ชายหนุ่มคนนี้แต่งตัวสบายๆไม่ได้ดูตั้งใจจัดเต็มเหมือนจี้เส้าโหยวที่สวมชุดสูทสีขาวทั้งตัว แต่แปลกที่ภาพลักษณ์โดยรวมของเขากลับดูสง่างามกว่าจี้เส้าโหยวเล็กน้อย แถมยังมีออร่าของผู้ที่อยู่เหนือกว่าอยู่จางๆ
เมื่อจี้เสี่ยวหยูเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครดวงตาที่เต็มไปด้วยความแวววาวจากน้ำตาก็เผยความประหลาดใจออกมาทันที “พี่รอง!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีออร่าน่าเกรงขามคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือหลานชายคนที่สองของสายตรงแห่งตระกูลจี้ จี้ช่าวเหลย!
เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของจี้เสี่ยวหยูสีหน้าของจี้ช่าวเหลยที่มืดมนมากอยู่แล้วก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อมีแสงเย็นยะเยือกฉายมาจากแววตาของเขา เขาเดินไปหาจี้เสี่ยวหยูและลูบหัวของเธอเบาๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวพี่สามของเธอมาเห็นระวังจะถูกเขาหัวเราะเยาะเอานะ!”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ!”
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ“พี่สามไม่เหมือนกับพี่รองนะ เพราะพี่สามไม่มีทางหัวเราะเยาะเสี่ยวหยู!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มเยาะและพูดว่า“มั่นใจขนาดนั้นเลย”
“อื้อ!”จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าอย่างจริงจังและไม่มีความลังเลเลย แม้ว่าเธอเพิ่งจะรู้จักกับพี่ชายคนที่สามของเธอได้ไม่นาน แต่จี้เสี่ยวหยูก็รู้สึกได้ว่าพี่สามของเธอจะไม่มีทางหัวเราะเยาะที่เธอถูกรังแกอย่างแน่นอน!
“งั้นก็ดีในเมื่อเธอมั่นใจขนาดนั้นก็รอเขาอยู่ที่นี่ด้วยกันเลยและมาดูว่าถ้าเขามาถึงเขาจะหัวเราะเยาะเธอรึเปล่า!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะและในขณะเดียวกันเขาก็ตบหัวเล็กๆของจี้เสี่ยวหยูเบาๆด้วยความรัก สำหรับสาวน้อยคนนี้เขารักและเอ็นดูเธอมากและปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆเสมอ “จี้…จี้ช่าว…” จี้เส้าโหยวเพิ่งจะอ้าปากพูด เขายังเรียกชื่อของจี้ช่าวเหลยไม่เสร็จด้วยซ้ำ เขาก็ต้องหยุดชะงักทันทีด้วยความหวาดกลัวเมื่อถูกสายตาอันคมกริบของจี้ช่าวเหลยจ้องมองมา จี้เส้าโหยวจึงรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “พะ.. พี่รอง ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“ห๊ะฉันจะอยู่ที่ไหนแล้วทำไม? ฉันจะต้องคอยรายงานนายด้วยงั้นเหรอ?” จี้ช่าวเหลยถามเสียงเรียบ
“ไม่แน่นอนฮ่าฮ่า..” จี้เส้าโหยวหัวเราะแห้งๆ แต่ความรู้สึกตึงเครียดและประหม่าที่อยู่ในแววตาของเขานั้นไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้เลย
จี้ช่าวเหลยกวาดตามองจี้เส้าโหยวและหญิงสาวจัดจ้านที่แต่งตัวโอเวอร์คนนั้นอยู่สองครั้งก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย“เมื่อกี้ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าก่อนที่น้องสามจะมาถึงให้นายขอโทษเสี่ยวหยูซะ และถ้านายไม่ได้รับการอภัยจากเสี่ยวหยู… อย่าว่าแต่พี่ชายคนโตของนายเลย เพราะแม้แต่พ่อแม่ของนายก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้!”
ไม่มีใครในที่นี้รู้ดีไปกว่าจี้ช่าวเหลยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้โหดร้ายแค่ไหนเมื่อต้องรับมือกับศัตรูยิ่งไปกว่านั้นเกณฑ์ที่เขาใช้ในการตัดสินใจว่าคนๆนั้นจะเป็นศัตรูหรือไม่นั้นเรียบง่ายมาก มันขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นได้สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและคนรอบข้างของเขาหรือมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่!
ด้วยมาตรฐานที่เรียบง่ายนี้เฉียวเจียไคและคนอื่นๆยังคงอยู่ในคุกเฉียวหรง เทียนกั๋วถงและคนอื่นๆยังคงได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่ในโรงพยาบาล และยังมีคนดังของเจียงโจวที่เป็นถึงประธานบริษัทในเครือทั้งหมดของฮุ่ยหวงกรุ๊ปต้องถูกระเบิดไปในคืนหนึ่ง ว่ากันว่าแม้แต่กระดูกก็ยังหาไม่เจอ!
“อะไรนะน้องสามไหน?!” จี้เส้าโหยวมึนงง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าน้องสามที่จี้ช่าวเหลยพูดนั้นหมายถึงใครแต่เขาก็อดประหม่าไม่ได้ เพราะฟังจากน้ำเสียงของจี้ช่าวเหลย ดูเหมือนว่าน้องสามที่จี้ช่าวเหลยพูดถึงจะร้ายกาจกว่าตัวเขาเองซะอีก
จี้ช่าวเหลยชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งและหัวเราะหึหึในลำคอ“เสี่ยวหยู บอกเส้าโหยวญาติผู้พี่ของเธอ แล้วก็…พี่สะใภ้ บอกพวกเขาว่าใครคือพี่สามของเธอ!”
จี้เสี่ยวหยูพูดด้วยความภาคภูมิใจทันที“พี่สามของฉันก็คือ จี้เฟิง!”
“อะไรนะ!”
ทันใดนั้นจี้เส้าโหยวแทบจะกระโดดโหยงเขามองจี้ช่าวเหลยและจี้เสี่ยวหยูอย่างตกตะลึง “พะ พวกนายพูดว่าไงนะ จี้เฟิงกำลังมาที่นี่”
แม้ว่าคนเหล่านี้จะดูหมิ่นต้นกำเนิดของจี้เฟิงมากแต่พวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของจี้เฟิงมาบ้าง แม้แต่ผู้อาวุโสในตระกูลก็ยังออกปากเตือนลูกหลานถึงเรื่องนี้ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ ‘ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าได้ปะทะกับจี้เฟิงโดยตรง เฉียวหรงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด!’
ดังนั้นชื่อของจี้เฟิงจึงมีภาพลักษณ์เช่นนี้ฝังไว้ในใจของจี้เส้าโหยว
ที่สำคัญไปกว่านั้นจี้เส้าหงพี่ชายคนโตของเขาก็ยังชื่นชมวิธีการบางอย่างของจี้เฟิงโดยเฉพาะการเอาชนะเฉียวหรงและส่งเฉียวเจียไคกับคนอื่นๆไปอยู่ในคุก!
แล้วตอนนี้จี้เฟิงคนนั้นกำลังจะมาที่นี่แล้วทำไมจี้เส้าโหยวถึงจะไม่แปลกใจล่ะ
แต่จะให้เขาต้องมาก้มหัวขอโทษเด็กสาวตัวเล็กๆแบบนี้แล้วจะให้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จี้เส้าโหยวจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้นโดยที่ไม่รู้จะทำยังไงดี!
แต่หญิงสาวจัดจ้านคนนั้นไม่รู้ว่าจี้เฟิงเป็นใครเธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า “คุณเป็นใคร คุณกับน้องสามอะไรนั่นของคุณ อยู่สายไหนของตระกูลเรา ถึงได้มาพูดจาใหญ่โตกับพวกเราแบบนี้?!”
ความโกรธของจี้ช่าวเหลยพุ่งปรี๊ดขึ้นทันทีเขาหัวเราะเยาะกับความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้และชี้ไปที่จี้เส้าโหยว “ไปถามจี้เส้าโหยวสามีของคุณดูเองก็แล้วกันว่าฉันเป็นใคร อืม.. เขาคงจะบอกเธอได้อยู่หรอกมั้งว่าฉันอยู่สายไหนในตระกูลจี้ และใหญ่กว่าเขารึเปล่า!”
แม้ว่าเขาและจี้เส้าโหยวจะอยู่กันคนละชั้นหากพูดกันตามหลักของอันดับภายในตระกูลแต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัว เป็นคนในตระกูลเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงเป็นเหมือนญาติพี่น้องโดยทั่วไป และโดยตามมารยาทการให้เกียรติแล้ว เขาจะไม่บอกให้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักกาลเทศะคนนี้ไปถามจี้เส้าโหยวอย่างโจ่งแจ้งว่าใครใหญ่กว่ากัน เพราะการทำแบบนี้มันก็เหมือนกับเขากำลังตบหน้าจี้เส้าโหยวอย่างแรง!
แต่ช่วยไม่ได้เพราะสิ่งที่จี้เส้าโหยวและผู้หญิงคนนี้ทำมันทำให้จี้ช่าวเหลยหมดความอดทน พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันระวังตัวมารังแกเสี่ยวหยู ซึ่งไม่มีมูลเหตุอันสมควรอะไรเลย มันคือการกลั่นแกล้ง! ต่อให้คุณปู่เล็กอยู่ที่นี่ด้วยจี้ช่าวเหลยก็ยังกล้าล้อเลียนจี้เส้าโหยวสักสองสามประโยคอยู่ดี หรือแม้กระทั่งลงไม้ลงมือนิดๆหน่อยๆก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“หุบปากซะยัยโง่!”ใบหน้าของจี้เส้าโหยวแดงก่ำ เขากัดฟันกรอดและคำรามเสียงต่ำ เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาของจี้ช่าวเหลยไปแล้วตอนนี้
บ้ารึเปล่า!ต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน เขาก็ไม่กล้าอวดดีต่อหน้าจี้ช่าวเหลยแน่นอน!
สมัยก่อนในตอนที่เขายังเป็นแค่นักเรียนชื่อเสียงของจี้ช่าวเหลยโด่งดังไปทั่วเมืองหยานจิง และตลอดระยะเวลาหลายปี นอกจากเรื่องที่จี้ช่าวเหลยพ่ายแพ้ให้กับเฉียวเจียไค ก็ไม่เคยมีเด็กเสเพลคนไหนที่ไม่ถูกจี้ช่าวเหลยจัดการมาก่อน แล้วจี้เส้าโหยวจะกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าจี้ช่าวเหลยได้อย่างไร
“จี้เส้าโหยวทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ล่ะการกระทำของนายมันจะไม่เกินหน้าเกินตาไปหน่อยเหรอ” จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่ชอบหน้าจี้เส้าโหยวเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดเพราะยังไงญาติก็คือญาติ และหวังว่าเขาจะเป็นคนที่ดีขึ้นกว่านี้ “เมื่อก่อนฉันเห็นนายคบกับดารานางแบบตัวเล็กตัวน้อย ก็ยังพอโอเคแต่ทำไมจู่ๆมาตรฐานของนายถึงได้ต่ำลงจนไปคว้าผู้หญิง… แบบนี้มา แล้วยังกล้ามาก่อเรื่องที่หน้าประตูนี้อีก… เฮ้อ~ น้องสามน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะมั้งเนี่ย ฮ่าฮ่า!”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของจี้เส้าโหยวและหญิงสาวจัดจ้านคนนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสีท่าทางของพวกเขาดูอึดอัดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ให้พวกเขากล่าวขอโทษเสี่ยวหยูหลังจากที่พูดจาข่มไปขนาดนั้นเนี่ยนะแล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับจี้เฟิงตรงๆ…. จี้เส้าโหยวก็ไม่มีความกล้าขนาดนั้น
ในที่สุดจี้เส้าโหยวก็กัดฟันและพูดว่า“พี่รอง ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า ในเมื่อน้องสามมาที่หยานจิงแล้ว ฉันก็ขอกลับไปเตรียมตัวก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยก็จะได้เจอและทักทายกันอย่างเป็นทางการ อีกอย่างน้องสามกับพี่รองจะได้มีเวลาพูดคุยกันเป็นส่วนตัวด้วย!”
พอพูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไปทันที
จี้ช่าวเหลยยืนยิ้มโดยที่ไม่ได้คิดจะห้าม
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากที่ไกลๆและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นก็มีขบวนรถสีดำปรากฏขึ้นบนถนน กำลังมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขายืนอยู่
“เอ๊ะ!”
จี้เส้าโหยวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ“นั่น… นั่นคือขบวนรถของคุณปู่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ!”
จี้ช่าวเหลยเผยรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปากของเขาเล็กน้อยพลางคิดในใจ ‘แน่นอนว่าต้องเป็นขบวนรถของคุณปู่ เพราะ… คุณปู่กลับมาแล้วยังไงล่ะ!’
“พี่รอง…”จี้เสี่ยวหยูที่ยืนข้างๆแอบดึงเสื้อของจี้ช่าวเหลยเบาๆ “เมื่อไหร่พี่สามจะมาเหรอคะ หรือว่า..! เขาอยู่ในขบวนรถของคุณปู่?!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มพลางพยักหน้า“ใช่แล้วเขาอยู่กับคุณปู่นั่นแหละ! ที่นี่ก็รอให้พี่สามของเธอมาชำระบัญชีให้ก็แล้วกัน!”
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะบุ้ยปาก“แล้วทำไมพี่รองถึงไม่ช่วยหนูล่ะ พี่รองไม่รักหนูแล้วเหรอ?”
“เหอะเหอะ…”จี้ช่าวเหลยส่ายหัว “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เพียงแค่ว่าโอกาสนี้มันมีไว้สำหรับพี่สามของเธอต่างหาก!”
จี้เสี่ยวหยูไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือถ้าพี่สามมาถึงเขาจะต้องช่วยเธอเรื่องที่ถูกรังแกอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้แบบนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองหญิงสาวจัดจ้านที่แต่งตัวโอเวอร์และแอบย่นจมูกน้อยๆของเธอใส่ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นอย่างไม่พอใจ
การกระทำที่ไร้เดียงสาของเธอทำให้จี้ช่าวเหลยถึงกับหัวเราะพรวดออกมาทันทีและในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมากขึ้นด้วย การรังแกคนอื่นก็ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้ว แต่การรังแกเด็กที่ไร้เดียงสาแบบนี้มันช่างน่ารังเกียจมากจริงๆ!
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ก็รีบรุมล้อมพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ทหารยามคนหนึ่งชี้ไปที่จี้เส้าโหยว“รบกวนไปขยับรถด้วยครับ อย่าจอดเกะกะขวางทางท่านหัวหน้า!”
“หัวหน้าหัวหน้าไหน?!” จี้เส้าโหยวอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็รีบขับรถไปจอดข้างถนนแล้วรีบวิ่งกลับมา ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัยมากขึ้น คนที่จะมาไม่ใช่น้องสามหรอกเหรอ? แล้วนี่มันขบวนรถของคุณปู่ไม่ใช่รึไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันหมด?!
ขบวนรถหยุดลงที่ทางเข้า ปัง!ปัง! ปัง!
ประตูด้านหน้าและด้านหลังของรถก็เปิดออกอย่างกะทันหันทหารยามต่างพากันลงจากรถด้วยท่าทางกระตือรือร้น พวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าระแวดระวัง
หลังจากนั้นทุกคนก็หันไปมองรถตรงกลางที่มีธงสีแดงปักอยู่จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขากลัวว่าข่าวที่จี้เฟิงบอกเขาจะเป็นเพียงการปลอบเขาเท่านั้น!
ปัง!
ประตูรถเปิดออกคนที่ลงมาจากรถคือเถี่ยจุนผู้มีใบหน้าเย็นชาเขารีบลงจากรถอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงอ้อมผ่านหน้ารถไปตรงที่นั่งด้านหลังแล้วเปิดประตูรถอย่างนอบน้อม
ผมสีขาวเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนจากนั้นชายชราที่มีใบหน้าผอมบางแต่มีสีผิวที่แดงก่ำ ก็ค่อยๆเดินลงมาจากรถ ร่างกายของเขามั่นคงและไร้ซึ่งความรู้สึกอ่อนแออย่างที่ชายแก่วัย 90 ปีควรจะเป็น “อ๊ะ!คุณปู่!” จี้เสี่ยวหยูเบิกตากว้างทันทีและอุทานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขและตื่นเต้น “นั่นคุณปู่นี่! พี่รอง คุณปู่ล่ะ!”
“อื้มคุณปู่กลับมาแล้ว!” จี้ช่าวเหลยก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน คุณปู่กลับมาแล้ว น้องสามไม่ได้โกหกฉัน! คุณปู่กลับมาแล้วจริงๆ!
ปัง!
ประตูอีกด้านหนึ่งของรถหงฉีก็เปิดออกเช่นกันและชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินลงมา
ทันทีที่ชายหนุ่มลงจากรถออร่าแห่งความสง่าก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันทีโดยเฉพาะสายตาที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ มันลึกล้ำแต่กลับคมกริบดังดาบสองคม สายตาของชายหนุ่มทำให้จี้เส้าโหยวไม่กล้าที่จะสบตากับเขา
“อ๊ะ!นั่นพี่สาม!” จี้เสี่ยวหยูรู้สึกดีใจมากขึ้นทันที และอดไม่ได้ที่จะตะโกน
พี่สาม
เขาคือจี้เฟิง!
จี้เส้าโหยวรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆร่างของเขาแข็งทื่อและได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้ยังไง เขานั่งรถคันเดียวกับคุณปู่ได้ยังไง!”
เมื่อจี้เสี่ยวหยูเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครดวงตาที่เต็มไปด้วยความแวววาวจากน้ำตาก็เผยความประหลาดใจออกมาทันที “พี่รอง!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีออร่าน่าเกรงขามคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือหลานชายคนที่สองของสายตรงแห่งตระกูลจี้ จี้ช่าวเหลย!
เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของจี้เสี่ยวหยูสีหน้าของจี้ช่าวเหลยที่มืดมนมากอยู่แล้วก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อมีแสงเย็นยะเยือกฉายมาจากแววตาของเขา เขาเดินไปหาจี้เสี่ยวหยูและลูบหัวของเธอเบาๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวพี่สามของเธอมาเห็นระวังจะถูกเขาหัวเราะเยาะเอานะ!”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ!”
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ“พี่สามไม่เหมือนกับพี่รองนะ เพราะพี่สามไม่มีทางหัวเราะเยาะเสี่ยวหยู!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มเยาะและพูดว่า“มั่นใจขนาดนั้นเลย”
“อื้อ!”จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าอย่างจริงจังและไม่มีความลังเลเลย แม้ว่าเธอเพิ่งจะรู้จักกับพี่ชายคนที่สามของเธอได้ไม่นาน แต่จี้เสี่ยวหยูก็รู้สึกได้ว่าพี่สามของเธอจะไม่มีทางหัวเราะเยาะที่เธอถูกรังแกอย่างแน่นอน!
“งั้นก็ดีในเมื่อเธอมั่นใจขนาดนั้นก็รอเขาอยู่ที่นี่ด้วยกันเลยและมาดูว่าถ้าเขามาถึงเขาจะหัวเราะเยาะเธอรึเปล่า!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะและในขณะเดียวกันเขาก็ตบหัวเล็กๆของจี้เสี่ยวหยูเบาๆด้วยความรัก สำหรับสาวน้อยคนนี้เขารักและเอ็นดูเธอมากและปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆเสมอ “จี้…จี้ช่าว…” จี้เส้าโหยวเพิ่งจะอ้าปากพูด เขายังเรียกชื่อของจี้ช่าวเหลยไม่เสร็จด้วยซ้ำ เขาก็ต้องหยุดชะงักทันทีด้วยความหวาดกลัวเมื่อถูกสายตาอันคมกริบของจี้ช่าวเหลยจ้องมองมา จี้เส้าโหยวจึงรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “พะ.. พี่รอง ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“ห๊ะฉันจะอยู่ที่ไหนแล้วทำไม? ฉันจะต้องคอยรายงานนายด้วยงั้นเหรอ?” จี้ช่าวเหลยถามเสียงเรียบ
“ไม่แน่นอนฮ่าฮ่า..” จี้เส้าโหยวหัวเราะแห้งๆ แต่ความรู้สึกตึงเครียดและประหม่าที่อยู่ในแววตาของเขานั้นไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้เลย
จี้ช่าวเหลยกวาดตามองจี้เส้าโหยวและหญิงสาวจัดจ้านที่แต่งตัวโอเวอร์คนนั้นอยู่สองครั้งก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย“เมื่อกี้ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าก่อนที่น้องสามจะมาถึงให้นายขอโทษเสี่ยวหยูซะ และถ้านายไม่ได้รับการอภัยจากเสี่ยวหยู… อย่าว่าแต่พี่ชายคนโตของนายเลย เพราะแม้แต่พ่อแม่ของนายก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้!”
ไม่มีใครในที่นี้รู้ดีไปกว่าจี้ช่าวเหลยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้โหดร้ายแค่ไหนเมื่อต้องรับมือกับศัตรูยิ่งไปกว่านั้นเกณฑ์ที่เขาใช้ในการตัดสินใจว่าคนๆนั้นจะเป็นศัตรูหรือไม่นั้นเรียบง่ายมาก มันขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นได้สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและคนรอบข้างของเขาหรือมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่!
ด้วยมาตรฐานที่เรียบง่ายนี้เฉียวเจียไคและคนอื่นๆยังคงอยู่ในคุกเฉียวหรง เทียนกั๋วถงและคนอื่นๆยังคงได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่ในโรงพยาบาล และยังมีคนดังของเจียงโจวที่เป็นถึงประธานบริษัทในเครือทั้งหมดของฮุ่ยหวงกรุ๊ปต้องถูกระเบิดไปในคืนหนึ่ง ว่ากันว่าแม้แต่กระดูกก็ยังหาไม่เจอ!
“อะไรนะน้องสามไหน?!” จี้เส้าโหยวมึนงง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าน้องสามที่จี้ช่าวเหลยพูดนั้นหมายถึงใครแต่เขาก็อดประหม่าไม่ได้ เพราะฟังจากน้ำเสียงของจี้ช่าวเหลย ดูเหมือนว่าน้องสามที่จี้ช่าวเหลยพูดถึงจะร้ายกาจกว่าตัวเขาเองซะอีก
จี้ช่าวเหลยชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งและหัวเราะหึหึในลำคอ“เสี่ยวหยู บอกเส้าโหยวญาติผู้พี่ของเธอ แล้วก็…พี่สะใภ้ บอกพวกเขาว่าใครคือพี่สามของเธอ!”
จี้เสี่ยวหยูพูดด้วยความภาคภูมิใจทันที“พี่สามของฉันก็คือ จี้เฟิง!”
“อะไรนะ!”
ทันใดนั้นจี้เส้าโหยวแทบจะกระโดดโหยงเขามองจี้ช่าวเหลยและจี้เสี่ยวหยูอย่างตกตะลึง “พะ พวกนายพูดว่าไงนะ จี้เฟิงกำลังมาที่นี่”
แม้ว่าคนเหล่านี้จะดูหมิ่นต้นกำเนิดของจี้เฟิงมากแต่พวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของจี้เฟิงมาบ้าง แม้แต่ผู้อาวุโสในตระกูลก็ยังออกปากเตือนลูกหลานถึงเรื่องนี้ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ ‘ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าได้ปะทะกับจี้เฟิงโดยตรง เฉียวหรงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด!’
ดังนั้นชื่อของจี้เฟิงจึงมีภาพลักษณ์เช่นนี้ฝังไว้ในใจของจี้เส้าโหยว
ที่สำคัญไปกว่านั้นจี้เส้าหงพี่ชายคนโตของเขาก็ยังชื่นชมวิธีการบางอย่างของจี้เฟิงโดยเฉพาะการเอาชนะเฉียวหรงและส่งเฉียวเจียไคกับคนอื่นๆไปอยู่ในคุก!
แล้วตอนนี้จี้เฟิงคนนั้นกำลังจะมาที่นี่แล้วทำไมจี้เส้าโหยวถึงจะไม่แปลกใจล่ะ
แต่จะให้เขาต้องมาก้มหัวขอโทษเด็กสาวตัวเล็กๆแบบนี้แล้วจะให้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จี้เส้าโหยวจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้นโดยที่ไม่รู้จะทำยังไงดี!
แต่หญิงสาวจัดจ้านคนนั้นไม่รู้ว่าจี้เฟิงเป็นใครเธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า “คุณเป็นใคร คุณกับน้องสามอะไรนั่นของคุณ อยู่สายไหนของตระกูลเรา ถึงได้มาพูดจาใหญ่โตกับพวกเราแบบนี้?!”
ความโกรธของจี้ช่าวเหลยพุ่งปรี๊ดขึ้นทันทีเขาหัวเราะเยาะกับความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้และชี้ไปที่จี้เส้าโหยว “ไปถามจี้เส้าโหยวสามีของคุณดูเองก็แล้วกันว่าฉันเป็นใคร อืม.. เขาคงจะบอกเธอได้อยู่หรอกมั้งว่าฉันอยู่สายไหนในตระกูลจี้ และใหญ่กว่าเขารึเปล่า!”
แม้ว่าเขาและจี้เส้าโหยวจะอยู่กันคนละชั้นหากพูดกันตามหลักของอันดับภายในตระกูลแต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัว เป็นคนในตระกูลเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงเป็นเหมือนญาติพี่น้องโดยทั่วไป และโดยตามมารยาทการให้เกียรติแล้ว เขาจะไม่บอกให้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักกาลเทศะคนนี้ไปถามจี้เส้าโหยวอย่างโจ่งแจ้งว่าใครใหญ่กว่ากัน เพราะการทำแบบนี้มันก็เหมือนกับเขากำลังตบหน้าจี้เส้าโหยวอย่างแรง!
แต่ช่วยไม่ได้เพราะสิ่งที่จี้เส้าโหยวและผู้หญิงคนนี้ทำมันทำให้จี้ช่าวเหลยหมดความอดทน พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันระวังตัวมารังแกเสี่ยวหยู ซึ่งไม่มีมูลเหตุอันสมควรอะไรเลย มันคือการกลั่นแกล้ง! ต่อให้คุณปู่เล็กอยู่ที่นี่ด้วยจี้ช่าวเหลยก็ยังกล้าล้อเลียนจี้เส้าโหยวสักสองสามประโยคอยู่ดี หรือแม้กระทั่งลงไม้ลงมือนิดๆหน่อยๆก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“หุบปากซะยัยโง่!”ใบหน้าของจี้เส้าโหยวแดงก่ำ เขากัดฟันกรอดและคำรามเสียงต่ำ เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาของจี้ช่าวเหลยไปแล้วตอนนี้
บ้ารึเปล่า!ต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน เขาก็ไม่กล้าอวดดีต่อหน้าจี้ช่าวเหลยแน่นอน!
สมัยก่อนในตอนที่เขายังเป็นแค่นักเรียนชื่อเสียงของจี้ช่าวเหลยโด่งดังไปทั่วเมืองหยานจิง และตลอดระยะเวลาหลายปี นอกจากเรื่องที่จี้ช่าวเหลยพ่ายแพ้ให้กับเฉียวเจียไค ก็ไม่เคยมีเด็กเสเพลคนไหนที่ไม่ถูกจี้ช่าวเหลยจัดการมาก่อน แล้วจี้เส้าโหยวจะกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าจี้ช่าวเหลยได้อย่างไร
“จี้เส้าโหยวทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ล่ะการกระทำของนายมันจะไม่เกินหน้าเกินตาไปหน่อยเหรอ” จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่ชอบหน้าจี้เส้าโหยวเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดเพราะยังไงญาติก็คือญาติ และหวังว่าเขาจะเป็นคนที่ดีขึ้นกว่านี้ “เมื่อก่อนฉันเห็นนายคบกับดารานางแบบตัวเล็กตัวน้อย ก็ยังพอโอเคแต่ทำไมจู่ๆมาตรฐานของนายถึงได้ต่ำลงจนไปคว้าผู้หญิง… แบบนี้มา แล้วยังกล้ามาก่อเรื่องที่หน้าประตูนี้อีก… เฮ้อ~ น้องสามน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะมั้งเนี่ย ฮ่าฮ่า!”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของจี้เส้าโหยวและหญิงสาวจัดจ้านคนนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสีท่าทางของพวกเขาดูอึดอัดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ให้พวกเขากล่าวขอโทษเสี่ยวหยูหลังจากที่พูดจาข่มไปขนาดนั้นเนี่ยนะแล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับจี้เฟิงตรงๆ…. จี้เส้าโหยวก็ไม่มีความกล้าขนาดนั้น
ในที่สุดจี้เส้าโหยวก็กัดฟันและพูดว่า“พี่รอง ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า ในเมื่อน้องสามมาที่หยานจิงแล้ว ฉันก็ขอกลับไปเตรียมตัวก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยก็จะได้เจอและทักทายกันอย่างเป็นทางการ อีกอย่างน้องสามกับพี่รองจะได้มีเวลาพูดคุยกันเป็นส่วนตัวด้วย!”
พอพูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไปทันที
จี้ช่าวเหลยยืนยิ้มโดยที่ไม่ได้คิดจะห้าม
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากที่ไกลๆและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นก็มีขบวนรถสีดำปรากฏขึ้นบนถนน กำลังมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขายืนอยู่
“เอ๊ะ!”
จี้เส้าโหยวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ“นั่น… นั่นคือขบวนรถของคุณปู่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ!”
จี้ช่าวเหลยเผยรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปากของเขาเล็กน้อยพลางคิดในใจ ‘แน่นอนว่าต้องเป็นขบวนรถของคุณปู่ เพราะ… คุณปู่กลับมาแล้วยังไงล่ะ!’
“พี่รอง…”จี้เสี่ยวหยูที่ยืนข้างๆแอบดึงเสื้อของจี้ช่าวเหลยเบาๆ “เมื่อไหร่พี่สามจะมาเหรอคะ หรือว่า..! เขาอยู่ในขบวนรถของคุณปู่?!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มพลางพยักหน้า“ใช่แล้วเขาอยู่กับคุณปู่นั่นแหละ! ที่นี่ก็รอให้พี่สามของเธอมาชำระบัญชีให้ก็แล้วกัน!”
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะบุ้ยปาก“แล้วทำไมพี่รองถึงไม่ช่วยหนูล่ะ พี่รองไม่รักหนูแล้วเหรอ?”
“เหอะเหอะ…”จี้ช่าวเหลยส่ายหัว “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เพียงแค่ว่าโอกาสนี้มันมีไว้สำหรับพี่สามของเธอต่างหาก!”
จี้เสี่ยวหยูไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือถ้าพี่สามมาถึงเขาจะต้องช่วยเธอเรื่องที่ถูกรังแกอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้แบบนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองหญิงสาวจัดจ้านที่แต่งตัวโอเวอร์และแอบย่นจมูกน้อยๆของเธอใส่ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นอย่างไม่พอใจ
การกระทำที่ไร้เดียงสาของเธอทำให้จี้ช่าวเหลยถึงกับหัวเราะพรวดออกมาทันทีและในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมากขึ้นด้วย การรังแกคนอื่นก็ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้ว แต่การรังแกเด็กที่ไร้เดียงสาแบบนี้มันช่างน่ารังเกียจมากจริงๆ!
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ก็รีบรุมล้อมพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ทหารยามคนหนึ่งชี้ไปที่จี้เส้าโหยว“รบกวนไปขยับรถด้วยครับ อย่าจอดเกะกะขวางทางท่านหัวหน้า!”
“หัวหน้าหัวหน้าไหน?!” จี้เส้าโหยวอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็รีบขับรถไปจอดข้างถนนแล้วรีบวิ่งกลับมา ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัยมากขึ้น คนที่จะมาไม่ใช่น้องสามหรอกเหรอ? แล้วนี่มันขบวนรถของคุณปู่ไม่ใช่รึไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันหมด?!
ขบวนรถหยุดลงที่ทางเข้า ปัง!ปัง! ปัง!
ประตูด้านหน้าและด้านหลังของรถก็เปิดออกอย่างกะทันหันทหารยามต่างพากันลงจากรถด้วยท่าทางกระตือรือร้น พวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าระแวดระวัง
หลังจากนั้นทุกคนก็หันไปมองรถตรงกลางที่มีธงสีแดงปักอยู่จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขากลัวว่าข่าวที่จี้เฟิงบอกเขาจะเป็นเพียงการปลอบเขาเท่านั้น!
ปัง!
ประตูรถเปิดออกคนที่ลงมาจากรถคือเถี่ยจุนผู้มีใบหน้าเย็นชาเขารีบลงจากรถอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงอ้อมผ่านหน้ารถไปตรงที่นั่งด้านหลังแล้วเปิดประตูรถอย่างนอบน้อม
ผมสีขาวเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนจากนั้นชายชราที่มีใบหน้าผอมบางแต่มีสีผิวที่แดงก่ำ ก็ค่อยๆเดินลงมาจากรถ ร่างกายของเขามั่นคงและไร้ซึ่งความรู้สึกอ่อนแออย่างที่ชายแก่วัย 90 ปีควรจะเป็น “อ๊ะ!คุณปู่!” จี้เสี่ยวหยูเบิกตากว้างทันทีและอุทานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขและตื่นเต้น “นั่นคุณปู่นี่! พี่รอง คุณปู่ล่ะ!”
“อื้มคุณปู่กลับมาแล้ว!” จี้ช่าวเหลยก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน คุณปู่กลับมาแล้ว น้องสามไม่ได้โกหกฉัน! คุณปู่กลับมาแล้วจริงๆ!
ปัง!
ประตูอีกด้านหนึ่งของรถหงฉีก็เปิดออกเช่นกันและชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินลงมา
ทันทีที่ชายหนุ่มลงจากรถออร่าแห่งความสง่าก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันทีโดยเฉพาะสายตาที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ มันลึกล้ำแต่กลับคมกริบดังดาบสองคม สายตาของชายหนุ่มทำให้จี้เส้าโหยวไม่กล้าที่จะสบตากับเขา
“อ๊ะ!นั่นพี่สาม!” จี้เสี่ยวหยูรู้สึกดีใจมากขึ้นทันที และอดไม่ได้ที่จะตะโกน
พี่สาม
เขาคือจี้เฟิง!
จี้เส้าโหยวรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆร่างของเขาแข็งทื่อและได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้ยังไง เขานั่งรถคันเดียวกับคุณปู่ได้ยังไง!”