คำพูดของจี้ช่าวเหลยทำให้จี้เฟิงตกตะลึงไปพักใหญ่ๆเขารู้สึกเหมือนหัวใจดิ่งวูบ “ทำไม”
“….สภาพร่างกายของคุณปู่เกิดทรุดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาก็เดินไม่ได้จนต้องนั่งแต่รถเข็น แต่ล่าสุดก็กลับทรุดหนักลงอีกจนเขาต้องเข้ารับการรักษาตัวในพื้นที่พิเศษภายในโรงพยาบาล แม้แต่ฉันยังได้เห็นคุณปู่แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่ตอนนั้นเขาก็เริ่มไม่พูดไม่ค่อยชัดแล้ว” จี้ช่าวเหลยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเขาก็รู้ดีว่าตระกูลจี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากคุณปู่จากไป
“คุณปู่จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”จี้เฟิงขมวดคิ้วแน่นและถามด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด
จี้ช่าวเหลยถึงกับหายใจไม่ออกเขาไม่คิดว่าจี้เฟิงจะถามออกมาตรงๆแบบนี้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่จี้ช่าวเหลยก็กล่าวว่า “ตามการวินิจฉัยของแพทย์ คุณปู่น่าจะอยู่ได้ไม่เกินฤดูหนาวนี้”
หัวใจของจี้เฟิงดิ่งวูบลงทันทีเขาได้แต่นิ่งอึ้ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดออกมาช้าๆว่า “ผมเข้าใจแล้ว”
เสียงถอนหายใจเบาๆของจี้ช่าวเหลยดังมาจากโทรศัพท์และพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า“ตอนนี้ไม่ว่าใครถ้าต้องการเข้าไปพบคุณปู่ จะต้องผ่านขั้นตอนเยอะมากกว่าจะได้รับการอนุมัติ นอกจากนี้คุณลุงใหญ่กับพ่อของฉันก็แทบจะนั่งไม่ติด เพราะตั้งแต่ที่อาการของคุณปู่เริ่มแย่ลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ในหยานจิงก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ฉันลองถามคุณลุงใหญ่ดูแล้ว เขาก็บอกว่าอย่าเพิ่งให้นายมาที่หยานจิงในตอนนี้เลยจะดีกว่า”
“พ่อไม่อยากให้ฉันไปหยานจิง”คิ้วของจี้เฟิงยิ่งขมวดแน่นขึ้น สุขภาพร่างกายของคุณปู่แย่ลงทุกวันแต่พ่อก็ยังไม่อยากให้ฉันไปหยานจิง? สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอาจมีปัญหาบางอย่างรอเขาอยู่ หรือตราบเท่าที่เขาไปหยานจิงปัญหาก็จะเกิดในทันที และพ่อคงต้องการที่จะปกป้องฉันถึงไม่เห็นด้วยที่จะให้ฉันไปหยานจิงในเวลานี้!
“พี่รองถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากให้พี่อยู่ที่หยานจิงต่ออีกสักพัก แล้วคอยบอกผมเกี่ยวกับสุขภาพของคุณปู่แล้วก็สถานการณ์บางอย่างในหยานจิง” จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเสริมว่า “อ้อ! ถ้าพี่พอจะมีเวลาฝากไปดูแม่ของผมให้หน่อยสิ ครั้งสุดท้ายที่แม่โทรมา ผมพอจะฟังออกว่าเธออยู่ทางนั้นไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
“เหอะ!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอย่างเย็นชา “จะให้สบายใจได้ยังไง มีผู้หญิงปากยื่นปากยาวสองสามคนที่กลัวว่าโลกจะสงบสุขเกินไปคอยพ่นแต่เรื่องแย่ๆออกมาทั้งวัน เจอแบบนี้ทุกวันๆ จะให้ป้าใหญ่สบายใจได้ยังไง! แต่น้องสามนายก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากจนเกินไป ตอนที่มาถึงฉันได้ไปเยี่ยมป้าใหญ่แล้ว ถึงเธอจะไม่สบายใจ แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นเมื่อลุงใหญ่รักษาสถานการณ์ได้ทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม”
ดวงตาของจี้เฟิงส่องประกายเย็นยะเยือกเขาแสยะยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว… พี่รองอย่าลืมบอกข่าวเรื่องอาการของคุณปู่ให้ผมรู้เรื่อยๆนะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยคจากนั้นก็วางสายไป
จี้เฟิงจอดรถไว้ข้างถนนเขาจุดบุหรี่อย่างช้าๆและสูบมันเงียบๆ แต่ดวงตาของเขานั้นส่องประกายเย็นยะเยือกออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมองใกล้ๆจะเห็นเลยว่ามือของเขานั้นกำพวงมาลัยไว้แน่น เส้นเลือดที่นูนสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามระงับความโกรธที่อยู่ในใจ
ถงเล่ยนั่งอยู่ข้างๆเธอกำลังจ้องมองจี้เฟิงที่กำลังระงับความโกรธด้วยดวงตาคู่สวยของเธอ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เธอรู้เพียงแค่ว่าจี้เฟิงโกรธ อาจเรียกได้ว่าโกรธมาก ตั้งแต่เธอรู้จักกับจี้เฟิงมา เธอไม่เคยเห็นจี้เฟิงเป็นแบบนี้ มีอะไรที่ทำให้จี้เฟิงโกรธได้มากขนาดนี้
แม้ว่าถงเล่ยจะเป็นคนฉลาดหัวไวแต่เธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะพูดปลอบโยนจี้เฟิงอย่างไร
“ฟู่~”หลังจากปล่อยควันบุหรี่ครั้งสุดท้าย จี้เฟิงก็โยนก้นบุหรี่เข้าไปในที่เขี่ยบุหรี่ของรถแล้วยิ้มเล็กน้อย “ป่ะ! ฉันจะไปส่งเธอที่มหาลัยก่อน”
ตามมาตรฐานของระบบฝึกสุดยอดสายลับเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่เขาได้ฝึกฝนมา จี้เฟิงยอมรับเลยว่ามันทำให้เขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับพ่อแม่ของเขาโดยตรง เขาแทบจะไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาให้เห็นเลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ภายนอก
“จี้เฟิงฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น… ใช่มั้ย” ถงเล่ยพูดเบาๆ จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“วางใจเถอะฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ฉันแค่อยากสูบบุหรี่ให้หัวโล่งๆหน่อย”
ถงเล่ยยิ้มอย่างอ่อนหวานและพูดเบาๆ“ฉันรู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายจะพยายามทำมันอย่างเต็มที่ และจะเอาชนะมันได้ในที่สุด”
จี้เฟิงหัวเราะทันทีเขาเหยียบคันเร่งอีกครั้งและขับรถไปส่งถงเล่ยที่มหาวิทยาลัย
หลังจากบรรยากาศภายในรถเงียบไปครู่หนึ่งจี้เฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ที่จริงแล้วเธอคิดผิด”
“ห๊ะ”
ถงเล่ยงุนงงที่จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้นเธอหันไปมองจี้เฟิงอย่างอ่อนโยน “ทำไมเหรอ ฉันคิดผิดเรื่องอะไร?”
จี้เฟิงกระซิบ“ไม่ใช่ว่าฉันสามารถเอาชนะทุกอย่างได้หรอกนะ มีหลายอย่างที่ฉันไม่สามารถทนได้และจะไม่ทน ตัวอย่างเช่นหากเธอและคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวฉันได้รับบาดเจ็บ คนที่ทำไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันจะต้องเจ็บกว่าร้อยเท่า! และเธอคือคนที่ฉันห่วงใยมากที่สุด!”
แม้เสียงของเขาจะเบาแต่นอกจากถงเล่ยจะได้ยินมันอย่างชัดเจนแล้วคำพูดเหล่านี้ยังกระแทกเข้าไปในจิตใจของเธออย่างแรงด้วยเธอรู้สึกเจ็บและคัดจมูกขึ้นมาทันที เธอรีบหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ แต่ภายในใจของเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
เพราะถงเล่ยรู้ดีว่าจี้เฟิงไม่เคยโกหกเธอสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นเรื่องจริง
ความรู้สึกที่มีความสุขเอ่อล้นออกมาจากหัวใจถงเล่ยพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตา แต่มีรอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ
ถงเล่ยพูดอย่างหนักแน่นและจริงจังอยู่ในใจ“จี้เฟิง… นายก็เป็นคนที่ฉันห่วงใยมากที่สุดเช่นกันและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายไปอย่างแน่นอน!”
ถงเล่ยไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมาเธอแค่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ เหมือนเป็นคำสาบานที่เธออยากจะเก็บมันไว้ในใจ และสิ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้จี้เฟิงรู้
อีกอย่างหนึ่งเธอคงรู้สึกเขินๆและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกถ้าพูดประโยคแบบนี้ออกไป เธอจำได้ว่าไม่กี่วันก่อนตอนที่กำลังนั่งดูทีวี มีข่าวบันเทิงที่ดาราสองคนแต่งงานกัน คนหนึ่งเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดี แต่อีกคนไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก การคบหาและแต่งงานกันของทั้งสองคนจึงเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจมาก
ดาราคนหนึ่งกล่าวในขณะนั้นว่า“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่พรากจากกัน”
แต่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ว่ากันว่าทั้งสองคนได้ผ่านขั้นตอนการหย่าร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างเงียบๆ… มีคำสัมภาษณ์จากฝ่ายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุผลของการหย่าร้างไว้เพียงข้อเดียวว่า “นิสัยส่วนตัวเข้ากันไม่ได้”
ถงเล่ยไม่ต้องการให้คำสาบานของเธอเป็นเพียงแค่ลมปากไม่อย่างนั้นมันคงดูไร้ค่าเกินไป
เธอเลือกที่จะตั้งมั่นคำสาบานนี้ไว้ในใจและรักจี้เฟิงไปแบบเงียบๆ…ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้ว่าถงเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่โทรศัพท์จากจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาทำให้เขารู้สึกแย่มาก เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกมาว่าเขาไม่เป็นไรและมีความสุขดีต่อหน้าถงเล่ย แต่ที่จริงแล้วเขาไม่สามารถลบความไม่สบายใจนี้ออกไปได้เลย แต่เพียงเพราะการควบคุมสีหน้าที่ดีทำให้เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
อย่างไรก็ตามอารมณ์ที่เดิมทีควบคุมได้ดีมากของจี้เฟิงกลับแย่ลงเมื่อได้ยินคำพูดของถงเล่ยก่อนที่เธอจะลงรถไป
“จี้เฟิงว่ากันว่าคืนนี้แผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษาจะมาตรวจดูหอพักถ้าพบว่ามีนักศึกษาคนไหนไม่กลับหอพักในตอนกลางคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่เพียงแต่จะต้องเขียนคำสารภาพผิดเท่านั้นแต่ยังต้องอ่านรายงานนั้นต่อหน้าคนทั้งชั้นด้วย!” ถงเล่ยมุ่ยปากน้อยๆของเธอ และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันได้ยินเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งบอกว่า เหมือนจะมีคนมาตรวจที่หอพักฉันโดยเฉพาะ…”
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนทันทีดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็นิ่งไปก่อนที่จะยิ้มออกมา “ในเมื่อพวกเขาอยากจะตรวจสอบนัก ก็ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบไป เราไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก!”
“แต่..”ใบหน้าของถงเล่ยดูเศร้า เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากเขียนคำสารภาพผิดอีกเล่ม แถมยังต้องอ่านมันต่อหน้าคนทั้งชั้นอีก..
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“อย่าคิดมากสิ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอมีบัตรรับรองที่พักแล้ว ไม่เห็นจะต้องไปกลัวพวกนั้นเลย”
“แล้วนายล่ะ!”ถงเล่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันก็มี!”จี้เฟิงหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหน่า ฉันกลัวว่าพวกเขาจะไม่มาตรวจมากกว่าซะอีก เธอรีบไปเถอะ!”
เขาบีบแก้มนิ่มๆของถงเล่ยอย่าเอ็นดูและอดยิ้มไม่ได้
“อื้อ!”ถงเล่ยพยักหน้าอย่างโล่งอก เธอเชื่อว่าเมื่อจี้เฟิงพูดออกมาแบบนี้แล้ว เขาจะต้องมีวิธีจัดการกับมันอย่างแน่นอน จี้เฟิงสำหรับถงเล่ยแล้ว เธอมั่นใจในตัวจี้เฟิงเสมอ
เมื่อร่างที่สวยงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆเดินไปห้องสมุดอย่างมีความสุขจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เขากลับรถและขับรถออกไป
“พี่จี้!”เขาเพิ่งจะมาถึงที่ประตู ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกชื่อเขาดังขึ้น คนคนนั้นคือโจวหลี่รองกัปตันของแผนกรักษาความปลอดภัย
จี้เฟิงหยุดรถและยิ้ม“หัวหน้าโจว วันหยุดสุดสัปดาห์แท้ๆ คุณยังทำงานอีกเหรอเนี่ย!” “ใครจะยอมพลาดค่าโอทีชั่วโมงนึงตั้งหลายสิบหยวนเชียวนะ!” โจวหลี่หัวเราะอย่างร่าเริง เขารู้ว่าเมื่อคุยกับจี้เฟิงผู้ที่ขับรถ BMWx6 คงไม่ระคายหากคุยถึงเงินเพียงไม่กี่สิบหยวน แต่มันก็เป็นโจ๊กที่ใช่ได้ที่ต้องทำเหมือนว่าเงินหลายสิบหยวนเป็นเงินก้อนโต
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเขาส่งบุหรี่ให้โจวหลี่ ทั้งสองคนคุยกันอยู่สองสามประโยคก่อนที่จี้เฟิงจะจากไป
ทันทีที่เขาออกจากประตูมหาวิทยาลัยใบหน้าของจี้เฟิงก็ดำมืดอย่างน่ากลัว ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาจอดรถไว้ข้างถนนและจุดบุหรี่อีกครั้ง จิตใจของเขาในเวลานี้สั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงโทรศัพท์จากพี่ชายคนที่สองของเขา
สภาพร่างกายของคุณปู่ทรุดโทรมลงอย่างมากในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองเดือน เขาเปลี่ยนจากการนั่งรถเข็นเป็นเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แบบนี้ต่อให้มองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็คงไม่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้
จี้เฟิงสูบบุหรี่เข้าไปลึกๆแล้วเกาหัว ปัญหาต่างๆยากที่จะแก้ไขจริงๆ
ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจถึงความถี่ผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้แล้วแต่ถึงแม้เขาจะฟื้นพละกำลังของชายชราขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาชายชราให้ดีขึ้นแบบเห็นผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการรักษาคนป่วยโดยเฉพาะเกี่ยวกับสุขภาพของคุณปู่ของเขา เขาก็แทบจะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย เขารู้เพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะเป็นการดูแลในชีวิตประจำวันหรือการดูแลรักษา คนที่มีหน้าที่ดูแลจะต้องรับผิดชอบหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น!
นอกจากนี้การรักษาคุณปู่จะต้องรายงานรายละเอียดต่างๆและผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดหลายขั้นตอนถึงจะได้รับการอนุมัติให้รักษาได้
ดังนั้นสิ่งที่เขาจะต้องทำเพื่อให้ได้รับการอนุมัติคืออะไร
บอกพวกเขาว่าตัวเองเป็นเด็กสมองอัจฉริยะหรือบอกว่าฉันมีพลังเหนือธรรมชาติ?
งี่เง่าสิ้นดี!ใครมันจะไปเชื่อ! หรือต่อให้มีคนเชื่อจริงๆ ใครมันจะปล่อยให้เขาทดลองง่ายๆ พูดเป็นเล่น! เพราะถ้าหากเกิดเรื่องกับชายชราขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่างๆที่เชื่อมโยงกันอยู่มันกว้างเกินไป จะเกิดการปะทะกันจากหลายๆฝ่าย และดูเหมือนว่าแต่ละฝ่ายจะใหญ่มากซะด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะเกิดการสั่นคลอนระดับประเทศ!
สีหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนไปและในที่สุดเขาก็กัดฟันกรอด“ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ฉันก็แค่บุกเข้าไปโต้งๆแล้วทำการรักษาคุณปู่โดยตรงไปเลยก็แล้วกัน! ยังไงก็ดีกว่ารออยู่ที่นี่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อย่างน้อยต่อให้ไปแล้วได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องของคุณปู่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย!”
“….สภาพร่างกายของคุณปู่เกิดทรุดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาก็เดินไม่ได้จนต้องนั่งแต่รถเข็น แต่ล่าสุดก็กลับทรุดหนักลงอีกจนเขาต้องเข้ารับการรักษาตัวในพื้นที่พิเศษภายในโรงพยาบาล แม้แต่ฉันยังได้เห็นคุณปู่แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่ตอนนั้นเขาก็เริ่มไม่พูดไม่ค่อยชัดแล้ว” จี้ช่าวเหลยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเขาก็รู้ดีว่าตระกูลจี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากคุณปู่จากไป
“คุณปู่จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”จี้เฟิงขมวดคิ้วแน่นและถามด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด
จี้ช่าวเหลยถึงกับหายใจไม่ออกเขาไม่คิดว่าจี้เฟิงจะถามออกมาตรงๆแบบนี้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่จี้ช่าวเหลยก็กล่าวว่า “ตามการวินิจฉัยของแพทย์ คุณปู่น่าจะอยู่ได้ไม่เกินฤดูหนาวนี้”
หัวใจของจี้เฟิงดิ่งวูบลงทันทีเขาได้แต่นิ่งอึ้ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดออกมาช้าๆว่า “ผมเข้าใจแล้ว”
เสียงถอนหายใจเบาๆของจี้ช่าวเหลยดังมาจากโทรศัพท์และพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า“ตอนนี้ไม่ว่าใครถ้าต้องการเข้าไปพบคุณปู่ จะต้องผ่านขั้นตอนเยอะมากกว่าจะได้รับการอนุมัติ นอกจากนี้คุณลุงใหญ่กับพ่อของฉันก็แทบจะนั่งไม่ติด เพราะตั้งแต่ที่อาการของคุณปู่เริ่มแย่ลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ในหยานจิงก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ฉันลองถามคุณลุงใหญ่ดูแล้ว เขาก็บอกว่าอย่าเพิ่งให้นายมาที่หยานจิงในตอนนี้เลยจะดีกว่า”
“พ่อไม่อยากให้ฉันไปหยานจิง”คิ้วของจี้เฟิงยิ่งขมวดแน่นขึ้น สุขภาพร่างกายของคุณปู่แย่ลงทุกวันแต่พ่อก็ยังไม่อยากให้ฉันไปหยานจิง? สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอาจมีปัญหาบางอย่างรอเขาอยู่ หรือตราบเท่าที่เขาไปหยานจิงปัญหาก็จะเกิดในทันที และพ่อคงต้องการที่จะปกป้องฉันถึงไม่เห็นด้วยที่จะให้ฉันไปหยานจิงในเวลานี้!
“พี่รองถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากให้พี่อยู่ที่หยานจิงต่ออีกสักพัก แล้วคอยบอกผมเกี่ยวกับสุขภาพของคุณปู่แล้วก็สถานการณ์บางอย่างในหยานจิง” จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเสริมว่า “อ้อ! ถ้าพี่พอจะมีเวลาฝากไปดูแม่ของผมให้หน่อยสิ ครั้งสุดท้ายที่แม่โทรมา ผมพอจะฟังออกว่าเธออยู่ทางนั้นไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
“เหอะ!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอย่างเย็นชา “จะให้สบายใจได้ยังไง มีผู้หญิงปากยื่นปากยาวสองสามคนที่กลัวว่าโลกจะสงบสุขเกินไปคอยพ่นแต่เรื่องแย่ๆออกมาทั้งวัน เจอแบบนี้ทุกวันๆ จะให้ป้าใหญ่สบายใจได้ยังไง! แต่น้องสามนายก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากจนเกินไป ตอนที่มาถึงฉันได้ไปเยี่ยมป้าใหญ่แล้ว ถึงเธอจะไม่สบายใจ แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นเมื่อลุงใหญ่รักษาสถานการณ์ได้ทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม”
ดวงตาของจี้เฟิงส่องประกายเย็นยะเยือกเขาแสยะยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว… พี่รองอย่าลืมบอกข่าวเรื่องอาการของคุณปู่ให้ผมรู้เรื่อยๆนะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยคจากนั้นก็วางสายไป
จี้เฟิงจอดรถไว้ข้างถนนเขาจุดบุหรี่อย่างช้าๆและสูบมันเงียบๆ แต่ดวงตาของเขานั้นส่องประกายเย็นยะเยือกออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมองใกล้ๆจะเห็นเลยว่ามือของเขานั้นกำพวงมาลัยไว้แน่น เส้นเลือดที่นูนสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามระงับความโกรธที่อยู่ในใจ
ถงเล่ยนั่งอยู่ข้างๆเธอกำลังจ้องมองจี้เฟิงที่กำลังระงับความโกรธด้วยดวงตาคู่สวยของเธอ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เธอรู้เพียงแค่ว่าจี้เฟิงโกรธ อาจเรียกได้ว่าโกรธมาก ตั้งแต่เธอรู้จักกับจี้เฟิงมา เธอไม่เคยเห็นจี้เฟิงเป็นแบบนี้ มีอะไรที่ทำให้จี้เฟิงโกรธได้มากขนาดนี้
แม้ว่าถงเล่ยจะเป็นคนฉลาดหัวไวแต่เธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะพูดปลอบโยนจี้เฟิงอย่างไร
“ฟู่~”หลังจากปล่อยควันบุหรี่ครั้งสุดท้าย จี้เฟิงก็โยนก้นบุหรี่เข้าไปในที่เขี่ยบุหรี่ของรถแล้วยิ้มเล็กน้อย “ป่ะ! ฉันจะไปส่งเธอที่มหาลัยก่อน”
ตามมาตรฐานของระบบฝึกสุดยอดสายลับเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่เขาได้ฝึกฝนมา จี้เฟิงยอมรับเลยว่ามันทำให้เขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับพ่อแม่ของเขาโดยตรง เขาแทบจะไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาให้เห็นเลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ภายนอก
“จี้เฟิงฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น… ใช่มั้ย” ถงเล่ยพูดเบาๆ จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“วางใจเถอะฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ฉันแค่อยากสูบบุหรี่ให้หัวโล่งๆหน่อย”
ถงเล่ยยิ้มอย่างอ่อนหวานและพูดเบาๆ“ฉันรู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายจะพยายามทำมันอย่างเต็มที่ และจะเอาชนะมันได้ในที่สุด”
จี้เฟิงหัวเราะทันทีเขาเหยียบคันเร่งอีกครั้งและขับรถไปส่งถงเล่ยที่มหาวิทยาลัย
หลังจากบรรยากาศภายในรถเงียบไปครู่หนึ่งจี้เฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ที่จริงแล้วเธอคิดผิด”
“ห๊ะ”
ถงเล่ยงุนงงที่จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้นเธอหันไปมองจี้เฟิงอย่างอ่อนโยน “ทำไมเหรอ ฉันคิดผิดเรื่องอะไร?”
จี้เฟิงกระซิบ“ไม่ใช่ว่าฉันสามารถเอาชนะทุกอย่างได้หรอกนะ มีหลายอย่างที่ฉันไม่สามารถทนได้และจะไม่ทน ตัวอย่างเช่นหากเธอและคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวฉันได้รับบาดเจ็บ คนที่ทำไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันจะต้องเจ็บกว่าร้อยเท่า! และเธอคือคนที่ฉันห่วงใยมากที่สุด!”
แม้เสียงของเขาจะเบาแต่นอกจากถงเล่ยจะได้ยินมันอย่างชัดเจนแล้วคำพูดเหล่านี้ยังกระแทกเข้าไปในจิตใจของเธออย่างแรงด้วยเธอรู้สึกเจ็บและคัดจมูกขึ้นมาทันที เธอรีบหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ แต่ภายในใจของเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
เพราะถงเล่ยรู้ดีว่าจี้เฟิงไม่เคยโกหกเธอสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นเรื่องจริง
ความรู้สึกที่มีความสุขเอ่อล้นออกมาจากหัวใจถงเล่ยพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตา แต่มีรอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ
ถงเล่ยพูดอย่างหนักแน่นและจริงจังอยู่ในใจ“จี้เฟิง… นายก็เป็นคนที่ฉันห่วงใยมากที่สุดเช่นกันและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายไปอย่างแน่นอน!”
ถงเล่ยไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมาเธอแค่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ เหมือนเป็นคำสาบานที่เธออยากจะเก็บมันไว้ในใจ และสิ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้จี้เฟิงรู้
อีกอย่างหนึ่งเธอคงรู้สึกเขินๆและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกถ้าพูดประโยคแบบนี้ออกไป เธอจำได้ว่าไม่กี่วันก่อนตอนที่กำลังนั่งดูทีวี มีข่าวบันเทิงที่ดาราสองคนแต่งงานกัน คนหนึ่งเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดี แต่อีกคนไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก การคบหาและแต่งงานกันของทั้งสองคนจึงเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจมาก
ดาราคนหนึ่งกล่าวในขณะนั้นว่า“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่พรากจากกัน”
แต่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ว่ากันว่าทั้งสองคนได้ผ่านขั้นตอนการหย่าร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างเงียบๆ… มีคำสัมภาษณ์จากฝ่ายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุผลของการหย่าร้างไว้เพียงข้อเดียวว่า “นิสัยส่วนตัวเข้ากันไม่ได้”
ถงเล่ยไม่ต้องการให้คำสาบานของเธอเป็นเพียงแค่ลมปากไม่อย่างนั้นมันคงดูไร้ค่าเกินไป
เธอเลือกที่จะตั้งมั่นคำสาบานนี้ไว้ในใจและรักจี้เฟิงไปแบบเงียบๆ…ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้ว่าถงเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่โทรศัพท์จากจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาทำให้เขารู้สึกแย่มาก เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกมาว่าเขาไม่เป็นไรและมีความสุขดีต่อหน้าถงเล่ย แต่ที่จริงแล้วเขาไม่สามารถลบความไม่สบายใจนี้ออกไปได้เลย แต่เพียงเพราะการควบคุมสีหน้าที่ดีทำให้เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
อย่างไรก็ตามอารมณ์ที่เดิมทีควบคุมได้ดีมากของจี้เฟิงกลับแย่ลงเมื่อได้ยินคำพูดของถงเล่ยก่อนที่เธอจะลงรถไป
“จี้เฟิงว่ากันว่าคืนนี้แผนกแนะแนวชีวิตนักศึกษาจะมาตรวจดูหอพักถ้าพบว่ามีนักศึกษาคนไหนไม่กลับหอพักในตอนกลางคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่เพียงแต่จะต้องเขียนคำสารภาพผิดเท่านั้นแต่ยังต้องอ่านรายงานนั้นต่อหน้าคนทั้งชั้นด้วย!” ถงเล่ยมุ่ยปากน้อยๆของเธอ และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันได้ยินเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งบอกว่า เหมือนจะมีคนมาตรวจที่หอพักฉันโดยเฉพาะ…”
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนทันทีดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็นิ่งไปก่อนที่จะยิ้มออกมา “ในเมื่อพวกเขาอยากจะตรวจสอบนัก ก็ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบไป เราไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก!”
“แต่..”ใบหน้าของถงเล่ยดูเศร้า เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากเขียนคำสารภาพผิดอีกเล่ม แถมยังต้องอ่านมันต่อหน้าคนทั้งชั้นอีก..
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“อย่าคิดมากสิ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอมีบัตรรับรองที่พักแล้ว ไม่เห็นจะต้องไปกลัวพวกนั้นเลย”
“แล้วนายล่ะ!”ถงเล่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันก็มี!”จี้เฟิงหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหน่า ฉันกลัวว่าพวกเขาจะไม่มาตรวจมากกว่าซะอีก เธอรีบไปเถอะ!”
เขาบีบแก้มนิ่มๆของถงเล่ยอย่าเอ็นดูและอดยิ้มไม่ได้
“อื้อ!”ถงเล่ยพยักหน้าอย่างโล่งอก เธอเชื่อว่าเมื่อจี้เฟิงพูดออกมาแบบนี้แล้ว เขาจะต้องมีวิธีจัดการกับมันอย่างแน่นอน จี้เฟิงสำหรับถงเล่ยแล้ว เธอมั่นใจในตัวจี้เฟิงเสมอ
เมื่อร่างที่สวยงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆเดินไปห้องสมุดอย่างมีความสุขจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เขากลับรถและขับรถออกไป
“พี่จี้!”เขาเพิ่งจะมาถึงที่ประตู ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกชื่อเขาดังขึ้น คนคนนั้นคือโจวหลี่รองกัปตันของแผนกรักษาความปลอดภัย
จี้เฟิงหยุดรถและยิ้ม“หัวหน้าโจว วันหยุดสุดสัปดาห์แท้ๆ คุณยังทำงานอีกเหรอเนี่ย!” “ใครจะยอมพลาดค่าโอทีชั่วโมงนึงตั้งหลายสิบหยวนเชียวนะ!” โจวหลี่หัวเราะอย่างร่าเริง เขารู้ว่าเมื่อคุยกับจี้เฟิงผู้ที่ขับรถ BMWx6 คงไม่ระคายหากคุยถึงเงินเพียงไม่กี่สิบหยวน แต่มันก็เป็นโจ๊กที่ใช่ได้ที่ต้องทำเหมือนว่าเงินหลายสิบหยวนเป็นเงินก้อนโต
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเขาส่งบุหรี่ให้โจวหลี่ ทั้งสองคนคุยกันอยู่สองสามประโยคก่อนที่จี้เฟิงจะจากไป
ทันทีที่เขาออกจากประตูมหาวิทยาลัยใบหน้าของจี้เฟิงก็ดำมืดอย่างน่ากลัว ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาจอดรถไว้ข้างถนนและจุดบุหรี่อีกครั้ง จิตใจของเขาในเวลานี้สั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงโทรศัพท์จากพี่ชายคนที่สองของเขา
สภาพร่างกายของคุณปู่ทรุดโทรมลงอย่างมากในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองเดือน เขาเปลี่ยนจากการนั่งรถเข็นเป็นเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แบบนี้ต่อให้มองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็คงไม่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้
จี้เฟิงสูบบุหรี่เข้าไปลึกๆแล้วเกาหัว ปัญหาต่างๆยากที่จะแก้ไขจริงๆ
ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจถึงความถี่ผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้แล้วแต่ถึงแม้เขาจะฟื้นพละกำลังของชายชราขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาชายชราให้ดีขึ้นแบบเห็นผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการรักษาคนป่วยโดยเฉพาะเกี่ยวกับสุขภาพของคุณปู่ของเขา เขาก็แทบจะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย เขารู้เพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะเป็นการดูแลในชีวิตประจำวันหรือการดูแลรักษา คนที่มีหน้าที่ดูแลจะต้องรับผิดชอบหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น!
นอกจากนี้การรักษาคุณปู่จะต้องรายงานรายละเอียดต่างๆและผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดหลายขั้นตอนถึงจะได้รับการอนุมัติให้รักษาได้
ดังนั้นสิ่งที่เขาจะต้องทำเพื่อให้ได้รับการอนุมัติคืออะไร
บอกพวกเขาว่าตัวเองเป็นเด็กสมองอัจฉริยะหรือบอกว่าฉันมีพลังเหนือธรรมชาติ?
งี่เง่าสิ้นดี!ใครมันจะไปเชื่อ! หรือต่อให้มีคนเชื่อจริงๆ ใครมันจะปล่อยให้เขาทดลองง่ายๆ พูดเป็นเล่น! เพราะถ้าหากเกิดเรื่องกับชายชราขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่างๆที่เชื่อมโยงกันอยู่มันกว้างเกินไป จะเกิดการปะทะกันจากหลายๆฝ่าย และดูเหมือนว่าแต่ละฝ่ายจะใหญ่มากซะด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะเกิดการสั่นคลอนระดับประเทศ!
สีหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนไปและในที่สุดเขาก็กัดฟันกรอด“ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ฉันก็แค่บุกเข้าไปโต้งๆแล้วทำการรักษาคุณปู่โดยตรงไปเลยก็แล้วกัน! ยังไงก็ดีกว่ารออยู่ที่นี่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อย่างน้อยต่อให้ไปแล้วได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องของคุณปู่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย!”