟิงและเขาก็ถอยกลับทันทีโดยสัญชาตญาณ
ปัง!
ในขณะที่เขาถอยหลังออกมานั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น!