นายเทียนนี่คุณกำลังจะบอกว่าไอ้ลูกหมาจี้เฟิงมันเก่งกว่าคุณงั้นเหรอ แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าคำถามที่เธอถามออกไปนั้นไม่สุภาพ แต่เฉียวหรงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปตรงๆ ในความคิดของเธอจี้เฟิงเป็นเพียงลูกหมาตัวน้อยๆ หากเธอต้องการจะจัดการกับเขามันก็เป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น
เหตุผลที่เธอไม่ได้รีบร้อนที่จะจัดการกับจี้เฟิงเป็นเพราะส่วนหนึ่งเธอคิดว่าเมื่อไหร่ที่เธอต้องการเธอก็สามารถจัดการกับจี้เฟิงได้ตลอดเวลาและอีกทางหนึ่งเธอจะต้องรอบคอบในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตระกูลจี้ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าอิทธิพลของจี้เจิ้นกั๋วในเจียงโจวนั้นมันยิ่งใหญ่มาก
นอกจากนี้พลังของตระกูลเฉียวในปัจจุบันไม่อาจเทียบได้กับพลังของตระกูลจี้เลยเฉียวหรงต้องทนอยู่กับสิ่งนี้และได้แต่เฝ้าดูลูกชายของเธอที่นอนในโรงพยาบาลเดียวกันแต่ก็ไม่สามารถที่จะไปพบเขาได้
แต่ตอนนี้จู่ๆจี้เฟิงกลายเป็นผู้ที่มีพลังมหาศาลสิ่งนี้ทำให้เฉียวหรงไม่อาจทำใจยอมรับได้ มันเป็นแค่ไอ้เด็กพันทางที่เกิดมาจากผู้หญิงชั้นต่ำที่อยากจะถีบตัวเองขึ้นที่สูง!
อย่างไรก็ตามสีหน้าและบรรยากาศที่ตึงเครียดของเทียนกั๋วถงทำให้เฉียวหรงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เทียนกั๋วถงถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังมากที่สุดคนหนึ่งแล้วถ้าแม้แต่เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิง แล้วใครกันล่ะถึงจะหยุดจี้เฟิงได้
นายเทียนบอกฉันมาตามตรงเถอะระหว่างคุณกับจี้เฟิงใครแข็งแกร่งกว่ากัน เฉียวหรงถามอย่างไม่เต็มใจ
ตอนนี้…ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เทียนกั๋วถงส่ายหัวเล็กน้อยถ้าพูดถึงแต่เรื่องพลัง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิงอย่างแน่นอน ความน่าสะพรึงกลัวของปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โดยกำเนิดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้
อย่างไรก็ตามหากคุณนับในแง่มุมอื่นเข้าไปด้วยยกตัวอย่างเช่น สภาพแวดล้อม ประสบการณ์ และปัจจัยอื่นๆ มันสามารถเพิ่มโอกาสชนะให้กับเทียนกั๋วถงได้อย่างน้อยก็ 50-50
แน่นอนว่าเทียนกั๋วถงไม่สามารถบอกเฉียวหรงถึงสิ่งเหล่านี้ได้เพราะทันทีที่เขาพูดมันจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจเทียบเท่ากับจี้เฟิงได้ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่เอื้ออำนวยต่อความร่วมมือระหว่างทางสำนักและตระกูลเฉียว
แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยเทียนกั๋วถงก็กังวลว่าผู้หญิงที่ค่อนข้างจะสุดโต่งคนนี้จะทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล
ตัวอย่างเช่นในครั้งนี้หวังเหวินเหลียงถูกเฉียวหรงยุยงให้ไปท้าทายจี้เฟิง ที่จริงแล้วเขาแค่ต้องการจับตัวจี้เฟิงมาเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาปรากฏว่าหวังเหวินเหลียงเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสและอีกนานหลายเดือนกว่าที่เขาจะสามารถลุกจากเตียงได้ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
คุณนายเฉียวฉันมองว่าในเมื่อตอนนี้ศิษย์น้องเฉียวและคนอื่นๆก็อยู่ในโรงพยาบาลนี้มันเป็นเรื่องง่ายที่จะติดต่อกับพวกเขา ทำไมเราไม่ส่งศิษย์น้องหวังกลับไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีพาตัวศิษย์น้องเฉียวและศิษย์น้องคนอื่นๆไป ตราบใดที่เราไปที่สำนัก ไม่ว่าตระกูลจี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ เทียนกั๋วถงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
เฉียวหรงขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ฟัง ทำไม คุณอยากให้ลูกชายของฉันกลายเป็นอาชญากรที่ต้องถูกตามล่าตัวไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ? ถ้าหนีตอนนี้ ด้วยพลังแห่งตระกูลจี้จะต้องออกคำสั่งระดับประเทศแน่นอน แล้วเราจะยิ่งลำบากกว่าตอนนี้เสียอีก!
แล้วท่านหญิงคิดว่าเราควรทำอย่างไร เทียนกั๋วถงอดไม่ได้ที่จะถาม ถ้าสู้กันตรงๆไม่ได้ผลเราก็ต้องโจมตีจากคนรอบตัวของจี้เฟิง ต้วนเผิงเป็นเหยื่อที่เหมาะสมที่สุด ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไอ้ลูกหมาจี้เฟิงมันจะไม่สนใจความเป็นความตายของคนรอบข้าง ก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วที่จี้ช่าวเหลยกับจี้เฟิงมันออกตัวเพื่อปกป้องต้วนเผิงและครั้งนี้มันก็ต้องทำเช่นนั้นอีกแน่นอน!
แต่ท่านหญิงคุณไม่ได้เป็นคนบอกเองหรือว่าต้วนเผิงกลับไปที่หยานจิงแล้วและกำลังดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของเขาทั้งหมด มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น เทียนกั๋วถงถามด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด แม้ว่าฉันจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการดำเนินการเชิงพาณิชย์เหล่านี้ แต่ฉันคิดว่าถ้าเราเร่งรีบเกินไป คนของตระกูลจี้คงไม่ยอมอยู่เฉยแน่!
เฉียวหรงถึงกับสะอึกและหายใจไม่ออกไปชั่วขณะอันที่จริงหลังจากที่เฉียวเจียไคข่มขู่ต้วนเผิงล้มเหลวในครั้งล่าสุด ต้วนเผิงจึงกลับไปที่หยานจิงทันทีเพื่อค้นหากองกำลังของตระกูลเฉียวและพบว่ามันเป็นเพียงกองกำลังจากภายนอกเท่านั้น
แล้วถ้าเฉียวหรงยังคิดที่จะบังคับขู่เข็ญต้วนเผิงด้วยวิธีเดิมอีกครั้งเธอก็กลัวว่าจะมีหลายๆคนไม่เห็นด้วย
ตระกูลต้วนเคยเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในหยานจิงมาก่อนและในเวลาต่อมาความยิ่งใหญ่นั้นก็ค่อยๆลดลงจนตกต่ำยิ่งกว่าตระกูลเฉียวและสิ่งนี้ก็ค่อยๆเลือนหายไปจากสายตาของผู้คน
อย่างไรก็ตามหลังจากสิ่งที่ตระกูลต้วนเคยสั่งสมมาเป็นเวลานานพวกเขายังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลอื่นๆอยู่บ้าง เพราะแม้แต่ทายาทรุ่นที่สามแห่งตระกูลจี้ จี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงก็ยังแสดงออกถึงทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อตระกูลต้วนด้วยการสนับสนุนต้วนเผิงโดยที่ตั้งตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตระกูลเฉียวอย่างไม่ลังเล หลังจากกัดฟันด้วยความแค้นเฉียวหรงก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา งั้นก็อย่าเพิ่งไปยุ่งกับต้วนเผิง รอเวลาที่เหมาะสมก่อน แต่คนรอบตัวจี้เฟิงยังมีคนอื่นอีก! ฉันจะปล่อยให้ไอ้เด็กพันทางลูกของผู้หญิงชั้นต่ำแบบนั้นมาทุบตีลูกชายของฉันฟรีๆได้ยังไง!
เทียนกั๋วถงขมวดคิ้วและพูดว่า ท่านหญิง มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก หากเราจะไปยั่วโมโหผู้ที่มีพลังโดยกำเนิด มันเป็นปัญหาเสียยิ่งกว่าการไปยั่วโมโหตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเสียอีก
ท้ายที่สุดแล้วตระกูลใหญ่ต่างก็มีธุรกิจที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่คอยหล่อเลี้ยงตระกูลการที่จะทำอะไรพวกเขาจะคิดไตร่ตรองให้ดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นตระกูลใหญ่ส่วนมากแล้วพวกเขาจะไม่ต่อสู้กับคนอื่นจนถึงแก่ความตายง่ายๆ พวกเขาไม่ยอมแลกที่จะทำให้ปลาตายแล้วตาข่ายต้องขาดอย่างแน่นอน (ทุ่มเททั้งหมดเพื่อต่อสู้กันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง,หรือถ้าจะตายก็จะลากอีกฝ่ายให้ตายไปด้วย)
แต่นั่นไม่ใช่กับปรมาจารย์ที่แท้จริงโดยกำเนิดเขาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าเราทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาเพียงคนเดียวก็สามารถฆ่าล้างบางได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถปิดบังซ่อนเร้นตัวเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะมีอิทธิพลหรือพรรคพวกมากแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มยามตลอด 24 ชั่วโมง ไอรีนโนเวล
แม้ว่าจะมีคนมาคอยปกป้องไว้ตลอด24 ชั่วโมงจริงๆ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาเหล่านั้นสามารถปกป้องคุณได้
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นฝ่ายไปหาเรื่องปรมาจารย์ที่แท้จริงโดยกำเนิดก่อนนอกเสียจากว่าคุณจะยอมแม้กระทั่งการสละชีวิตของตัวเองไปด้วยเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นไม่รู้จบนี้
อย่างไรก็ตามข้อเสนอของเฉียวหรงนั้นไม่ดีอย่างเห็นได้ชัดการจับตัวคนรอบข้างของจี้เฟิงเพื่อใช้แบล็กเมล์เขา สิ่งนี้อาจทำให้รู้สึกสะใจได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ที่จี้เฟิงพร้อมจะเผชิญหน้า ทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้อาจจะไม่มีเวลาได้หวาดกลัวด้วยซ้ำ!
มีความกังวลอีกอย่างที่เทียนกั๋วถงไม่ได้กล่าวไว้…จี้เฟิงเป็นนักศิลปะการต่อสู้โดยกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อย จากสิ่งนี้สามารถจินตนาการได้ว่าอาจารย์ของเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด หากปราศจากคำสอนของอาจารย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะฝึกฝนตัวเองให้เป็นนักศิลปะการต่อสู้โดยกำเนิด
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากไปยั่วยุบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสองคนนี้พวกเขาคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติอีกเลย
ใบหน้าของเฉียวหรงบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ได้ จะให้ยืนดูลูกชายตัวเองติดคุกไปเฉยๆแบบนี้น่ะหรอ
ไม่!
ฉันจะไม่มีวันยอมให้ลูกชายของฉันต้องเข้าคุกเข้าตะรางอย่างเด็ดขาด! ในขณะนั้นเองดวงตาของเทียนกั๋วถงก็หรี่ลงอย่างกะทันหันและเขาก็ตะโกน ใคร!
ฟึ่บ~~!
เทียนกั๋วถงหันหลังกลับอย่างกะทันหันและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วเป็นระยะทางสี่ถึงห้าเมตรในสองขั้นตอนเขาก็มาถึงที่ประตูห้องพักฟื้นและคว้าร่างที่สวมชุดสีขาวไว้
ปรากฏว่าเป็นนายแพทย์คนหนึ่งที่อยู่ในชุดกาวน์อายุประมาณ 24-25ปี ใบหน้าของเขาดูตื่นตระหนก
คุณมาทำอะไรที่ประตู! เทียนกั๋วถงถามอย่างเย็นชา
หมอหนุ่มยิ้มอย่างขมขื่น ผมเป็นหมอ ผมก็ต้องมาตรวจคนไข้สิ!
จริงรึ เทียนกั๋วถงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วทำไมฉันต้องเชื่อคำพูดคุณ?!
หมอหนุ่มพูดด้วยความโกรธ แล้วจะให้ผมไปจัดการกับความเชื่อของคุณได้ยังไง คุณต่างหากเป็นใคร ทำไมถึงปฏิบัติตัวต่อคนอื่นอย่างไร้เหตุผล ไม่รู้จักคำว่าสุภาพชนเหรอ? ผมไม่เคยเห็นญาติคนไข้ที่ไหนมีทัศนคติที่แย่แบบคุณมาก่อนเลย ไร้มารยาทจริงๆ!
ในขณะที่หมอหนุ่มพูดพล่ามไม่หยุดเทียนกั๋วถงไม่มีท่าทีคล้อยตามเลยแม้แต่น้อยเขายังคงจับตัวหมอหนุ่มไว้และถามอย่างเย็นชา คุณได้ยินที่พวกเราคุยกันเมื่อกี้หรือไม่!
ปล่อยผมเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะโทรแจ้งตำรวจ! หมอหนุ่มก็พูดด้วยความโกรธเช่นกัน คุณเป็นคนที่ป่าเถื่อนจริงๆ!
เทียนกั๋วถงจ้องมองเข้าไปในแววตาของหมอหนุ่มอย่างลึกล้ำราวกับพยายามจะหาคำโกหกแต่หมอหนุ่มก็จ้องมองเขากลับมาด้วยความโกรธ
ขอโทษทีเมื่อกี้ฉันคงใจร้อนไปหน่อย! เทียนกั๋วถงปล่อยมือจากปกคอเสื้อของหมอหนุ่มและพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งลง ตอนนี้คุณก็ไปทำงานของคุณได้แล้ว
ฮึ่ม! หมอหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ช่างมันเถอะ! มาเจอเรื่องแบบนี้ใครมันจะไปมีอารมณ์ตรวจวอร์ดคนไข้กัน!
เมื่อพูดจบหมอหนุ่มก็จากไปด้วยความโกรธเคือง
เฉียวหรงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า คุณเทียน อย่าระแวงมากไปเลย มันเป็นเรื่องปกติในโรงพยาบาลที่จะมีหมอหรือพยาบาลเวรคอยเดินตรวจเช็คอยู่เรื่อยๆ
เทียนกั๋วถงไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากส่ายหัวเล็กน้อยเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการหายใจของหมอหนุ่มเร็วกว่าปกติแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกในบางอย่างและมีความสับสนทางอารมณ์ปะปนอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่น่าใช่หมอเวรมาเดินตรวจตามปกติ
แต่นี่คือโรงพยาบาลเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก!
……………….
ใครจะรู้ว่าเทียนกั๋วถงเดาถูกทันทีที่หมอหนุ่มเดินออกมาจากวอร์ดและเห็นว่าไม่มีใครตามมา เขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
เขามองไปรอบและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเขาจึงเดินไปที่ลิฟต์ทันทีและออกจากพื้นที่ผ่านทางเดินพิเศษเฉพาะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
เมื่อเขาเดินมาถึงชั้นหกของแผนกผู้ป่วยในและเห็นตำรวจเฝ้าอยู่ที่ประตูในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงและหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลข
เจ้านายผมอยู่ที่นอกวอร์ดของเฉียวเจียไคและคนอื่นๆ ตอนนี้ผมปลอมตัวเป็นหมอเวรเพื่อเดินตรวจสอบ ปรากฏว่า…
………………
บนแท่นบรรยายศาสตราจารย์วัยกลางคนคนหนึ่งกำลังพูดถึงพื้นฐานแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันจี้เฟิงที่นั่งสะลึมสะลือมาตั้งแต่ต้นในที่สุดเขาก็ตัดสินใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ขั้นแรกเขาอ่านหนังสือและใช้การท่องจำทั้งหมดจากนั้นจึงค่อยมาทำความเข้าใจกับมันในภายหลัง
ตืดดดดด~~!
เสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงสั่นเขาหยิบขึ้นมาดู และเมื่อเห็นว่าเป็นจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของเขาโทรมา เขาจึงมองไปรอบๆ และแอบออกจากห้องเรียนมาอย่างเงียบๆทางประตูหลังแล้วรับโทรศัพท์
พี่รองมีอะไรเหรอ
น้องสามมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นฉันเลยต้องรีบโทรมาเตือนนายให้เร็วที่สุด มีคนต้องการจะโจมตีคนรอบๆตัวนาย…. ทันทีที่จี้ช่าวเหลยพูด ดวงตาของจี้เฟิงก็สว่างวาบไปด้วยเจตนาฆ่า!
ใครแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?! จี้เฟิงถามอย่างเย็นชา
จี้ช่าวเหลยกล่าวว่า เป็นเด็กของฉันคนหนึ่งที่ปลอมไปเป็นหมออยู่ที่นั่น ฉันส่งไปเพื่อติดตามสถานการณ์ในโรงพยาบาล เพราะเฉียวเจียไคยังคงอยู่ที่นั่น และเพื่อที่ฉันจะได้รับข้อมูลโดยตรงหากมีอะไรเกิดขึ้น…
เขาอธิบายอย่างรวดเร็วว่าหมอปลอมคนที่เขาส่งไปได้รู้อะไรมาบ้างและเกิดอะไรขึ้นกับหมอปลอม
ดวงตาของจี้เฟิงกะพริบอย่างต่อเนื่องเมื่อได้ยินเขากัดฟันและถามว่า เฉียวหรงและคนพวกนั้นยังอยู่ในโรงพยาบาลในเวลานี้ใช่หรือเปล่า!
ใช่! จี้ช่าวเหลยรีบกล่าวต่อว่า น้องสาม อย่าผลีผลาม ใจเย็นๆก่อน คนที่อยู่รอบตัวเฉียวหรงล้วนเป็นคนมีฝีมือดี ฉันจะส่งคนไปช่วยนายหรือจะให้ฉันโทรหาตำรวจโดยตรงเพื่อจัดการเรื่องนี้!
ไม่!ผมจัดการเอง! เขาพูดอย่างเย็นชาและวางสายทันที
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคนของฉันได้อย่างเด็ดขาด!
เมื่อพูดจบจี้เฟิงก็ยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเสื้อโดยไม่ได้กลับเข้าห้องเรียนเพื่อไปเก็บหนังสือเรียนด้วยซ้ำ เขาไปที่ลานจอดรถชั้นล่างและขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชนแห่งเจียงโจวทันที!
ในเมื่อพวกแกรนหาที่ตายกันนักฉันก็จะจัดให้!