ใช่!พวกเขาคิดว่าการต่อสู้ของนายกับเฉียวหรงที่เกิดขึ้นในเจียงโจวมันไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่ จี้ช่าวเหลยพยายามคิดหาคำพูด เพราะกลัวว่าคำพูดที่ไม่ระมัดระวังของเขาจะทำให้จี้เฟิงโกรธ หลักๆก็มีอยู่สามข้อด้วยกันที่พวกเขาเอ่ยอ้างขึ้นมา
แม้ว่าจี้ช่าวเหลยจะมีความระมัดระวังในคำพูดแต่จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพียงแต่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เขาแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่ในดวงตาของเขาและถามว่า ถ้าอย่างนั้น ไอ้สามข้อที่ว่านี่มันมีอะไรบางล่ะ ผมอยากรู้ ฮ่าฮ่า…
พอได้ยินเสียงหัวเราะของจี้เฟิงที่ไม่ได้หัวเราะจริงๆจี้ช่าวเหลยก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้นิสัยน้องสามคนนี้ดี การแสดงออกเช่นนี้ของจี้เฟิงมันหมายความว่าเขาเริ่มที่จะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ น้องสาม วันนี้เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันเลยดีกว่า เอาไว้วันไหนนายว่างๆ ก็มาที่บ้านแล้วค่อยพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอีกทีก็แล้วกัน โอเคมั้ย
ให้ไปคุยกันที่บ้าน
จี้เฟิงรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างหรือคนที่ต้องการให้ฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ใช่พี่รองตั้งแต่แรก เป็นไปได้มั้ยว่ามันเป็นความคิดของอาสอง หรือว่าอาสองต้องการจะให้ฉันทำอะไร?!
จี้เฟิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า ไม่อ่ะ วันนี้เป็นวันหยุดแล้วผมก็ว่างพอดี พี่รองมีอะไรก็บอกมาตอนนี้ได้เลย!
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงยืนกรานเช่นนั้นจี้ช่าวเหลยจึงไม่มีทางเลือก เขากล่าวว่า ก็ดีเหมือนกัน นายจะได้เตรียมจิตใจให้พร้อมล่วงหน้า ส่วนสามข้อที่พวกเขาพูดมา อย่างแรกพฤติกรรมของนายได้ละเมิดคำสั่งเด็ดขาดของผู้นำตระกูลเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความกตัญญูที่มีต่อคุณปู่ เพราะคุณปู่เคยสั่งไว้ว่า คนในตระกูลจี้ไม่ได้รับอนุญาตให้มีความคิดริเริ่มที่จะจัดการกับคนของตระกูลเฉียวโดยเด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกยั่วยุก่อนก็ต้องรู้จักอดทนพยายามอดทนให้ได้มากที่สุด… ส่วนเรื่องที่สอง เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของนาย…
ตัวตน จี้เฟิงงงเล็กน้อย มันเกี่ยวกันยังไง? แล้วตัวตนของฉันมันทำไม?
ไอ้น้อง…นายเป็นหลานชายคนโตของตระกูลจี้และถึงแม้ว่านายจะยังไม่ได้รับการยอมรับจากหลายๆคน แต่การกระทำของนายของนายก็แสดงไปถึงใบหน้าของตระกูลจี้ทั้งหมด จี้ช่าวเหลยกล่าว บางคนคิดว่าวิธีที่นายใช้จัดการกับสิ่งต่างๆมันรุนแรงเกินไป อ่า.. ฉันจะพูดยังไงดี เหมือนกับว่าพฤติกรรมของนายมันไม่เหมือนกับคนอื่นๆในตระกูลจี้ อย่างการต่อสู้ของนายที่หน้าร้านเฟอร์นิเจอร์เมื่อคราวก่อน พวกเขาบางคนคิดว่ามันมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับเรื่องนี้ แต่นายเลือกที่จะทำมันด้วยตัวเองและมันทำให้สถานะของนายดูตกต่ำลง
เหอะเหอะ… จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ เพราะเขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อคุณชายคนไหนลงไปต่อสู้กับนักเลงที่ดุร้ายเหมือนหมาป่าด้วยตัวเองมาก่อน อย่างมากก็โทรเรียกลูกน้องมาจัดการพวกอันธพาลที่ดุร้ายเหมือนหมาป่าให้หลาบจำจนหงอยเป็นลูกหมา
แล้วก็อีกเรื่องนึง วิธีที่นายจัดการกับเฉียวหรงก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อตอนที่นายต่อสู้กับเทียนกั๋วถงแล้วก็คนอื่นๆแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ลับ แต่ก็ไม่มีทางพ้นหูพ้นตาของคนในตระกูลจี้ไปได้และมันก็เป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมกับตัวตนและสถานะของนาย จี้ช่าวเหลยกล่าว เขาเองก็รู้สึกปวดหัวกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน จริงๆมันไม่ได้มีอะไรเลย ในช่วงวัยรุ่นใครบ้างที่ไม่เคยเลือดร้อน การกระทำที่หุนหันพลันแล่นและใช้กำลังมันเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
อย่าว่าแต่การต่อยกับคู่ต่อสู้เลยแม้ว่าเขาจะใช้มีดไปฆ่าใครก็ตาม จี้ช่าวเหลยก็เคยทำมาแล้ว อย่างมากที่สุดเขาก็ได้รับการลงโทษที่รุนแรงก็เท่านั้น แต่เขาก็ไม่ถึงขนาดโดนพ่อของเขาหักขาทิ้ง แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีญาติคนอื่นๆมาพูดอะไรเลย
แต่เมื่อเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับจี้เฟิงความรู้สึกของคนอื่นๆกลับเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าบางคนพยายามใช้จุดนี้ทำให้มันดูเป็นปัญหาใหญ่ พวกเขาพูดเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครในตระกูลทำเรื่องที่ส่งผลให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงแบบนี้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาพูดมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
แล้วเรื่องที่สามล่ะ จี้เฟิงถามขึ้น
จี้ช่าวเหลยยิ้มอย่างขมขื่น เรื่องที่สาม…
พี่รองมีอะไรก็พูดมาตรงๆได้เลย จี้เฟิงกล่าวเบาๆ ให้ผมรู้ตอนนี้น่าจะดีกว่ารอให้มีคนมาชี้หน้าด่าผมตรงๆ พี่คิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นผมจะทนได้เหรอ
เมื่อได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงพูดจี้ช่าวเหลยก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะพูดว่า ประเด็นสุดท้าย มีพวกเขาบางคนสงสัยในความสามารถของนาย
ว่าไงนะ จี้เฟิงถามอย่างงุนงง
คือว่า…มีบางคนคิดว่านายไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆที่นายเติบโตมาอาจส่งผลต่อความคิดของนาย… พูดง่ายๆก็คือ พวกเขาคิดว่านายมีความสามารถจำกัด หากเป็นแค่ลูกหลานของตระกูลจี้เฉยๆก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าในอนาคตนายต้องการจะครอบครองทุกอย่างในตระกูลจี้พวกเขาเกรงว่านายคงจะไม่เหมาะสมและไร้ความสามารถที่จะจัดการเรื่องต่างๆได้! หลังจากพูดจบจี้ช่าวเหลยก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อที่หน้าผาก เขาจะต้องสื่อสารอย่างชัดเจนและครบถ้วนโดยต้องไม่เป็นคำพูดที่รุนแรง มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆสำหรับเขา ความจริงแล้วสิ่งที่คนบางคนพูดนั้นไม่สุภาพและรุนแรงกว่านี้มากแม้ว่าจะไม่มีคำพูดเยาะเย้ยหยาบคาย แต่แม้แต่คนโง่ก็สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นได้ และแน่นอนว่าจี้ช่าวเหลยไม่กล้าบอกให้จี้เฟิงรู้เกี่ยวกับคำพูดเหล่านั้น เพราะเขากลัวจริงๆว่าจี้เฟิงอาจจะถือมีดบุกไปไล่ฆ่าคนพวกนั้นถึงหยานจิงโดยตรง ด้วยวัยที่เลือดร้อนและวิธีการที่โหดเหี้ยมของจี้เฟิงอาจเกิดขึ้นจริงส่วนเขาจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นคงไม่ต้องสงสัยเลย!
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จี้เจิ้นกั๋วได้ขอให้จี้ช่าวเหลยเป็นคนแจ้งเรื่องนี้แก่จี้เฟิงการสื่อสารระหว่างพี่น้องน่าจะดีที่สุด จุดประสงค์ก็คือให้จี้ช่าวเหลยพยายามพูดให้จี้เฟิงไม่ก่อเรื่องอะไรในช่วงนี้อีก ตอนนี้ร่างกายของชายชราไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หากภายในครอบครัวมีข้อพิพาทกันจะยิ่งทำให้สุขภาพของชายชราทรุดหนักลงยิ่งกว่าเดิม
แต่ใครจะรู้หลังจากที่ได้ฟัง จี้เฟิงกลับเอาแต่นิ่งเงียบ เด็กคนนี้จะไประเบิดความโกรธกับคนพวกนั้นหรือเปล่านะ!
จี้ช่าวเหลยรีบโพล่งออกมาพร้อมกับเหงื่อเย็นๆที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากอย่างไม่หยุดหย่อน คือฉันอยากจะบอกนายว่า นายไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่คนอื่นพูดหรอก เราไม่สามารถไปบังคับคนอื่นไม่ให้คิดหรือพูดในสิ่งที่เราไม่ต้องการได้ นายอย่าไปเสียเวลาเสียอารมณ์มาโกรธคนพวกนี้เลย เชื่อฉันเถอะ!
ฮ่าฮ่า.. เสียงหัวเราะเบาๆของจี้เฟิงดังขึ้นในโทรศัพท์ พี่รอง พี่กังวลมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าผมจะหุนหันพลันแล่นยังไง ผมก็ไม่ถึงขนาดจะบุกไปที่หยานจิงเพื่อจัดการกับแมลงหวี่แมลงวันหิวแสงพวกนั้นหรอก!
ฟู่~ค่อยยังชั่ว จี้ช่าวเหลยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของจี้เฟิงเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ มันเหมือนเหล่าคนหิวแสงมารวมตัวกันจริงๆ การแข่งขันแย่งชิงการเป็นทายานรุ่นที่สามเหมือนจะเริ่มขึ้นแล้ว ขนาดตอนนี้คุณปู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่พวกแมลงวันหิวแสงแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
พี่รองผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่พี่ต้องการจะสื่อนั้นคืออะไร ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะต้องไปสนใจคนเหล่านี้ จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย สิ่งที่ผมเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือสุขภาพของคุณปู่ พี่รองคิดว่าผมควรจะรีบเดินทางไปที่หยานจิงเพื่อพบคุณปู่ให้เร็วที่สุดดีหรือเปล่า
อย่า!
ทันทีที่จี้เฟิงพูดจบจี้ช่าวเหลยก็รีบตะโกนขึ้นทันที น้องสาม อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด
ทำไม จี้เฟิงตกใจ
ไอ้น้องนายต้องคำนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันให้ดี จี้ช่าวเหลยกล่าวว่า ตอนนี้ร่างกายของคุณปู่ไม่สามารถทนรับการกระตุ้นแม้เพียงเล็กน้อยได้ แล้วจู่ๆหลานชายที่ไม่ได้เจอกันนานกว่าสิบปีกลับมาหา นายคิดว่าคุณปู่จะตื่นเต้นรึเปล่า
เมื่อได้ยินแบบนี้จี้เฟิงก็เข้าใจในทันที คนที่อายุมากแล้วแถมยังสุขภาพไม่ค่อยดี อารมณ์ที่รุนแรงไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าล้วนส่งผลกระทบด้านลบที่ร้ายแรงได้ ถ้าเขาไปเหยียบที่หยานจิงอย่างกะทันหัน บางทีอาจจะเป็นอย่างที่พี่รองบอกและสุดท้ายอาจเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นโดยไม่คาดคิดก็เป็นได้แล้วมีอีกอย่างที่จี้เฟิงนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเขามีความจำเป็นที่จะต้องไปที่หยานจิงจริงๆ พ่อคงเรียกตัวเขาให้ไปที่นั่นนานแล้ว
ความเงียบของจี้เฟิงทำให้จี้ช่าวเหลยคิดว่าเขาไม่พอใจดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอธิบายว่า น้องสาม ถ้านายอยากจะไปหาคุณปู่จริงๆ ฉันจะไปดูอาการคุณปู่ที่หยานจิงให้ก่อน แล้วถ้าเกิดว่าสุขภาพของท่านยังพอโอเคอยู่ ฉันจะลองพูดคุยปรึกษากับคุณลุงดู ถ้ายังไงแล้วฉันจะมาบอกนายอีกทีหนึ่งแล้วกัน โอเคมั้ย
จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม แน่นอน! ถ้าอย่างนั้นก็เหนื่อยหน่อยนะพี่รอง!
จี้ช่าวเหลยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า ไม่เหนื่อยหรอก ตราบใดที่นายไม่ก่อเรื่องยุ่งอะไรอีกในช่วงนี้ จะเรียกใช้ฉันเป็นร้อยครั้งฉันก็ยอม!
จู่ๆทั้งสองคนก็หัวเราะพรวดออกมาพร้อมกันจี้เฟิงกล่าวว่า จะหาว่าผมก่อเรื่องยุ่งก็ไม่ได้ ญาติๆพวกนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมสักหน่อย ทำไมผมถึงจะต้องยอมให้คำพูดของพวกเขามาส่งผลกระทบต่อตัวผมด้วยล่ะ
ครอบครัวของเขาที่อยู่หยานจิงนอกจากพ่อกับแม่ของเขาแล้ว จี้เฟิงก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใคร ส่วนเรื่องที่เขาจะเป็นรุ่นที่สามหรือไม่นั้น เอาเป็นว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับเขา แล้วทำไมเขาถึงต้องทนยอมให้คนที่ไม่ได้รู้จักกันมาทำร้ายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคด้วย
เขาไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น!
แม้ว่าจี้เฟิงจะรู้สึกโกรธอยู่บ้างเมื่อได้ยินสิ่งที่จี้ช่าวเหลยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนแรกแต่เขาก็ปรับอารมณ์ของเขาได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วเขาก็จะไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาเป็นอารมณ์
หลังจากวางสายกับจี้ช่าวเหลยคิ้วของจี้เฟิงก็ขมวดและใบหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้น
สุขภาพร่างกายของคุณปู่กำลังทรุดหนักลงเรื่อยๆ
จี้เฟิงเดินกอดอกวนไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่นเขาเดินไปมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กอดอกก็ใช้นิ้วแตะเบาๆที่แขนของเขา และทันใดนั้นก็มีความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในหัวของเขา
แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบหน้ากับชายชราคนนี้มาก่อนแต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ข้นกว่าน้ำและมันจะไม่มีวันถูกตัดขาด ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ระดับสูงภายในตระกูลมากนัก แต่เขาก็พอจะรู้ว่าการดำรงอยู่ของชายชราส่งผลต่อตระกูลจี้มากขนาดไหนและที่สำคัญไปกว่านั้นยังส่งผลต่อพ่อของเขามากอีกด้วย
ตอนนี้พ่อของฉันคงจะกำลังเป็นกังวลอยู่แม้ว่าคุณปู่จะยังมีชีวิตอยู่ แต่มีคนบางคนเริ่มที่จะรอไม่ได้แล้ว และความกดดันที่พ่อกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่!
อันที่จริงถ้าพ่อยอมแพ้แล้วรับปากว่าจะไม่ปล่อยให้ฉันต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สามความกดดันทั้งหลายที่เขากำลังเผชิญคงจะลดลงมาก
แต่จากการโทรมาของพี่รองมันก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพ่อของฉันจะต้องไม่ยอมแพ้ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน!
เมื่อคิดถึงพ่อแม้ระหว่างเขากับพ่อจะไม่มีคำพูดมากมาย แต่ความห่วงใยจากสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เขารับรู้ได้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันจะต้องหาวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ได้! จี้เฟิงกัดฟันและพูดอย่างลับๆ
มีเพียงสองวิธีในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้วิธีที่หนึ่ง ถ้าสุขภาพคุณปู่แข็งแรงขึ้น มันก็จะทำให้พ่อของเขาได้มีเวลามากขึ้นในการเตรียมการ ส่วนวิธีที่สอง ฆ่าพวกที่ไม่เห็นด้วยทั้งหมดโดยตรง!
เห็นได้ชัดว่าวิธีที่สองคงเป็นไปไม่ได้ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวของจี้เฟิงเพียงชั่วครู่แล้วมันก็หายไป
มีเพียงวิธีแรกเท่านั้น…และทันใดนั้นหัวใจของจี้เฟิงก็ขยับ
พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพ! จี้เฟิงเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ในเมื่อฉันสามารถใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อทำให้เทียนกั๋วถง เฉียวหรงแล้วก็คนอื่นๆเจ็บปวดทรมานได้ ฉันอาจจะสามารถใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อฟื้นฟูร่างกายของคุณปู่ได้!