บทที่ 320 วิธีการของอาสาม
การปรุงยาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกประสบความสำเร็จมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกปลื้มปีติมาก
หลังจากตรวจสอบแล้วว่ายาทุกๆเม็ดไม่มีปัญหาอะไรจี้เฟิงก็หยิบขึ้นมาและกลืนลงไปทันที
เขาหลับตาลงและสงบสติอารมณ์เพื่อที่จะได้สัมผัสถึงพลังของกระแสไฟฟ้าที่มาจากตัวยาชนิดพิเศษนี้
ทันทีที่เขากลืนยาลงไปความร้อนก็แผ่กระจายออกมาจากลำคอและไหลลงไปยังกระเพาะอาหาร จากนั้นความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่กระจายไปทั่วแขนขาและซึมลึกไปจนถึงกระดูก ความรู้สึกนี้มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตัวแข็งทื่อ
วืดดด~!
ความรู้สึกร้อนวูบวาบวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วแต่แทบจะในทันทีที่ความร้อนไหลเวียนไปทั่วร่างกายก็กลายเป็นเหมือนกับกระแสน้ำอุ่นที่ทำให้รู้สึกสบายตัวภายในชั่วพริบตา จี้เฟิงรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลัง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังที่มาจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากมายนี้ทำให้เขารู้สึกสดชื่น!
“มันได้ผล!”จี้เฟิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ไม่มีข้อมูลหรือการทดลองอะไรดีกว่าไปกว่าการเป็นหนูลองยาด้วยตัวเองแล้ว!
ผลของกระแสไฟฟ้าจากยาวิเศษนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจมากแต่เขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้เต็มที่นัก เพราะสมองหมายเลข 1 ได้บอกกับเขาไว้ว่ากระแสไฟฟ้าจากยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงบางอย่าง แม้ว่ายาที่เขาทำออกมาในครั้งนี้จะเป็นแบบเรียบง่ายที่ลดประสิทธิภาพลงมาครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่จี้เฟิงก็ไม่กล้าประมาท เพราะสุขภาพของผู้อาวุโสเฒ่านั้นแย่มากอยู่แล้ว ถ้าผลข้างเคียงรุนแรงเกินไปร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าคงไม่สามารถรับมันได้
จี้เฟิงยังคงนั่งอยู่ในรถเขาจุดบุหรี่และรอผลข้างเคียงของยาออกฤทธิ์อย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเข็มบนนาฬิกาบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงที่จี้เฟิงรอคอยก็ยังไม่มีวี่แววที่จะปรากฏขึ้นเสียที
“เกิดอะไรขึ้น”จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากสมองหมายเลข 1 ได้กล่าวว่ายาตัวนี้มีผลข้างเคียง แม้จะลดคุณภาพลงแล้วก็ตาม แต่ทำไมจนป่านนี้เขายังไม่รู้สึกอะไรเลย
สิ่งที่จี้เฟิงแปลกใจมากที่สุดคือเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าผลของยาได้ผ่านพ้นไปแล้วกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งนั้นลดลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกอ่อนแอที่เป็นผลข้างเคียงหลังจากที่ยากระแสชีวภาพแบบเร่งรัดหมดฤทธิ์ยังไม่ปรากฏขึ้น
“คุณสมองมันเกิดอะไรขึ้น” จี้เฟิงกลับเข้ามาในจิตสำนึกของเขาอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะถามทันที
“มาสเตอร์ร่างกายของคุณแข็งแกร่งกว่าร่างกายของคนทั่วไปมาก ประสิทธิภาพของกระแสไฟฟ้าจากยาจึงไม่เพียงพอดังนั้นมันจึงไม่มีผลข้างเคียง!” สมองหมายเลข 1 รู้ว่าจี้เฟิงต้องการจะถามอะไร เขาจึงอธิบายทันที
“แล้วถ้าคนที่อ่อนแอกินมันเข้าไปล่ะ”จี้เฟิงถามอีกครั้ง
“จะต้องมีผลข้างเคียงอย่างแน่นอนเว้นเสียแต่ว่าร่างกายของผู้ที่ได้รับยาไฟฟ้าชีวภาพแบบเร่งรัดจะมีกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งอย่างของมาสเตอร์!” สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเขาส่ายหัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสเฒ่าจะมีพลังงานไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งมากพอ ซึ่งนั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่าหากผู้อาวุโสเฒ่าใช้ยาตัวนี้มันจะเกิดผลข้างเคียงอย่างแน่นอน “แล้วถ้าฉันถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าไปในร่างกายผู้ใช้ยาเพื่อชดเชยตรงส่วนที่ขาดหายไปมันจะช่วยชดเชยผลข้างเคียงของกระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดนี้ได้หรือเปล่า” จี้เฟิงนึกขึ้นได้เลยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ในทางทฤษฎีนั้นมีความเป็นไปได้ครับมาสเตอร์แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในฐานข้อมูล สมองจึงไม่สามารถตอบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน!” สมองหมายเลข 1 กล่าว
“ตุ้บ!”
จี้เฟิงชกหมัดเข้ากับฝ่ามือและยิ้มอย่างมีความหวัง“ในเมื่อในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ มันก็หมายความว่าขอแค่จัดการเรื่องนี้ให้ดี เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จก็สูง”
เขารีบออกจากจิตใต้สำนึกทันทีในที่สุดความเคร่งเครียดที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วก็จางหายไป
ยากระแสไฟฟ้าชีวภาพแบบเร่งรัดไม่ใช่วิธีหลักในการรักษาผู้อาวุโสเฒ่าพูดกันตามตรงยาพวกนี้เป็นเพียงแค่ใบเบิกทางเท่านั้นผลลัพธ์ที่แท้จริงของพวกมันคือการพาจี้เฟิงไปพบกับผู้อาวุโส!
ในการรักษาผู้อาวุโสที่แท้จริงแล้วจี้เฟิงยังคงต้องใช้คุณสมบัติที่ผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพทำให้เกิดเรโซแนนซ์ (อธิบายไว้ใน
บทที่ 283) ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อาวุโสทำให้เซลล์สามารถฟื้นฟูพลังด้วยตัวมันเองอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้เซลล์ในร่างกายจะเกิดวงจรการฟื้นฟูอย่างเหมาะสมไม่รุนแรงจนเกินไป จนกระทั่งการทำงานของร่างกายผู้อาวุโสจะเสื่อมสภาพลงอย่างสมบูรณ์ในที่สุด…
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องพบผู้อาวุโสให้ได้ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าวิธีการรักษาจะเป็นแบบไหนก็ไร้ประโยชน์
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็ขมวดคิ้วอีกครั้งดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก สีหน้าของเขามืดครึ้มลง
เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาจุดบุหรี่และหาของที่พอจะช่วยแผนการฉุกเฉินของเขาได้ เขาพบเข้ากับด้ายบางๆจากกล่องเครื่องมือในรถ เขานำมันมาผูกติดกับก้นบุหรี่และแขวนไว้ที่นอกหน้าต่างรถ
ในเวลานี้ท้องฟ้ายังคงสลัวๆและแสงไฟจากบุหรี่ก็เห็นได้ชัดเจนมากพอ
จี้เฟิงมุดออกมาจากทางหน้าต่างรถอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบไม่ทำให้รถเกิดการสั่นสะเทือนใดๆเลย
จากนั้นจี้เฟิงก็แนบตัวติดชิดกับรถและค่อยๆเดินอ้อมไปทางด้านข้างเขาเคลื่อนตัวไปแนบชิดกับกำแพงอย่างรวดเร็ว ตลอดกระบวนการนั้นเงียบเชียบจนไม่มีเสียงใดๆออกมาเลย
มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่นอกกำแพงของโรงงานผลิตยา
ชายคนนี้อายุประมาณ30 ปี มีสีหน้าเย็นชา เขายืนอยู่บนต้นไม้ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกันกับต้นไม้ ถ้าไม่ได้ใส่ใจก็คงจะบอกไม่ได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ แต่เอาเข้าจริงจะมีใครมองขึ้นมาไปต้นไม้ในตอนเช้ามืดแบบนี้!
แต่จี้เฟิงสังเกตเห็นและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่จู่ๆเขาก็ออกจากรถมาอย่างเงียบเชียบ
ชายผู้เคร่งขรึมนี้ยืนอยู่บนต้นไม้ในมือของเขามีกล้องส่องทางไกล เขามองไปที่รถBMWx6 ที่จอดอยู่ในลานของโรงงานผลิตยา บุหรี่ที่ห้อยลงมาจากหน้าต่างรถถูกลมพัดปลิวไปมาอย่างแผ่วเบา ท้องฟ้าที่สลัวๆบวกกับระยะทาง มันทำให้ดูเหมือนว่ามีคนกำลังสูบบุหรี่อยู่
แต่ชายผู้เคร่งขรึมคนนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติถ้ามีคนสูบมันก็ต้องมีควันออกมาตลอด แต่ตอนนี้มีเพียงบุหรี่ที่ถูกจุดไฟไว้เคลื่อนไหวในความมืด ไม่เห็นควันเลย!
“เขารู้ตัวแล้วงั้นหรือ!”ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของชายผู้เคร่งขรึม เขาก็รู้สึกถึงสิ่งของที่เย็นเยียบที่คอของเขา และเสียงที่เย็นยะเยือกก็ดังขึ้น “ถ้าขัดขืน ตาย!”
วินาทีต่อมาชายผู้เคร่งขรึมรู้สึกเพียงว่าเอวของเขาชาและพละกำลังของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนเช้ามืดมีร่างหนึ่งอุ้มคนคนหนึ่งไว้ในมือและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยไม่ดึงดูดความสนใจใครเลย
ในรถBMWx6 จี้เฟิงจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายผู้เคร่งขรึม เขารู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าคนที่แอบสังเกตการณ์เขาจะเป็นหนึ่งในสามของบอดี้การ์ดของจี้เสี่ยวหยู
“คุณจับตาดูผมทำไม”จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
ชายคนนั้นนอนอยู่บนเบาะด้านหลังด้วยร่างกายที่อ่อนยวบเขาเงียบไม่พูดไม่จา แม้แต่สีหน้าที่เคร่งขรึมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัว“เป็นอาจี้เจิ้นผิงใช่มั้ยที่ส่งพวกคุณมาคอยสอดแนมผม”
ชายผู้เคร่งขรึมยังคงไม่พูดอะไรสักคำเขาเลือกที่จะหลับตาลง
แต่จี้เฟิงกลับยิ้มชายคนนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขากลับเป็นการยืนยันการคาดเดาของตัวเอง
ปึ้ก!
จี้เฟิงแตะไปที่ร่างกายของผู้ชายที่เคร่งขรึมอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นและพบว่าอาการชาในร่างกายของเขาหายไปเขาหันไปมองที่จี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ
“ในเมื่อคุณยังอยู่ในหน้าที่ของการเป็นบอดี้การ์ดให้เสี่ยวหยูอยู่คุณก็กลับไปทำหน้าที่ของคุณซะ” จี้เฟิงโบกมือแล้วพูดเสียงเรียบ
“มีคนขอให้ผมบอกคุณว่ามีคนกำลังรอดูความผิดพลาดของคุณ!”ในที่สุดชายผู้เคร่งขรึมก็ยอมเอ่ยปาก
จี้เฟิงคิดในใจว่าเป็นแบบนี้จริงๆด้วยเขายิ้มและพยักหน้า “ผมรู้ ขอบคุณมาก!” ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า“ผมจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดตามความเป็นจริง!”
“แน่นอน!”จี้เฟิงหัวเราะ แต่เขาก็แอบคิดในใจว่า ‘สิ่งที่ฉันรออยู่ก็คือให้นายไปรายงานตามความเป็นจริงนี่แหละ!’
ชายคนผู้เคร่งขรึมมองลึกลงไปที่ในดวงตาของจี้เฟิงจากนั้นก็เปิดประตูและลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วมาก และกำแพงที่สูงของโรงงานผลิตยาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเขาเลย จี้เฟิงเห็นเขาใช้ปลายเท้าแตะที่กำแพงสองสามครั้ง และพลิกตัวข้ามกำแพงออกไป ชายผู้นี้ช่างมีร่างกายที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง!
เมื่อชายคนนั้นหายไปจากสายตาจี้เฟิงก็ส่ายหัวและยิ้ม
ตอนนี้จี้เฟิงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าผู้ชายคนนี้ต้องถูกส่งมาจากอาของเขาอย่างแน่นอน
ส่วนเป้าหมายของอาจี้เจิ้นผิงนั้นชัดเจนมากเขากลัวว่าหลังจากที่จี้เฟิงได้ยินเรื่องจากปากของเสี่ยวหยูแล้ว จี้เฟิงจะลงมือทำอะไรที่ขาดความยั้งคิด
อาสะใภ้สามและเสี่ยวหยูถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัวแต่อาสามของเขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนี้ดี เขาจึงใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ส่งคนมาตรวจสอบและส่งข่าวให้ตัวเองโดยตรง
อาสามโคตรเจ๋งเลย!
“ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะเข้าหาผู้อาวุโสเฒ่าได้ยังไง!ตอนนี้มีคนไปรายงานเรื่องนี้ให้อาสามรู้แล้ว เรื่องก็คงจะง่ายขึ้นสินะ” จี้เฟิงหัวเราะ
หลังจากออกมาจากโรงงานผลิตยาแล้วจี้เฟิงก็ตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันที ไม่ว่ายังไงโรงงานก็ต้องมีคนมาคอยดูแล ถึงแม้หยางเต๋อจ้าวจะเป็นคนที่เชื่อใจได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีตำแหน่งใดๆในโรงงานเลย หยางเต๋อจ้าวแค่มาช่วยจัดการเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
จี้เฟิงจึงไปหาฮั่นจงและบอกเขาในเรื่องนี้ทันที เมื่อฮั่นจงได้ยินว่าเป็นกรณีนี้เขาก็พยักหน้าโดยไม่มีคำพูดใดๆ เขาไม่แปลกใจที่จี้เฟิงจะซื้อโรงงานผลิตยาอย่างเงียบๆ ด้วยทรัพยากรทางการเงินและนิสัยส่วนตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของจี้เฟิง อย่าว่าแต่ซื้อโรงงานผลิตยาเลย แม้ว่าจะซื้อหุ้นจากกลุ่มบริษัททั้งกลุ่มก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องปกติ
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งที่สุดของจี้เฟิงหลังจากที่เขาไปพบกับฮั่นจงและอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าวๆ เขาก็พาฮั่นจงกลับมาที่โรงงานเพื่อแนะนำให้ฮั่นจงรู้จักกับคนสำคัญที่เป็นหัวหน้าแผนกต่างๆ เขาบอกพนักงานทุกคนว่าฮั่นจงจะมาช่วยเหลือหยางเต๋อจ้าวในการจัดการโรงงานชั่วคราว และประกาศอย่างสุดท้ายว่าทุกคำสั่งของฮั่นจงเท่ากับเป็นคำสั่งจากตัวเขาเอง
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็กลับไปที่วิลล่าโดยไม่หยุดพักเขากำชับข้อควรระวังบางอย่างให้กับจางเล่ยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ไปพูดคุยกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยโดยอธิบายว่าเขากำลังจะรีบไปที่หยานจิงเป็นระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าแฟนสาวทั้งสองคนของเขารับรู้และเห็นว่าอารมณ์ของจี้เฟิงไม่ปกติมาสองสามวันแล้ว พวกเธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สายตาแห่งความห่วงใยและอาลัยอาวรณ์ฉายชัดออกมาจากดวงตาที่สวยงามของทั้งคู่อย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้จี้เฟิงไม่มีเวลาที่จะสนใจมากนักเขาคุยกับจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาอีกครั้งและถามเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าในปัจจุบันโดยละเอียด
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็เหมือนกับเพิ่งตระหนักได้ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นห่วงสุขภาพของผู้อาวุโสเฒ่ามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถามว่าสาเหตุที่จู่ๆผู้อาวุโสเฒ่าต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเพราะอาการป่วยแย่ลงหรือเป็นเพราะสมรรถภาพทางร่างกายลดลง!
“สาเหตุหลักมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของร่างกาย!”จี้ช่าวเหลยกล่าว “แม้ว่าคุณปู่จะมีปัญหาด้านสุขภาพเล็กๆน้อยๆมากมาย เช่นความดันโลหิตสูง แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญที่สุด เหตุผลที่ทำให้สุขภาพของคุณปู่ทรุดลงอย่างรวดเร็วก็มีสาเหตุมาจากบาดแผลเก่าๆ สมัยทำสงครามที่ยังคงส่งผลกระทบอยู่มาจนถึงตอนนี้…”
จี้เฟิงรู้ในใจของเขาว่าเมื่อถึงเวลาที่ได้รักษาเขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากที่สุด
หลังจากสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆของผู้อาวุโสเฒ่าอย่างละเอียดแล้วในที่สุดจี้เฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สิ่งที่เขาต้องทำเป็นขั้นตอนต่อไปคือต้องไปหาอาสามและขอให้เอาสามพาเขาไปหาผู้อาวุโสเฒ่า!
การปรุงยาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกประสบความสำเร็จมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกปลื้มปีติมาก
หลังจากตรวจสอบแล้วว่ายาทุกๆเม็ดไม่มีปัญหาอะไรจี้เฟิงก็หยิบขึ้นมาและกลืนลงไปทันที
เขาหลับตาลงและสงบสติอารมณ์เพื่อที่จะได้สัมผัสถึงพลังของกระแสไฟฟ้าที่มาจากตัวยาชนิดพิเศษนี้
ทันทีที่เขากลืนยาลงไปความร้อนก็แผ่กระจายออกมาจากลำคอและไหลลงไปยังกระเพาะอาหาร จากนั้นความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่กระจายไปทั่วแขนขาและซึมลึกไปจนถึงกระดูก ความรู้สึกนี้มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตัวแข็งทื่อ
วืดดด~!
ความรู้สึกร้อนวูบวาบวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วแต่แทบจะในทันทีที่ความร้อนไหลเวียนไปทั่วร่างกายก็กลายเป็นเหมือนกับกระแสน้ำอุ่นที่ทำให้รู้สึกสบายตัวภายในชั่วพริบตา จี้เฟิงรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลัง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังที่มาจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากมายนี้ทำให้เขารู้สึกสดชื่น!
“มันได้ผล!”จี้เฟิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ไม่มีข้อมูลหรือการทดลองอะไรดีกว่าไปกว่าการเป็นหนูลองยาด้วยตัวเองแล้ว!
ผลของกระแสไฟฟ้าจากยาวิเศษนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจมากแต่เขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้เต็มที่นัก เพราะสมองหมายเลข 1 ได้บอกกับเขาไว้ว่ากระแสไฟฟ้าจากยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงบางอย่าง แม้ว่ายาที่เขาทำออกมาในครั้งนี้จะเป็นแบบเรียบง่ายที่ลดประสิทธิภาพลงมาครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่จี้เฟิงก็ไม่กล้าประมาท เพราะสุขภาพของผู้อาวุโสเฒ่านั้นแย่มากอยู่แล้ว ถ้าผลข้างเคียงรุนแรงเกินไปร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าคงไม่สามารถรับมันได้
จี้เฟิงยังคงนั่งอยู่ในรถเขาจุดบุหรี่และรอผลข้างเคียงของยาออกฤทธิ์อย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเข็มบนนาฬิกาบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงที่จี้เฟิงรอคอยก็ยังไม่มีวี่แววที่จะปรากฏขึ้นเสียที
“เกิดอะไรขึ้น”จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากสมองหมายเลข 1 ได้กล่าวว่ายาตัวนี้มีผลข้างเคียง แม้จะลดคุณภาพลงแล้วก็ตาม แต่ทำไมจนป่านนี้เขายังไม่รู้สึกอะไรเลย
สิ่งที่จี้เฟิงแปลกใจมากที่สุดคือเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าผลของยาได้ผ่านพ้นไปแล้วกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งนั้นลดลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกอ่อนแอที่เป็นผลข้างเคียงหลังจากที่ยากระแสชีวภาพแบบเร่งรัดหมดฤทธิ์ยังไม่ปรากฏขึ้น
“คุณสมองมันเกิดอะไรขึ้น” จี้เฟิงกลับเข้ามาในจิตสำนึกของเขาอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะถามทันที
“มาสเตอร์ร่างกายของคุณแข็งแกร่งกว่าร่างกายของคนทั่วไปมาก ประสิทธิภาพของกระแสไฟฟ้าจากยาจึงไม่เพียงพอดังนั้นมันจึงไม่มีผลข้างเคียง!” สมองหมายเลข 1 รู้ว่าจี้เฟิงต้องการจะถามอะไร เขาจึงอธิบายทันที
“แล้วถ้าคนที่อ่อนแอกินมันเข้าไปล่ะ”จี้เฟิงถามอีกครั้ง
“จะต้องมีผลข้างเคียงอย่างแน่นอนเว้นเสียแต่ว่าร่างกายของผู้ที่ได้รับยาไฟฟ้าชีวภาพแบบเร่งรัดจะมีกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งอย่างของมาสเตอร์!” สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเขาส่ายหัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสเฒ่าจะมีพลังงานไฟฟ้าชีวภาพที่แข็งแกร่งมากพอ ซึ่งนั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่าหากผู้อาวุโสเฒ่าใช้ยาตัวนี้มันจะเกิดผลข้างเคียงอย่างแน่นอน “แล้วถ้าฉันถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าไปในร่างกายผู้ใช้ยาเพื่อชดเชยตรงส่วนที่ขาดหายไปมันจะช่วยชดเชยผลข้างเคียงของกระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดนี้ได้หรือเปล่า” จี้เฟิงนึกขึ้นได้เลยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ในทางทฤษฎีนั้นมีความเป็นไปได้ครับมาสเตอร์แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในฐานข้อมูล สมองจึงไม่สามารถตอบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน!” สมองหมายเลข 1 กล่าว
“ตุ้บ!”
จี้เฟิงชกหมัดเข้ากับฝ่ามือและยิ้มอย่างมีความหวัง“ในเมื่อในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ มันก็หมายความว่าขอแค่จัดการเรื่องนี้ให้ดี เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จก็สูง”
เขารีบออกจากจิตใต้สำนึกทันทีในที่สุดความเคร่งเครียดที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วก็จางหายไป
ยากระแสไฟฟ้าชีวภาพแบบเร่งรัดไม่ใช่วิธีหลักในการรักษาผู้อาวุโสเฒ่าพูดกันตามตรงยาพวกนี้เป็นเพียงแค่ใบเบิกทางเท่านั้นผลลัพธ์ที่แท้จริงของพวกมันคือการพาจี้เฟิงไปพบกับผู้อาวุโส!
ในการรักษาผู้อาวุโสที่แท้จริงแล้วจี้เฟิงยังคงต้องใช้คุณสมบัติที่ผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพทำให้เกิดเรโซแนนซ์ (อธิบายไว้ใน
บทที่ 283) ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อาวุโสทำให้เซลล์สามารถฟื้นฟูพลังด้วยตัวมันเองอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้เซลล์ในร่างกายจะเกิดวงจรการฟื้นฟูอย่างเหมาะสมไม่รุนแรงจนเกินไป จนกระทั่งการทำงานของร่างกายผู้อาวุโสจะเสื่อมสภาพลงอย่างสมบูรณ์ในที่สุด…
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องพบผู้อาวุโสให้ได้ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าวิธีการรักษาจะเป็นแบบไหนก็ไร้ประโยชน์
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็ขมวดคิ้วอีกครั้งดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก สีหน้าของเขามืดครึ้มลง
เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาจุดบุหรี่และหาของที่พอจะช่วยแผนการฉุกเฉินของเขาได้ เขาพบเข้ากับด้ายบางๆจากกล่องเครื่องมือในรถ เขานำมันมาผูกติดกับก้นบุหรี่และแขวนไว้ที่นอกหน้าต่างรถ
ในเวลานี้ท้องฟ้ายังคงสลัวๆและแสงไฟจากบุหรี่ก็เห็นได้ชัดเจนมากพอ
จี้เฟิงมุดออกมาจากทางหน้าต่างรถอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบไม่ทำให้รถเกิดการสั่นสะเทือนใดๆเลย
จากนั้นจี้เฟิงก็แนบตัวติดชิดกับรถและค่อยๆเดินอ้อมไปทางด้านข้างเขาเคลื่อนตัวไปแนบชิดกับกำแพงอย่างรวดเร็ว ตลอดกระบวนการนั้นเงียบเชียบจนไม่มีเสียงใดๆออกมาเลย
มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่นอกกำแพงของโรงงานผลิตยา
ชายคนนี้อายุประมาณ30 ปี มีสีหน้าเย็นชา เขายืนอยู่บนต้นไม้ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกันกับต้นไม้ ถ้าไม่ได้ใส่ใจก็คงจะบอกไม่ได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ แต่เอาเข้าจริงจะมีใครมองขึ้นมาไปต้นไม้ในตอนเช้ามืดแบบนี้!
แต่จี้เฟิงสังเกตเห็นและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่จู่ๆเขาก็ออกจากรถมาอย่างเงียบเชียบ
ชายผู้เคร่งขรึมนี้ยืนอยู่บนต้นไม้ในมือของเขามีกล้องส่องทางไกล เขามองไปที่รถBMWx6 ที่จอดอยู่ในลานของโรงงานผลิตยา บุหรี่ที่ห้อยลงมาจากหน้าต่างรถถูกลมพัดปลิวไปมาอย่างแผ่วเบา ท้องฟ้าที่สลัวๆบวกกับระยะทาง มันทำให้ดูเหมือนว่ามีคนกำลังสูบบุหรี่อยู่
แต่ชายผู้เคร่งขรึมคนนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติถ้ามีคนสูบมันก็ต้องมีควันออกมาตลอด แต่ตอนนี้มีเพียงบุหรี่ที่ถูกจุดไฟไว้เคลื่อนไหวในความมืด ไม่เห็นควันเลย!
“เขารู้ตัวแล้วงั้นหรือ!”ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของชายผู้เคร่งขรึม เขาก็รู้สึกถึงสิ่งของที่เย็นเยียบที่คอของเขา และเสียงที่เย็นยะเยือกก็ดังขึ้น “ถ้าขัดขืน ตาย!”
วินาทีต่อมาชายผู้เคร่งขรึมรู้สึกเพียงว่าเอวของเขาชาและพละกำลังของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนเช้ามืดมีร่างหนึ่งอุ้มคนคนหนึ่งไว้ในมือและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยไม่ดึงดูดความสนใจใครเลย
ในรถBMWx6 จี้เฟิงจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายผู้เคร่งขรึม เขารู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าคนที่แอบสังเกตการณ์เขาจะเป็นหนึ่งในสามของบอดี้การ์ดของจี้เสี่ยวหยู
“คุณจับตาดูผมทำไม”จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
ชายคนนั้นนอนอยู่บนเบาะด้านหลังด้วยร่างกายที่อ่อนยวบเขาเงียบไม่พูดไม่จา แม้แต่สีหน้าที่เคร่งขรึมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัว“เป็นอาจี้เจิ้นผิงใช่มั้ยที่ส่งพวกคุณมาคอยสอดแนมผม”
ชายผู้เคร่งขรึมยังคงไม่พูดอะไรสักคำเขาเลือกที่จะหลับตาลง
แต่จี้เฟิงกลับยิ้มชายคนนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขากลับเป็นการยืนยันการคาดเดาของตัวเอง
ปึ้ก!
จี้เฟิงแตะไปที่ร่างกายของผู้ชายที่เคร่งขรึมอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นและพบว่าอาการชาในร่างกายของเขาหายไปเขาหันไปมองที่จี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ
“ในเมื่อคุณยังอยู่ในหน้าที่ของการเป็นบอดี้การ์ดให้เสี่ยวหยูอยู่คุณก็กลับไปทำหน้าที่ของคุณซะ” จี้เฟิงโบกมือแล้วพูดเสียงเรียบ
“มีคนขอให้ผมบอกคุณว่ามีคนกำลังรอดูความผิดพลาดของคุณ!”ในที่สุดชายผู้เคร่งขรึมก็ยอมเอ่ยปาก
จี้เฟิงคิดในใจว่าเป็นแบบนี้จริงๆด้วยเขายิ้มและพยักหน้า “ผมรู้ ขอบคุณมาก!” ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า“ผมจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดตามความเป็นจริง!”
“แน่นอน!”จี้เฟิงหัวเราะ แต่เขาก็แอบคิดในใจว่า ‘สิ่งที่ฉันรออยู่ก็คือให้นายไปรายงานตามความเป็นจริงนี่แหละ!’
ชายคนผู้เคร่งขรึมมองลึกลงไปที่ในดวงตาของจี้เฟิงจากนั้นก็เปิดประตูและลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วมาก และกำแพงที่สูงของโรงงานผลิตยาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเขาเลย จี้เฟิงเห็นเขาใช้ปลายเท้าแตะที่กำแพงสองสามครั้ง และพลิกตัวข้ามกำแพงออกไป ชายผู้นี้ช่างมีร่างกายที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง!
เมื่อชายคนนั้นหายไปจากสายตาจี้เฟิงก็ส่ายหัวและยิ้ม
ตอนนี้จี้เฟิงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าผู้ชายคนนี้ต้องถูกส่งมาจากอาของเขาอย่างแน่นอน
ส่วนเป้าหมายของอาจี้เจิ้นผิงนั้นชัดเจนมากเขากลัวว่าหลังจากที่จี้เฟิงได้ยินเรื่องจากปากของเสี่ยวหยูแล้ว จี้เฟิงจะลงมือทำอะไรที่ขาดความยั้งคิด
อาสะใภ้สามและเสี่ยวหยูถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัวแต่อาสามของเขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนี้ดี เขาจึงใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ส่งคนมาตรวจสอบและส่งข่าวให้ตัวเองโดยตรง
อาสามโคตรเจ๋งเลย!
“ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะเข้าหาผู้อาวุโสเฒ่าได้ยังไง!ตอนนี้มีคนไปรายงานเรื่องนี้ให้อาสามรู้แล้ว เรื่องก็คงจะง่ายขึ้นสินะ” จี้เฟิงหัวเราะ
หลังจากออกมาจากโรงงานผลิตยาแล้วจี้เฟิงก็ตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันที ไม่ว่ายังไงโรงงานก็ต้องมีคนมาคอยดูแล ถึงแม้หยางเต๋อจ้าวจะเป็นคนที่เชื่อใจได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีตำแหน่งใดๆในโรงงานเลย หยางเต๋อจ้าวแค่มาช่วยจัดการเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
จี้เฟิงจึงไปหาฮั่นจงและบอกเขาในเรื่องนี้ทันที เมื่อฮั่นจงได้ยินว่าเป็นกรณีนี้เขาก็พยักหน้าโดยไม่มีคำพูดใดๆ เขาไม่แปลกใจที่จี้เฟิงจะซื้อโรงงานผลิตยาอย่างเงียบๆ ด้วยทรัพยากรทางการเงินและนิสัยส่วนตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของจี้เฟิง อย่าว่าแต่ซื้อโรงงานผลิตยาเลย แม้ว่าจะซื้อหุ้นจากกลุ่มบริษัททั้งกลุ่มก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องปกติ
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งที่สุดของจี้เฟิงหลังจากที่เขาไปพบกับฮั่นจงและอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าวๆ เขาก็พาฮั่นจงกลับมาที่โรงงานเพื่อแนะนำให้ฮั่นจงรู้จักกับคนสำคัญที่เป็นหัวหน้าแผนกต่างๆ เขาบอกพนักงานทุกคนว่าฮั่นจงจะมาช่วยเหลือหยางเต๋อจ้าวในการจัดการโรงงานชั่วคราว และประกาศอย่างสุดท้ายว่าทุกคำสั่งของฮั่นจงเท่ากับเป็นคำสั่งจากตัวเขาเอง
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็กลับไปที่วิลล่าโดยไม่หยุดพักเขากำชับข้อควรระวังบางอย่างให้กับจางเล่ยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ไปพูดคุยกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยโดยอธิบายว่าเขากำลังจะรีบไปที่หยานจิงเป็นระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าแฟนสาวทั้งสองคนของเขารับรู้และเห็นว่าอารมณ์ของจี้เฟิงไม่ปกติมาสองสามวันแล้ว พวกเธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สายตาแห่งความห่วงใยและอาลัยอาวรณ์ฉายชัดออกมาจากดวงตาที่สวยงามของทั้งคู่อย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้จี้เฟิงไม่มีเวลาที่จะสนใจมากนักเขาคุยกับจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาอีกครั้งและถามเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าในปัจจุบันโดยละเอียด
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็เหมือนกับเพิ่งตระหนักได้ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นห่วงสุขภาพของผู้อาวุโสเฒ่ามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถามว่าสาเหตุที่จู่ๆผู้อาวุโสเฒ่าต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเพราะอาการป่วยแย่ลงหรือเป็นเพราะสมรรถภาพทางร่างกายลดลง!
“สาเหตุหลักมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของร่างกาย!”จี้ช่าวเหลยกล่าว “แม้ว่าคุณปู่จะมีปัญหาด้านสุขภาพเล็กๆน้อยๆมากมาย เช่นความดันโลหิตสูง แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญที่สุด เหตุผลที่ทำให้สุขภาพของคุณปู่ทรุดลงอย่างรวดเร็วก็มีสาเหตุมาจากบาดแผลเก่าๆ สมัยทำสงครามที่ยังคงส่งผลกระทบอยู่มาจนถึงตอนนี้…”
จี้เฟิงรู้ในใจของเขาว่าเมื่อถึงเวลาที่ได้รักษาเขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากที่สุด
หลังจากสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆของผู้อาวุโสเฒ่าอย่างละเอียดแล้วในที่สุดจี้เฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สิ่งที่เขาต้องทำเป็นขั้นตอนต่อไปคือต้องไปหาอาสามและขอให้เอาสามพาเขาไปหาผู้อาวุโสเฒ่า!