หน้าหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลทหารในหยานจิงจี้เฟิงกำลังยืนอยู่นอกห้องที่มีกระจกบานใหญ่ เขากำลังมองชายชราคนหนึ่งที่สวมหน้ากากออกซิเจนนอนอยู่บนเตียง ร่างกายของเขาดูผอมแห้ง
ด้วยอารมณ์บางอย่างมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกได้ถึงความร้อนที่หน้าอกและรู้สึกแสบที่จมูกเล็กน้อย
ชายชราคนนี้เป็นปู่ของเขาและเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่ได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติมามากมายเขาได้เข้าสู่สมรภูมิรบมาตั้งแต่เหนือจรดใต้
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงชายแก่ที่มีร่างกายผอมซูบและกำลังจะตาย!
องครักษ์ที่ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วยจ้องมองจี้เฟิงด้วยความระแวดระวังต่อให้มีจี้เจิ้นผิงอยู่ข้างๆ องครักษ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ลดความระมัดระวังลงเลย ตราบใดที่มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจะลงมือสังหารจี้เฟิงทันทีอย่างไม่ลังเลเลย
คนเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยอารักขาที่ซื่อสัตย์และเข้มงวดที่สุด
“เสี่ยวเฟิงเราเข้าไปกันเถอะ!”จี้เจิ้นผิงส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์ พวกเขาจึงถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว แต่ยังไม่ลดความระมัดระวังลง
“ฮุ่ยอี้เฝ้าประตูไว้จนกว่าฉันจะออกมาห้ามให้ใครเข้าไปข้างในได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม!” จี้เจิ้นผิงออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด
“ครับหัวหน้า!” ฮุ่ยอี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ฟู่~!”จี้เฟิงถอนหายใจยาวก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อย “ป่ะ ผมพร้อมแล้ว เข้าไปกันเถอะ!”
องครักษ์เดินเข้าไปหาทั้งสองคนพร้อมกับเครื่องตรวจจับในมือและสแกนทั้งสองคนอย่างละเอียดหลังจากยืนยันได้แล้วว่าทั้งสองคนไม่มีอาวุธใดๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเป็นการเชิญให้ทั้งสองเข้าไปได้
“การป้องกันเข้มงวดมาก!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงพยาบาล พวกเขาผ่านการตรวจมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง! และแต่ละด่านตรวจก็มีการตรวจที่แทบไม่ซ้ำกันเลย
“ป่ะ!”จี้เจิ้นผิงยิ้มเล็กน้อย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยสายตาของจี้เฟิงก็จับจ้องไปที่ผู้อาวุโสเฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงทันที
ผู้อาวุโสเฒ่าสวมหน้ากากออกซิเจนอยู่บนร่างกายและศีรษะมีสายไฟห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด สายไฟพวกนั้นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆทางการแพทย์ที่อยู่ข้างเตียง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆและแผ่วเบา ใบหน้าที่ขาวซีด เบ้าตาที่ลึก และโหนกแก้มที่ยกสูง ทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขาอ่อนแอมากเพียงใด เขาแทบไม่เหลือเงาของนายพลที่ต่อสู้ในสนามรบมาตั้งแต่เหนือจรดใต้เลย!
“สติของคุณปู่นายตอนนี้ค่อนข้างเลือนรางส่วนใหญ่เขาจะหลับไม่มากนักที่เขาจะตื่น!” จี้เจิ้นผิงพูดด้วยเสียงกระซิบอยู่ข้างๆจี้เฟิง
จี้เฟิงขมวดคิ้วแน่นร่างกายของชายชราอ่อนแอกว่าที่เขาคิด
“อาสามครับเราพอจะปลุกเขาขึ้นมาตอนนี้ได้หรือเปล่า”จี้เฟิงจำเป็นต้องถามเช่นนี้เพราะยาพิเศษที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้รับการทดสอบให้กินทางปากมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขายังไม่ได้ทดสอบด้วยวิธีอื่น แล้วถ้าผู้อาวุโสยังหลับอยู่แบบนี้ จะให้เขากินยาเข้าไปได้อย่างไร?
จี้เจิ้นผิงส่ายหัวเล็กน้อย“หมอบอกว่าเราต้องรอให้คุณปู่ของนายตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าเขาถูกบังคับให้ตื่นมันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายของเขา”
ใบหน้าของจี้เฟิงเคร่งเครียดมากขึ้น‘แบบนี้ก็ลำบากแล้ว!’
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและหันไปกระซิบกับจี้เจิ้นผิง“อาครับ อาช่วยคอยดูคนข้างนอกให้หน่อยได้มั้ยครับ อย่าให้ใครเข้ามาอย่างเด็ดขาด ผมจะพยายามสุดชีวิตเพื่อรักษาคุณปู่!”
“อืมวางใจเถอะ ฉันจะคอยดูให้เอง!” จี้เจิ้นผิงพยักหน้าเล็กน้อยและหันหลังกลับ เมื่อเดินออกจากห้องผู้ป่วย เขาไปยืนอยู่นอกกระจก ใส่ใจกับทุกการเคลื่อนไหวของจี้เฟิงในห้องผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งและค่อยๆคว้าข้อมือของผู้อาวุโสเฒ่า
ตามแผนเดิมตั้งแต่แรกของเขาต่อให้ไม่มียาพิเศษมันก็ไม่มีผลใดๆต่อการรักษาผู้อาวุโสเพราะตามที่สมองหมายเลข 1 บอก ตราบใดที่สามารถเปิดใช้งานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของผู้อาวุโสได้ มันจะทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าสามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกและสร้างความสมดุลได้ นอกจากนี้มันยังจะช่วยให้ร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจนกระทั่งร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าเสื่อมสภาพลงอย่างสมบูรณ์และเสียชีวิตในที่สุด!
แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะการทำงานของร่างกายลดลงและไม่สามารถต่อสู้กับอาการป่วยด้วยตัวเองได้แต่ที่จริงแล้วร่างกายของผู้อาวุโสยังห่างไกลจากระดับที่เรียกว่าการทำงานที่เสื่อมถอยโดยสิ้นเชิง เหตุผลที่เขากลายเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บจากสมัยก่อนซึ่งมันส่งผลเสียต่อสุขภาพของเขาอย่างรุนแรง ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งมันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ทำให้ร่างกายของผู้อาวุโสไม่ได้รับการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
เมื่อผู้อาวุโสสามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกได้ร่างกายของเขาจะดีขึ้นอย่างมากและมันจะค่อยๆดีขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ร่างกายของผู้อาวุโสจะไม่เสื่อมสภาพลงในระยะเวลาอันสั้นแต่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น!
และนี่ก็คือเป้าหมายที่จี้เฟิงต้องการให้มันสำเร็จ!
ในกระบวนการนี้เขาแค่ต้องคอยควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสอย่างเชี่ยวชาญและแม่นยำเพื่อสร้างความผันผวนให้มั่นคงซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้นั่นเพราะร่างกายของผู้อาวุโสอ่อนแอเกินไป อาการของเขารุนแรงมากกว่าที่คิด!
ในสถานการณ์เช่นนี้จี้เฟิงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถเปิดใช้งานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของผู้อาวุโสได้สำเร็จเพราะถ้าหากมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ผลที่ตามมามันจะกลายเป็นหายนะ!
“ต้องเริ่มทำไปทีละส่วนก่อน!”จี้เฟิงพูดกับตัวเอง “ถ้าพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติต้องหยุดทันที!”
จี้เฟิงรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาถ้าครั้งนี้เขาไม่สามารถรักษาผู้อาวุโสได้ แล้วในอนาคตเขาจะอยากเข้ามาอีก ก็คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแน่ๆ บางทีถ้าในระหว่างนั้นร่างกายผู้อาวุโสทนความเจ็บปวดไม่ไหวและจากไปเสียก่อน ไม่ว่าจะมีวิธีรักษาที่ดีกว่าแค่ไหนก็จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก
ฉันต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้และเชื่อมั่นในตัวเอง!
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหลับตาลงช้าๆจากนั้นก็เริ่มกระตุ้นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา
เขาใช้ความระมัดระวังอย่างมากเขากระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างช้าๆให้เข้าไปในแขนของผู้อาวุโสเฒ่า เขาปรับความถี่กระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อาวุโสเฒ่า ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็จะผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
และทันใดนั้นเองหัวใจของจี้เฟิงก็รู้สึกยินดีเขาสัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่อยู่ในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่า ถึงแม้จะเบาบางจนแทบจะไม่รู้สึก แต่มันก็มีอยู่จริง!
แต่ในไม่ช้าความสุขของจี้เฟิงก็กลายเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อาวุโสเฒ่าอ่อนแอเกินไปส่วนกระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป หากเขาปล่อยให้มันเข้าไปในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าอย่างรวดเร็ว มันก็เพียงพอที่จะทำลายกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าทันที และผลที่ตามมาจะเป็น….
นอกจากนั้นคลื่นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสนั้นสับสนวุ่นวายมากไม่มีความถี่สม่ำเสมอเลย…
จี้เฟิงรีบนำกระแสไฟฟ้าชีวภาพกลับเข้าไปในร่างกายของเขาทันทีทิ้งไว้เพียงร่องรอยเล็กๆเป็นเส้นบางๆไว้เท่านั้น เพื่อที่จะได้ไม่แตกต่างจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสมากนัก แบบนี้ถึงจะทำให้เรโซแนนซ์เกิดขึ้นได้
จี้เฟิงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพของตัวเองเขาค่อยๆสัมผัสกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโส และเปลี่ยนคลื่นความถี่… มันได้ผล!
จี้เฟิงรู้สึกดีใจมากกระแสไฟฟ้าชีวภาพบนข้อมือของผู้อาวุโสเฒ่าค่อยๆถูกเปิดใช้งานแม้ว่าคลื่นของพลังจะยังอ่อนอยู่ แต่ความถี่ตรงข้อมือนั้นตรงกัน!
มือซ้ายของผู้อาวุโสเฒ่าขยับทันทีนิ้วของเขางอเล็กน้อยราวกับว่าเขาต้องการคว้าอะไรบางอย่าง
ข้อมือข้างหนึ่งเริ่มมีการฟื้นตัวแล้ว!
นั่นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายทั้งหมดของผู้อาวุโสจะฟื้นตัวได้เช่นกัน!
อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นงานที่ใหญ่มากเพราะแค่ข้อมือข้างเดียวก็ทำให้จี้เฟิงถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก ถ้าจะทำให้ฟื้นตัวได้ทั้งหมด เกรงว่าถ้าไม่ใช้เวลาทั้งเดือนก็คงจะไม่สำเร็จ
“หรือฉันควรจะทำให้ผู้อาวุโสได้สติขึ้นมาก่อนดี”สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปที่ใบหน้าอันผอมซูบของผู้อาวุโสเฒ่า จากนั้นก็มองไล่ไปยังเส้นสายที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆและเดินไปรอบๆเตียงแล้วมาหยุดตรงหัวเตียง
จี้เฟิงค่อยๆเอื้อมมือไปแตะที่ใต้คอของผู้อาวุโสและค่อยๆไล่มาบนศีรษะของผู้อาวุโส
เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งการทำแบบนี้เป็นการทดสอบพลังใจครั้งใหญ่ของเขา เขาจะต้องระวังทุกเสี้ยววินาทีเพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ได้
แต่เขาต้องทำเขาเลิกคิดฟุ้งซ่านและตั้งสมาธิเพื่อกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพอีกครั้ง
เนื่องจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้คราวนี้เขาจึงถ่ายเทกระแสชีวภาพไว้เพียงร่องรอยเล็กๆเท่านั้น เขาพยายามทดสอบพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง…
หนึ่งครั้ง…สองครั้ง….
จี้เฟิงเหงื่อแตกพลั่กกล้ามเนื้อทั่วร่างกายแข็งตึงแต่เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายก็ถาโถมเข้ามาหาเขาอีกครั้งระดับความสับสนในพลังงานไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสนั้นร้ายแรงกว่าในร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
………………
“เฮ้ออออ—!”
จี้เฟิงถอนหายใจยาวและดึงมือออกมาจากใต้คอของผู้อาวุโสเฒ่าเขารู้สึกราวกับว่าพละกำลังของเขาถูกดึงออกไปในพริบตา แต่เนื่องจากกล้ามเนื้อที่แข็งตึงไปหมดมันทำให้เขายังยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มลงเพียงแต่ขาของเขาสั่น
สายตาของจี้เฟิงจ้องมองไปที่ใบหน้าอันผอมซูบของผู้อาวุโสอย่างเอาเป็นเอาตายในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายแต่เขารู้ดีว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง กระแสไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสเฒ่าเกิดเรโซแนนซ์(ความถี่คงที่)เหมือนกับที่ข้อมือของเขา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดโดยที่เขาไม่รู้ขั้นต่อไปผู้อาวุโสก็จะต้องได้สติ…
จี้เฟิงไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาเขากลัวว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ยังคงผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง
นอกห้องผู้ป่วยจี้เจิ้นผิงยังคงยืนกำหมัดและจ้องไปที่จี้เฟิงกับผู้อาวุโสเฒ่าโดยไม่ละสายตาไม่เพียงแต่จี้เฟิงเท่านั้นที่เป็นกังวลแต่จี้เจิ้นผิงก็ไม่ต่างกัน หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นต่อให้ตายก็ไม่อาจลดความรู้สึกผิดในใจลงได้แม้แต่นิดเดียว!
“ผู้อาวุโสครับผู้อาวุโส..” จี้เฟิงเปิดปากของเขาเล็กน้อยและเรียกด้วยเสียงที่นุ่มนวล
มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเปลือกตาของผู้อาวุโสขยับเล็กน้อยจี้เฟิงดีใจมาก ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ในที่สุดดวงตาของผู้อาวุโสเฒ่าก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาที่เคยขุ่นมัวตอนนี้ดูเป็นประกายถึงขนาดมีประกายแสงแวบผ่านมา ไม่เหมือนชายชราที่กำลังจะตายเลยสักนิด!
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงรู้สึกเหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดใหญ่!
ตอนนี้ยังขนาดนี้แล้วสมัยหนุ่มๆจิตวิญญาณของผู้อาวุโสจะแข็งแกร่งขนาดไหน!จี้เฟิงพูดกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ แต่แทบจะในทันทีความรู้สึกนั้นก็กลายเป็นความสุข ในที่สุดผู้อาวุโสก็ตื่นขึ้น!
“อ่า…อืม…”ปากของผู้อาวุโสขยับ แต่เขาพูดไม่ได้เพราะยังสวมหน้ากากออกซิเจนอยู่
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสต้องการอะไรเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอดหน้ากากออกซิเจนของผู้อาวุโสเฒ่าออก แต่การกระทำนี้ทำให้จี้เจิ้นผิงที่ยืนมองอยู่นอกกระจกตกใจขึ้นมาทันที เขาอยากจะห้ามจี้เฟิงแต่กลับพบว่าปากของผู้อาวุโสเฒ่าขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
“เจ้า…เจ้าคือจี้เฟิง!” ผู้อาวุโสเฒ่ามองมาที่จี้เฟิงและพูดด้วยเสียงที่แหบพร่า
ด้วยอารมณ์บางอย่างมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกได้ถึงความร้อนที่หน้าอกและรู้สึกแสบที่จมูกเล็กน้อย
ชายชราคนนี้เป็นปู่ของเขาและเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่ได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติมามากมายเขาได้เข้าสู่สมรภูมิรบมาตั้งแต่เหนือจรดใต้
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงชายแก่ที่มีร่างกายผอมซูบและกำลังจะตาย!
องครักษ์ที่ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วยจ้องมองจี้เฟิงด้วยความระแวดระวังต่อให้มีจี้เจิ้นผิงอยู่ข้างๆ องครักษ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ลดความระมัดระวังลงเลย ตราบใดที่มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจะลงมือสังหารจี้เฟิงทันทีอย่างไม่ลังเลเลย
คนเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยอารักขาที่ซื่อสัตย์และเข้มงวดที่สุด
“เสี่ยวเฟิงเราเข้าไปกันเถอะ!”จี้เจิ้นผิงส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์ พวกเขาจึงถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว แต่ยังไม่ลดความระมัดระวังลง
“ฮุ่ยอี้เฝ้าประตูไว้จนกว่าฉันจะออกมาห้ามให้ใครเข้าไปข้างในได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม!” จี้เจิ้นผิงออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด
“ครับหัวหน้า!” ฮุ่ยอี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ฟู่~!”จี้เฟิงถอนหายใจยาวก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อย “ป่ะ ผมพร้อมแล้ว เข้าไปกันเถอะ!”
องครักษ์เดินเข้าไปหาทั้งสองคนพร้อมกับเครื่องตรวจจับในมือและสแกนทั้งสองคนอย่างละเอียดหลังจากยืนยันได้แล้วว่าทั้งสองคนไม่มีอาวุธใดๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเป็นการเชิญให้ทั้งสองเข้าไปได้
“การป้องกันเข้มงวดมาก!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงพยาบาล พวกเขาผ่านการตรวจมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง! และแต่ละด่านตรวจก็มีการตรวจที่แทบไม่ซ้ำกันเลย
“ป่ะ!”จี้เจิ้นผิงยิ้มเล็กน้อย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยสายตาของจี้เฟิงก็จับจ้องไปที่ผู้อาวุโสเฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงทันที
ผู้อาวุโสเฒ่าสวมหน้ากากออกซิเจนอยู่บนร่างกายและศีรษะมีสายไฟห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด สายไฟพวกนั้นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆทางการแพทย์ที่อยู่ข้างเตียง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆและแผ่วเบา ใบหน้าที่ขาวซีด เบ้าตาที่ลึก และโหนกแก้มที่ยกสูง ทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขาอ่อนแอมากเพียงใด เขาแทบไม่เหลือเงาของนายพลที่ต่อสู้ในสนามรบมาตั้งแต่เหนือจรดใต้เลย!
“สติของคุณปู่นายตอนนี้ค่อนข้างเลือนรางส่วนใหญ่เขาจะหลับไม่มากนักที่เขาจะตื่น!” จี้เจิ้นผิงพูดด้วยเสียงกระซิบอยู่ข้างๆจี้เฟิง
จี้เฟิงขมวดคิ้วแน่นร่างกายของชายชราอ่อนแอกว่าที่เขาคิด
“อาสามครับเราพอจะปลุกเขาขึ้นมาตอนนี้ได้หรือเปล่า”จี้เฟิงจำเป็นต้องถามเช่นนี้เพราะยาพิเศษที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้รับการทดสอบให้กินทางปากมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขายังไม่ได้ทดสอบด้วยวิธีอื่น แล้วถ้าผู้อาวุโสยังหลับอยู่แบบนี้ จะให้เขากินยาเข้าไปได้อย่างไร?
จี้เจิ้นผิงส่ายหัวเล็กน้อย“หมอบอกว่าเราต้องรอให้คุณปู่ของนายตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าเขาถูกบังคับให้ตื่นมันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายของเขา”
ใบหน้าของจี้เฟิงเคร่งเครียดมากขึ้น‘แบบนี้ก็ลำบากแล้ว!’
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและหันไปกระซิบกับจี้เจิ้นผิง“อาครับ อาช่วยคอยดูคนข้างนอกให้หน่อยได้มั้ยครับ อย่าให้ใครเข้ามาอย่างเด็ดขาด ผมจะพยายามสุดชีวิตเพื่อรักษาคุณปู่!”
“อืมวางใจเถอะ ฉันจะคอยดูให้เอง!” จี้เจิ้นผิงพยักหน้าเล็กน้อยและหันหลังกลับ เมื่อเดินออกจากห้องผู้ป่วย เขาไปยืนอยู่นอกกระจก ใส่ใจกับทุกการเคลื่อนไหวของจี้เฟิงในห้องผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งและค่อยๆคว้าข้อมือของผู้อาวุโสเฒ่า
ตามแผนเดิมตั้งแต่แรกของเขาต่อให้ไม่มียาพิเศษมันก็ไม่มีผลใดๆต่อการรักษาผู้อาวุโสเพราะตามที่สมองหมายเลข 1 บอก ตราบใดที่สามารถเปิดใช้งานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของผู้อาวุโสได้ มันจะทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าสามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกและสร้างความสมดุลได้ นอกจากนี้มันยังจะช่วยให้ร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจนกระทั่งร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าเสื่อมสภาพลงอย่างสมบูรณ์และเสียชีวิตในที่สุด!
แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะการทำงานของร่างกายลดลงและไม่สามารถต่อสู้กับอาการป่วยด้วยตัวเองได้แต่ที่จริงแล้วร่างกายของผู้อาวุโสยังห่างไกลจากระดับที่เรียกว่าการทำงานที่เสื่อมถอยโดยสิ้นเชิง เหตุผลที่เขากลายเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บจากสมัยก่อนซึ่งมันส่งผลเสียต่อสุขภาพของเขาอย่างรุนแรง ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งมันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ทำให้ร่างกายของผู้อาวุโสไม่ได้รับการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
เมื่อผู้อาวุโสสามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกได้ร่างกายของเขาจะดีขึ้นอย่างมากและมันจะค่อยๆดีขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ร่างกายของผู้อาวุโสจะไม่เสื่อมสภาพลงในระยะเวลาอันสั้นแต่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น!
และนี่ก็คือเป้าหมายที่จี้เฟิงต้องการให้มันสำเร็จ!
ในกระบวนการนี้เขาแค่ต้องคอยควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสอย่างเชี่ยวชาญและแม่นยำเพื่อสร้างความผันผวนให้มั่นคงซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้นั่นเพราะร่างกายของผู้อาวุโสอ่อนแอเกินไป อาการของเขารุนแรงมากกว่าที่คิด!
ในสถานการณ์เช่นนี้จี้เฟิงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถเปิดใช้งานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของผู้อาวุโสได้สำเร็จเพราะถ้าหากมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ผลที่ตามมามันจะกลายเป็นหายนะ!
“ต้องเริ่มทำไปทีละส่วนก่อน!”จี้เฟิงพูดกับตัวเอง “ถ้าพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติต้องหยุดทันที!”
จี้เฟิงรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาถ้าครั้งนี้เขาไม่สามารถรักษาผู้อาวุโสได้ แล้วในอนาคตเขาจะอยากเข้ามาอีก ก็คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแน่ๆ บางทีถ้าในระหว่างนั้นร่างกายผู้อาวุโสทนความเจ็บปวดไม่ไหวและจากไปเสียก่อน ไม่ว่าจะมีวิธีรักษาที่ดีกว่าแค่ไหนก็จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก
ฉันต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้และเชื่อมั่นในตัวเอง!
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหลับตาลงช้าๆจากนั้นก็เริ่มกระตุ้นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา
เขาใช้ความระมัดระวังอย่างมากเขากระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างช้าๆให้เข้าไปในแขนของผู้อาวุโสเฒ่า เขาปรับความถี่กระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อาวุโสเฒ่า ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็จะผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
และทันใดนั้นเองหัวใจของจี้เฟิงก็รู้สึกยินดีเขาสัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่อยู่ในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่า ถึงแม้จะเบาบางจนแทบจะไม่รู้สึก แต่มันก็มีอยู่จริง!
แต่ในไม่ช้าความสุขของจี้เฟิงก็กลายเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อาวุโสเฒ่าอ่อนแอเกินไปส่วนกระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป หากเขาปล่อยให้มันเข้าไปในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าอย่างรวดเร็ว มันก็เพียงพอที่จะทำลายกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าทันที และผลที่ตามมาจะเป็น….
นอกจากนั้นคลื่นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสนั้นสับสนวุ่นวายมากไม่มีความถี่สม่ำเสมอเลย…
จี้เฟิงรีบนำกระแสไฟฟ้าชีวภาพกลับเข้าไปในร่างกายของเขาทันทีทิ้งไว้เพียงร่องรอยเล็กๆเป็นเส้นบางๆไว้เท่านั้น เพื่อที่จะได้ไม่แตกต่างจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโสมากนัก แบบนี้ถึงจะทำให้เรโซแนนซ์เกิดขึ้นได้
จี้เฟิงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพของตัวเองเขาค่อยๆสัมผัสกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของผู้อาวุโส และเปลี่ยนคลื่นความถี่… มันได้ผล!
จี้เฟิงรู้สึกดีใจมากกระแสไฟฟ้าชีวภาพบนข้อมือของผู้อาวุโสเฒ่าค่อยๆถูกเปิดใช้งานแม้ว่าคลื่นของพลังจะยังอ่อนอยู่ แต่ความถี่ตรงข้อมือนั้นตรงกัน!
มือซ้ายของผู้อาวุโสเฒ่าขยับทันทีนิ้วของเขางอเล็กน้อยราวกับว่าเขาต้องการคว้าอะไรบางอย่าง
ข้อมือข้างหนึ่งเริ่มมีการฟื้นตัวแล้ว!
นั่นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายทั้งหมดของผู้อาวุโสจะฟื้นตัวได้เช่นกัน!
อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นงานที่ใหญ่มากเพราะแค่ข้อมือข้างเดียวก็ทำให้จี้เฟิงถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก ถ้าจะทำให้ฟื้นตัวได้ทั้งหมด เกรงว่าถ้าไม่ใช้เวลาทั้งเดือนก็คงจะไม่สำเร็จ
“หรือฉันควรจะทำให้ผู้อาวุโสได้สติขึ้นมาก่อนดี”สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปที่ใบหน้าอันผอมซูบของผู้อาวุโสเฒ่า จากนั้นก็มองไล่ไปยังเส้นสายที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆและเดินไปรอบๆเตียงแล้วมาหยุดตรงหัวเตียง
จี้เฟิงค่อยๆเอื้อมมือไปแตะที่ใต้คอของผู้อาวุโสและค่อยๆไล่มาบนศีรษะของผู้อาวุโส
เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งการทำแบบนี้เป็นการทดสอบพลังใจครั้งใหญ่ของเขา เขาจะต้องระวังทุกเสี้ยววินาทีเพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ได้
แต่เขาต้องทำเขาเลิกคิดฟุ้งซ่านและตั้งสมาธิเพื่อกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพอีกครั้ง
เนื่องจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้คราวนี้เขาจึงถ่ายเทกระแสชีวภาพไว้เพียงร่องรอยเล็กๆเท่านั้น เขาพยายามทดสอบพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง…
หนึ่งครั้ง…สองครั้ง….
จี้เฟิงเหงื่อแตกพลั่กกล้ามเนื้อทั่วร่างกายแข็งตึงแต่เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายก็ถาโถมเข้ามาหาเขาอีกครั้งระดับความสับสนในพลังงานไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสนั้นร้ายแรงกว่าในร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
………………
“เฮ้ออออ—!”
จี้เฟิงถอนหายใจยาวและดึงมือออกมาจากใต้คอของผู้อาวุโสเฒ่าเขารู้สึกราวกับว่าพละกำลังของเขาถูกดึงออกไปในพริบตา แต่เนื่องจากกล้ามเนื้อที่แข็งตึงไปหมดมันทำให้เขายังยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มลงเพียงแต่ขาของเขาสั่น
สายตาของจี้เฟิงจ้องมองไปที่ใบหน้าอันผอมซูบของผู้อาวุโสอย่างเอาเป็นเอาตายในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายแต่เขารู้ดีว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง กระแสไฟฟ้าชีวภาพในหัวของผู้อาวุโสเฒ่าเกิดเรโซแนนซ์(ความถี่คงที่)เหมือนกับที่ข้อมือของเขา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดโดยที่เขาไม่รู้ขั้นต่อไปผู้อาวุโสก็จะต้องได้สติ…
จี้เฟิงไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาเขากลัวว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ยังคงผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง
นอกห้องผู้ป่วยจี้เจิ้นผิงยังคงยืนกำหมัดและจ้องไปที่จี้เฟิงกับผู้อาวุโสเฒ่าโดยไม่ละสายตาไม่เพียงแต่จี้เฟิงเท่านั้นที่เป็นกังวลแต่จี้เจิ้นผิงก็ไม่ต่างกัน หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นต่อให้ตายก็ไม่อาจลดความรู้สึกผิดในใจลงได้แม้แต่นิดเดียว!
“ผู้อาวุโสครับผู้อาวุโส..” จี้เฟิงเปิดปากของเขาเล็กน้อยและเรียกด้วยเสียงที่นุ่มนวล
มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเปลือกตาของผู้อาวุโสขยับเล็กน้อยจี้เฟิงดีใจมาก ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ในที่สุดดวงตาของผู้อาวุโสเฒ่าก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาที่เคยขุ่นมัวตอนนี้ดูเป็นประกายถึงขนาดมีประกายแสงแวบผ่านมา ไม่เหมือนชายชราที่กำลังจะตายเลยสักนิด!
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงรู้สึกเหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดใหญ่!
ตอนนี้ยังขนาดนี้แล้วสมัยหนุ่มๆจิตวิญญาณของผู้อาวุโสจะแข็งแกร่งขนาดไหน!จี้เฟิงพูดกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ แต่แทบจะในทันทีความรู้สึกนั้นก็กลายเป็นความสุข ในที่สุดผู้อาวุโสก็ตื่นขึ้น!
“อ่า…อืม…”ปากของผู้อาวุโสขยับ แต่เขาพูดไม่ได้เพราะยังสวมหน้ากากออกซิเจนอยู่
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสต้องการอะไรเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอดหน้ากากออกซิเจนของผู้อาวุโสเฒ่าออก แต่การกระทำนี้ทำให้จี้เจิ้นผิงที่ยืนมองอยู่นอกกระจกตกใจขึ้นมาทันที เขาอยากจะห้ามจี้เฟิงแต่กลับพบว่าปากของผู้อาวุโสเฒ่าขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
“เจ้า…เจ้าคือจี้เฟิง!” ผู้อาวุโสเฒ่ามองมาที่จี้เฟิงและพูดด้วยเสียงที่แหบพร่า