จี้เฟิงแปลกใจเล็กน้อย นายพูดว่าอะไรนะ
เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับฮั่นจงที่จะให้เขาพูดอีกครั้งว่ามันไม่ง่ายที่จะจัดการ
ฮั่นจงขมวดคิ้วและกล่าวว่า ตามกฎของมหาวิทยาลัย คะแนนจะถูกหักถ้าเราไม่กลับไปอยู่ในหอพักในตอนกลางคืนและการให้เขียนคำสารภาพก็เป็นไปตามข้อบังคับจริงๆ แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน นักศึกษาทั้งหลายต่างก็ทำเหมือนกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือที่บันทึกอยู่ในเศษกระดาษ แต่ถ้ามีคนจงใจใช้เรื่องนี้ให้เกิดความยุ่งยากกับถงเล่ย เราก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้จริงๆ!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเขาเริ่มได้กลิ่นตุๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายหมายความว่ามีคนจงใจสร้างความวุ่นวายให้กับถงเล่ยงั้นเหรอ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเรื่องที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่ามันมุ่งเป้าไปที่ถงเล่ย และการไม่กลับในตอนกลางคืนมันก็เป็นการละเมิดกฎจริงๆ ไม่ว่าจะหักคะแนนหรือให้เขียนคำสารภาพก็เป็นเรื่องปกติที่สมเหตุสมผลคงไม่มีใครไปพูดอะไรได้
ต่อให้เป็นจี้เฟิงก็ไม่มีทางไม่พอใจเรื่องนี้อย่างแน่นอนถ้าไม่ถูกจับได้ก็ดีไป แต่ถ้าคนในสภานักศึกษาไม่สนใจนักศึกษาคนอื่นเลย แต่มุ่งเป้าไปที่ถงเล่ยเท่านั้นล่ะ…
ถูกต้องมีคนต้องการก่อความวุ่นวายจริงๆพูดก็พูดเถอะ ถ้าช่วงนี้ถงเล่ยยังไม่กลับไปอยู่ที่หอพัก ฉันกลัวว่าเธอจะถูกหักคะแนนอีก หรือไม่ก็ถูกให้เขียนคำสารภาพ ถ้าหนักหน่อยก็อาจจะถูกลงโทษ! ฮั่นจงกล่าวว่า ฉันลองถามเพื่อนของฉันดู ดูเหมือนว่าจะมีคนในสภานักศึกษากำลังเพ่งเล็งถงเล่ยอยู่!
แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ!
ฮั่นจงอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจใครมันจะบ้าได้ขนาดนั้น เขาคิดจริงๆหรือว่าหลานสาวของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งเจียงโจวจะเป็นเป้าหมายที่ง่าย
หึ! จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชา การคาดเดาของเขาถูกต้องจริงๆ มีคนกำลังเพ่งเล็งถงเล่ยอยู่
นายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ฮั่นจงถามด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าเรื่องไร้สาระแบบนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับถงเล่ยและจี้เฟิง อยากให้ฉันไปหาผอ.ให้มั้ย อยากจะรู้เหมือนกันว่า*ตัวตลกพวกนั้นยังจะกระโดดกันได้อีกมั้ย!
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม ไม่ต้อง ปล่อยให้พวกมันกระโดดต่อไปแบบนั้นแหละ!
ฮั่นจงพยักหน้าเล็กน้อยเขาคิดว่าจี้เฟิงน่าจะมีแผนอยู่ในใจแล้วถึงได้ตอบมาแบบนี้
งั้นเอาเป็นว่าถ้านายต้องการความช่วยเหลืออะไรขอแค่บอกมา! นายก็เหมือนพี่น้องของฉัน ไม่ต้องเกรงใจ ฮ่าฮ่า! ฮั่นจงหัวเราะ
จี้เฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า อ้อ!นายพอรู้หรือเปล่าว่าใครต้องการจะก่อความวุ่นวายให้กับถงเล่ย!
ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นใครฉันรู้เพียงแต่ว่าคำสั่งที่ให้ถงเล่ยเขียนคำสารภาพมาจากแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษา ฉันก็ยังว่ามันแปลกๆยังไงชอบกล เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่หน้าที่ของแผนกนั้น ฮั่นจงส่ายหัวเล็กน้อย
จี้เฟิงทำหน้าครุ่นคิดทำไมถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษาได้ล่ะ
เท่าที่เขาจำได้ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเองหรือถงเล่ย พวกเขาไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับแผนกนั้นเลย แต่ทำไมตอนนี้คนในแผนกแนะแนวนักศึกษาถึงได้เพ่งเล็งไปที่ถงเล่ย หรือจะมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก?
จู่ๆหัวใจของจี้เฟิงก็สั่นเขารีบถามว่า ใครเป็นหัวหน้าแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษา
เหมือนจะสกุลเว่ย..แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ทำไมฉันถึงไม่ถามมาให้รู้แล้วรู้รอดไปว้า! ฮั่นจงบ่นตัวเองด้วยความเขินอาย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สอบถามข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย
ใครจะไปคิดจี้เฟิงเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า ฉันพอจะรู้แล้วล่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิด หัวหน้าแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษา ไม่ชื่อเว่ยเฉียงก็เว่ยเฉินหลิง นายลองไปหาให้ทีว่าใช่หนึ่งในสองคนนี้หรือเปล่า!
โอเค!ไม่ต้องห่วงคราวนี้ฉันจะสืบหาตั้งแต่ตัวหัวหน้าแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษาไปยันบรรพบุรุษโคตรเหง้าของเขาซักแปดรุ่น ใครใช้ให้มันกล้าหมายหัวถงเล่ยแฟนพี่น้องร่วมหอพักของฉันกัน! ฮั่นจงพูดพร้อมกัดฟัน
เพื่อนร่วมหอพักที่นับถือกันราวกับพี่น้องถูกคนอื่นหาเรื่องในเจียงโจวแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เรื่องนี้ทำให้เขาซึ่งเป็นคนท้องถิ่นรู้สึกอับอายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายกำลังพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิง เรื่องนี้มันยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า ไปที่ที่หนึ่งกับฉันก่อน!
ฮั่นจงพยักหน้าเขาถอนหายใจพร้อมกับพิงเบาะนั่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ลงเล็กน้อย เฮ้! เหล่าจี้ นายฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่าเนี่ย BMWx6 เลยเหรอ รถคันนี้ฉันเล็งมานานแล้ว แต่คงไม่มีหวังที่จะได้ครอบครองมัน!
จี้เฟิงชำเลืองมองเขาด้วยรอยยิ้มขณะสตาร์ทรถ นายยังไม่มีรถขับเหรอ ระดับฮั่นกรุ๊ปซะอย่าง อย่าว่าแต่ BMW เลย ต่อให้เป็นปอร์เช่ (Porsche) หรือแลมบอร์กีนี (Lamborghini) ขนหน้าแข้งยังไม่ทันได้กระดิกเลยด้วยซ้ำ
จะบ้าเหรอ!
ฮั่นจงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา นายพูดคิดว่าบ้านฉันเป็นธนาคารรึไง หึ! พ่อฉันเข้มงวดจะตาย เงินทุกหยวนที่ใช้จ่ายจะต้องรายงานให้ตรงเป๊ะๆ เหลือเท่าไหร่ก็ต้องคืนให้หมด ถ้าขาดแม้แต่หยวนเดียว เงินเดือนในเดือนถัดไปก็จะถูกหักไปครึ่งหนึ่ง แล้วนายคิดว่าฉันยังจะได้รถมาใช้ง่ายๆอยู่อีกมั้ย?! จี้เฟิงหัวเราะร่วนแต่แอบพยักหน้าให้กับผู้อาวุโสในบ้านของฮั่นจงอย่างเห็นด้วยเขาอบรมสั่งสอนลูกหลานได้ดีมาก อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดที่จะสปอยลูกตัวเอง แม้จะยิ่งใหญ่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยอย่างโง่เขลาเหมือนพวกคนรวยส่วนใหญ่ที่มักจะตามใจลูก แม้ว่าฮั่นจงจะมีความเฉลียวฉลาดในแบบของนักธุรกิจแต่เขาก็เป็นคนที่จริงใจ ดังนั้นคนแบบนี้จึงน่าคบหาเป็นอย่างมาก!
เมื่อมองดูทิวทัศน์ภายนอกฮั่นจงก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย นี่เราจะไปไหนกัน ดูยังไงมันก็ไม่ใช่ทางออกจากมหาลัย นี่มัน..อาคารกิจการของรัฐ?!
จี้เฟิงจอดรถที่ลาดจอดรถหน้าอาคารเปิดประตูและลงจากรถด้วยรอยยิ้ม มาเถอะ ฉันก็เพิ่งเคยมาที่ตึกนี้เหมือนกัน ฉันมีอะไรต้องไปทำนิดหน่อย!
นายจะจัดการปัญหาของถงเล่ยผ่านอาจารย์ใหญ่ของมหาลัยเหรอ ฮั่นจงถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก อาคารของรัฐเป็นอาคารสำนักงานของมหาวิทยาลัยและทุกสำนักงานที่คอยดูแลความเรียบร้อยภายในมหาวิทยาลัยอยู่ในอาคารนี้
ก็ไม่เชิง จี้เฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันแค่มาสมัครบัตรอะไรนิดหน่อย
บัตรรับรองที่พักเหรอ! ดวงตาของฮั่นจงเป็นประกาย และเขาก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ เหล่าจี้นายนี่จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!
ฮ่าฮ่า!มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ!
การมาหาอาจารย์ใหญ่สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่ถงเล่ยไม่ได้อยู่ที่หอพักในเวลากลางคืนได้ก็จริงแต่มันก็แก้ได้เพียงเรื่องเดียว ในมหาวิทยาลัยมีกฎระเบียบมากมาย ถ้าหากมีคนเพ่งเล็งจะหาเรื่องถงเล่ยอยู่จริงๆล่ะก็ เรื่องมันก็จะไม่จบแค่เพียงเท่านี้!
ไม่ว่านักเรียนนักศึกษาจะพยายามรักษากฎระเบียบมากแค่ไหนก็ต้องมีบางครั้งที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบกันบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นทางมหาวิทยาลัยเองก็ปิดตาข้างหนึ่งและปล่อยให้นักศึกษาได้มีอิสระ หากใครที่ไม่เคยละเมิดกฎของมหาวิทยาลัยเลยก็อายที่จะบอกว่าเคยผ่านการศึกษาในมหาวิทยาลัยมาก่อน
ดังนั้นการละเมิดกฎจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ดังนั้นก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะถูกคนอื่นจับได้ตลอดเวลา และมันก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อในทันที
จี้เฟิงจะปล่อยให้เรื่องผิดพลาดเล็กน้อยเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ดังนั้นที่เขามาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อสมัครบัตรรับรองให้ถงเล่ยและตัวเขาเอง
หลังจากสมัครบัตรรับรองนี้แล้วมันจะเทียบเท่ากับการเช่ายืมหอพักในมหาวิทยาลัยตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ที่นี่ ค่าที่พักจะถูกหักเป็นรายปีและที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยเสมอไป เพราะยังไงก็เป็นแค่ที่พักชั่วคราวอยู่ดี
ด้วยวิธีนี้ถงเล่ยจึงเทียบเท่ากับการได้รับกระบี่อาญาสิทธิ์ และไม่จำเป็นต้องอยู่ในหอพักในเวลากลางคืนตลอดเวลาและไม่มีใครมาว่าอะไรได้อีก
แต่จุดประสงค์ของจี้เฟิงไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้หลังจากที่ได้บัตรรับรองแล้ว เขาจะไม่เผยแพร่เรื่องนี้โดยเด็ดขาดยกเว้นแต่คนของเขาเอง จะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับบัตรรับรองนี้
เขาจะรอคนจากแผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษาหรือคนจากสภานักศึกษามาตรวจสอบเพื่อให้พวกเขาเปิดเผยแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ และหลังจากนั้นเขาจะตลบหลังด้วยบัตรรับรองนี่และจะเอาคืนให้ร้องไห้จนจำทางกลับบ้านไม่ถูกเลย
ถ้าจะสมัครบัตรรับรองเราควรจะไปที่สำนักงานทั่วไปใช่มั้ย จี้เฟิงมองไปที่ป้ายที่อยู่ตรงประตูสำนักงานตรงหน้าเขาและหันไปถามฮั่นจง
ฮั่นจงเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่เขามีท่าทีลังเลและพูดว่า เราลองเข้าไปถามข้างในดูเลยแล้วกัน!
จี้เฟิงเคาะประตูแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆแต่เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อกเขาจึงผลักประตูและเดินเข้าไป
มีพนักงานสองคนอยู่ในสำนักงานดูเหมือนว่ากำลังจะเล่นคอมพิวเตอร์อยู่เมื่อพวกเขาเห็นจี้เฟิงเดินเข้ามา พวกเขาก็ชักสีหน้าทันที และหนึ่งในนั้นก็พูดอย่างดุๆว่า พวกคุณสองคนทำอะไร ทำไมถึงได้เข้ามาในสำนักงานโดยไม่เคาะประตูก่อน?
จี้เฟิงและฮั่นจงต่างมองหน้ากันผู้ชายคนนี้ป่วยหรือเปล่า
จี้เฟิงกระแอมไอเล็กน้อยเขายิ้มและพูดว่า ขออภัย พอดีว่าเมื่อครู่เราเคาะประตูแล้วแต่คุณคงทำอะไรอยู่จนไม่ได้ยิน
ถ้ารู้ว่าคนเขาไม่ได้ยินก็เคาะอีกครั้งสิถ้าทุกคนเข้ามาในสำนักงานง่ายๆตามใจตัวเองเหมือนคุณ พวกเราจะทำงานกันยังไง! ชายคนนั้นโบกมืออย่างหมดความอดทน ออกไปแล้วไปเคาะประตูใหม่อีกครั้ง!
ฮั่นจงก็หมดความอดทนเช่นกัน เหอะ! ทำงานเหรอ คนหนึ่งกำลังนั่งเล่นไพ่นกกระจอกอีกคนเล่นโป๊กเกอร์?! นี่ยังเป็นเวลางานอยู่ไม่ใช่เหรอ? ตัวเองเป็นเสมียนแท้ๆแต่ทำตัวแบบนี้แล้วยังจะมีหน้ามาต่อว่าคนอื่นอีกเหรอ?!
คุณว่าอะไรนะ!
พนักงานทั้งสองคนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีพวกเขาจะทำอะไรแล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับคนอื่น เด็กสองคนนี้ใหญ่โตมาจากไหนกัน
ออกไปซะ!อย่ามาทำให้พวกฉันเสียเวลา! พนักงานคนหนึ่งตะโกนด้วยเสียงต่ำ
จี้เฟิงขมวดคิ้ว คุณสามารถอยู่ในสำนักงานทั่วไปได้ แม้จะมีทัศนคติในการทำงานแบบนี้น่ะเหรอ นี่หรือทัศนคติของคนที่ทำงานบริการให้กับนักเรียนนักศึกษา?
จากไม่พอใจเล็กน้อยพนักงานทั้งสองคนเริ่มที่จะโกรธมากขึ้นเรื่อยๆและหนึ่งในนั้นเป็นชายสวมแว่นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที โอเค! ในเมื่อคุยกันดีๆแล้วไม่ยอมออกไป ฉันก็จะโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยให้มาลากพวกนายออกไป! โอ้วกลัวแล้วคร้าบ! ฮั่นจงโบกมือพร้อมกับทำหน้าเยาะเย้ย ฉันละไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกคุณสองคนได้เข้ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง คนที่รับเข้ามาสงสัยจะตาบอด ทำงานเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้!
รอรับการลงโทษได้เลย! ชายคนนั้นวางโทรศัพท์และตะคอกอย่างดุเดือด
จี้เฟิงส่ายหัวด้วยความผิดหวังมีคนแบบนี้อยู่ทุกที่จริงๆ ให้ตายเหอะ!
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งดังมาจากด้านนอกและเจ้าหน้าที่ที่สวมแว่นก็หัวเราะเยาะเย้ย เหอะๆ ตอนนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถึงแล้ว ฉันจะคอยดูว่าพวกคุณสองคนจะยังทำตัวอวดดีมาหาเรื่องคนอื่นเหมือนเมื่อกี้ได้อยู่อีกหรือเปล่า!
จี้เฟิงราวกับได้ยินเรื่องตลกแต่เป็นตลกร้ายที่ทำให้เขาเริ่มที่จะไม่สบอารมณ์ อวดดี ใครกันแน่ที่หาเรื่อง?! ผู้ชายคนนี้กลับดำให้เป็นขาวได้อย่างหน้าด้านๆ!
ปึง! ประตูห้องของสำนักงานทั่วไปถูกผลักเปิดออกและมีคนที่ดูเหมือนนักศึกษาเข้ามาและหนึ่งในนั้นก็ตะโกนว่า ใครเป็นคนสร้างปัญหาในสำนักงานของมหาวิทยาลัย!
สองคนนั้นไงรีบพาพวกเขาไปที่ห้องยามแล้วสอบถามข้อมูลเพื่อบันทึกคำให้การของพวกเขาสิ อย่าลืมถามรหัสนักศึกษาแล้วก็ชั้นเรียนด้วย จะได้ลงโทษตามระเบียบวินัยของมหาวิทยาลัยได้ไม่ผิดตัว! พนักงานใส่แว่นตะโกนด้วยความไม่พอใจ พฤติกรรมของนักศึกษาสองคนนี้แย่มาก ไม่ใช่แค่เข้ามาโดยพลการแล้วมาส่งเสียงดังในสำนักงานเท่านั้น แต่พวกเขายังพูดจาหาเรื่องพวกเราด้วย! แถมเตือนแล้วก็ไม่ฟัง แบบนี้ต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง!
จี้เฟิงและฮั่นจงถึงกับพูดไม่ออกพวกเขาเคยเห็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายมาก่อน แต่ตัวร้ายที่เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นพระเอกได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าจะให้พูดกันตามตรงพวกเขาเข้ามาทำเสียงดังในสำนักงานก็เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะพวกเขาฝ่ายเดียวงั้นเหรอ เขาใช้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงแต่ใส่สีตีไข่ให้มันดูเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและทำให้ตัวเองกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วได้ยังไง? เก่งจริงๆ!
พวกคุณสองคนมากับเราก่อนเราจะได้จัดการเรื่องนี้ให้กระจ่าง! เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งกล่าวว่า ได้โปรดอย่าทำให้เจ้าหน้าที่สำนักงานได้รับความเดือดร้อนที่นี่… เอ๊ะ! จี้เฟิง!