อันที่จริงเรื่องที่ว่าทำไมจู่ๆคุณปู่ถึงได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจี้เฟิงนั้นสงสัยมาเป็นเดือนแล้ว แต่เมื่อเขาถามคุณปู่ เขาก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ต้องการเลย และแน่นอนว่าคนอื่นๆก็ได้แต่หุบปากเงียบไม่พูดไม่จา
ดังนั้นตอนนี้จี้เฟิงจึงพุ่งเป้าไปที่น้าหงเธอเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของคุณปู่เธอจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน!
จี้ช่าวเหลยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ถ้าจะถามว่าน้าหงรู้มั้ย ฉันคิดว่าน้าหงต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ถ้าถามว่าน้าหงจะยอมบอกพวกเรามั้ย ฉันว่ายาก ถ้าไม่มีคำสั่งจากคุณปู่ ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆหรอก
จี้ช่าวเหลยเองก็สงสัยเรื่องที่ผู้อาวุโสเฒ่าต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันอยู่เหมือนกันเขาเคยสืบเรื่องนี้มาเกือบทุกช่องทางแล้ว รวมถึงน้าหงและเถี่ยจุนองครักษ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสเฒ่าด้วยแต่ก็เปล่าประโยชน์
เมื่อจี้เฟิงได้ยินแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
อันที่จริงจี้เฟิงก็พอจะเดาได้ว่าเหตุผลที่ทำให้ปู่ของเขาต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะต้องมีความสำคัญมากมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นข้อพิพาทระหว่างสายตรงกับสายรอง ไม่อย่างนั้นคุณปู่ของเขาคงจะไม่นิ่งเฉยแบบนี้แน่ เพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้!
ช่างมันเถอะอย่าไปคิดถึงเรื่องนี้เลยถ้าคุณปู่คิดว่าถึงเวลาที่พวกเราควรรู้ เขาก็จะบอกเราเองนั่นแหละ! จี้ช่าวเหลยยิ้ม ตอนนี้ที่เขาไม่ได้พูด ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีผลต่อพวกเรามากนัก หรือพูดอีกอย่างคือคุณปู่คงจัดการเองได้!
จี้เฟิงครุ่นคิดและพยักหน้าเห็นด้วย อืมงั้นก็ช่างมัน เราไปกันเถอะ! ตามที่จี้ช่าวเหลยบอก แม่ของจี้เฟิงไม่ได้อาศัยอยู่ในซื่อเหอหยวน แต่อาศัยอยู่กับพ่อของจี้เฟิงในชุมชนระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งใกล้กับที่ทำงาน จี้เจิ้นผิงอาสามของจี้เฟิงก็ซื้อบ้านอยู่ที่ชุมชนนั้นเช่นกัน ทั้งสองครอบครัวค่อนข้างสนิทสนมกัน ปกติเมื่อจี้เสี่ยวหยูกลับมาจากโรงเรียน เธอก็มักจะไปชอบไปคุยเล่นกับป้าใหญ่ของเธอเสมอ
แต่จี้เฟิงรู้สึกได้รางๆว่าพ่อนั้นใส่ใจความรู้สึกของแม่มากเขาอยากให้แม่ได้มีเวลาปรับตัว คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในหยานจิง พ่อจึงพาแม่ย้ายไปอยู่ข้างนอก
หลังจากที่แม่อาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆอย่างหมางซือมาเป็นเวลาหลายปีถ้าจู่ๆให้ย้ายไปอยู่ในบ้านใหญ่ในฐานะภรรยาของผู้นำรุ่นที่สองอย่างเป็นทางการ แม่ก็คงจะอึดอัดไม่ใช่น้อย
……………..
ผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้หายดีแล้วเขากลับมาแล้ว!
ข่าวนี่ได้แพร่กระจายไปถึงหูของทุกคนอย่างรวดเร็วราวกับมันมีปีก ในบรรดาผู้ที่ได้ยินข่าวก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกันไปทั้งประหลาดใจ ตกใจ ดีใจและยินดี
แต่คนที่ตกใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นผู้ที่รู้เกี่ยวกับอาการป่วยของผู้อาวุโสจี้อย่างละเอียด
ที่สุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าเสื่อมถอยลงก็เป็นตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะแก่ชราลงตามวันเวลา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งธรรมชาติได้ แล้วทำไมจู่ๆผู้อาวุโสจี้ถึงฟื้นตัวขึ้นมาได้ขนาดนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการวินิจฉัยก่อนหน้านี้มันผิด
ในตอนนั้นเองหลายๆคนก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่ห้องพยาบาลพิเศษของผู้อาวุโสจี้ จู่ๆก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น และแม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ตอนนี้ถ้าคุณลองมองย้อนกลับไปอย่างละเอียดมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ออกไป ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนั้นน่าจะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวของผู้อาวุโสจี้
แต่ไม่ว่าใครจะสงสัยหรือใครจะคาดเดาอย่างไรก็มีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นให้ทุกคนได้รับรู้อย่างชัดเจน นั่นก็คือผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ได้กลับมาที่ซื่อเหอหยวนแล้ว!
มันเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถบิดเบือนได้
จากนี้ต่อไปคนเหล่านั้นควรจะคิดหาวิธีจัดการกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับตระกูลจี้ได้แล้วแต่เดิมในตอนที่ผู้อาวุโสจี้ล้มป่วย พอพวกเขาได้ยินข่าวว่าผู้อาวุโสจี้เหลือเวลาไม่มากนัก บางคนหรือบางตระกูลก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างโง่เขลา แต่พอได้ยินข่าวการกลับมาของผู้อาวุโสจี้ หัวใจของพวกเขาก็พลันเต้นรัว ราวกับมีใครมากระหน่ำตีกลองอยู่ในอก
มันแทบจะเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางกระหม่อมของพวกเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว!
วิธีการของผู้อาวุโสแห่งตระกูลจี้เป็นที่ตระหนักดีของทุกคนที่เคยเผชิญหน้ากับเขามาแล้วตอนนั้นต่อให้เป็นผู้อาวุโสจี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับบุคคลเบื้องบนที่เหนือกว่า เขาก็ยังกล้าที่จะตบโต๊ะแม้ว่าเขาจะถูกลดตำแหน่ง แต่ด้วยวิสัยทัศน์และฝีมือที่เก่งกาจของเขาก็ไม่มีใครมาแทนที่ได้ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างแน่นอน!
แม้ว่าผู้อาวุโสจี้จะไม่ได้สนใจเรื่องระหว่างตระกูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและแม้แต่ลูกชายทั้งสามของเขาก็ยังคงทำงานหนักต่อสู้มาด้วยตัวเอง แต่ความจริงแล้วไม่มีใครกล้าลืมว่าผู้อาวุโสจี้ยังคงมีตัวตนอยู่!
ความจริงไม่ต้องรอให้ผู้อาวุโสจี้พูดพวกเขาทุกคนก็ต้องระมัดระวังตัวกันอยู่เป็นนิจ เพราะถ้าหากพลาดพลั้งทำให้ผู้อาวุโสจี้ต้องเอ่ยปากด้วยตัวเอง ผลที่ตามมามันจะเลวร้ายมาก เดิมทีพวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสจี้เหลือเวลาอีกไม่มากนักบางคนและบางตระกูลจึงเตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แต่พอได้ยินข่าวว่าผู้อาวุโสจี้กลับมาแล้ว พวกเขาก็ตกอยู่ในภาวะตึงเครียดขึ้นมาทันที และในขณะเดียวกันก็เริ่มคิดหาวิธีรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลจี้และคิดวิธีเตรียมรับมือในทุกๆทางที่อาจจะเกิดขึ้น
เพราะถ้ามีคนไหนหรือตระกูลใดที่ถูกผู้อาวุโสจี้เพ่งเล็งล่ะก็….
นี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายนอกเท่านั้นแต่หลายคนในตระกูลก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าไม่ต่างกัน
เมื่อสามพี่น้องของจี้เจิ้นหัวได้รับข่าวนี้พวกเขาทั้งตกใจดีใจและไม่อยากจะเชื่อในเวลาเดียวกันพ่อกลับบ้านได้แล้ว ทำไมพวกเขาที่เป็นลูกถึงไม่รู้ข่าวนี้
พวกเขารีบโทรติดต่อไปยังซื่อเหอหยวนทันทีน้าหงเป็นคนรับสาย และเมื่อได้รับคำยืนยันอย่างชัดเจนจากปากของเธอ พวกเขาก็รู้สึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้แต่จี้เจิ้นผิงที่พอจะรู้เรื่องภายในอยู่บ้างก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงแต่พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกดีใจจนแทบจะกระโดดตัวลอย
เจ้าเด็กเหลือขอจี้เฟิงนั่นรักษาผู้เฒ่าได้จริงๆ!
จี้เฟิงรู้สึกว่าการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขาคือการพาจี้เฟิงไปพบผู้อาวุโสเฒ่าและเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างเคร่งครัดนอกจากคนระดับสูงที่จำกัดแล้ว เขาก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรกับใครอีก แม้แต่พี่ใหญ่กับพี่รองของเขาเอง เขาก็ไม่เคยปริปากบอกอะไรก่อนที่ผู้อาวุโสเฒ่าจะหายดี
เพราะถ้าหากพวกเขาคิดว่าจี้เฟิงกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่เกินตัวและออกมาขวางทางเรื่องก็คงจะลำบากและยุ่งเหยิงมากไปกว่านี้
แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าสิ่งที่จี้เฟิงจะคืนกลับมาให้จะเป็นเซอร์ไพรส์ที่ใหญ่ขนาดนี้! เจ้าเด็กเหลือขอนี่ไม่ทำให้ฉันต้องผิดหวังจริงๆ! หลังจากวางสายจี้เจิ้นผิงก็พูดกับตัวเองด้วยสีหน้าดีใจ
ทันใดนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา เหอะ! ทีนี้ล่ะคงจะมีคนปวดหัวแน่!
ความจริงแล้วจี้เจิ้นผิงนั้นเดาถูกการที่จู่ๆผู้อาวุโสจี้ฟื้นตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และกลับเข้าซื่อเหอหยวนแบบกะทันหันทำให้คนสายรองของตระกูลจี้ถึงกับโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด
เดิมทีพวกเขายังแอบวางแผนกันอยู่เลยว่าเมื่อผู้อาวุโสจี้จากไปพวกเขาจะทำอย่างไรถึงจะสามารถผลักดันทายาทสายรองให้เป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สามได้ แต่จู่ๆก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขารู้สึกราวกับถูกกระบองยักษ์ฟาดลงกลางหัวอย่างแรงจนทำให้มึนงงจนเห็นดาวระยิบระยับ
ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งเมืองหยานจริงนั้นเกิดความโกลาหลกับการกลับมาของผู้อาวุโสแห่งตระกูลจี้
………………
ซูเหม่ยเย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะเราจะไปหาคุณพ่อที่ซื่อเหอหยวน ไปทานข้าวเย็นที่นั่นกัน!
ในชุมชนระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งในหยานจิงเซียวซูเหม่ยนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ตรงกันข้ามกันเธอมีผู้หญิงอายุประมาณ 40 ปีกำลังนั่งปอกเปลือกผลไม้ด้วยรอยยิ้มอยู่เงียบๆ
ไปทานข้าวกับคุณพ่อ เซียวซูเหม่ยชะงักไปเล็กน้อยตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสจี้เข้าโรงพยาบาล นอกจากจะแสดงความกตัญญูเล็กๆน้อยๆด้วยการกลับไปทำความสะอาดบ้านให้ผู้อาวุโสจี้อยู่เป็นประจำแล้ว เธอก็ไม่เคยไปกินข้าวที่นั่นมาก่อน
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเธอเงยหน้ามองไปที่เซียวซูเหม่ยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ที่กระทรวงไม่ยุ่งเหรอ เซียวซูเหม่ยไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องไปกินข้าวกับผู้อาวุโสจี้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อสามีเป็นคนจัดการ เช่นนั้นก็ตามไปก็แล้วกัน เธอเป็นห่วงก็แค่สุขภาพร่างกายของสามี หลายเดือนมานี้ สามีของเธอผอมลงมาก เห็นได้ชัดว่าเขาทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลากินข้าวพักผ่อน
ก็ยุ่งแหละแต่ไม่ว่าวันนี้จะยุ่งแค่ไหน ฉันก็ต้องมีเวลาให้กับการรวมตัวของครอบครัว! ในโทรศัพท์ เสียงของจี้เจิ้นหัวดูร่าเริงมาก นี่ยิ่งทำให้เซียวซูเหม่ยรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
ในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจี้เจิ้นหัวจะมีรอยยิ้มเสมอเวลาที่เขากลับบ้าน แต่เซียวซูเหม่ยก็ยังคงเห็นร่องรอยแห่งความกังวลอยู่บนใบหน้าของเขา แต่ตอนนี้จากที่ฟังน้ำเสียงของเขาดูร่าเริงจริงๆ
เจิ้นหัวเกิดอะไรขึ้นกันแน่เป็นเรื่องดีหรือเปล่า? เซียวซูเหม่ยถามอย่างลังเล
แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องที่ดีมากเลยล่ะ! จี้เจิ้นหัวที่มีบุคลิกสงบนิ่งสุขุมและน่าเกรงขามมาโดยตลอด เวลานี้ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้น คุณพ่อหายดีแล้ว ตอนนี้เขากลับมาอยู่ที่ซื่อเหอหยวนแล้วด้วย คืนนี้พวกเราไปหาเขาด้วยกันนะ!
จริงเหรอ เซียวซูเหม่ยก็ดีใจเช่นกันแม้ว่าการฟื้นตัวของผู้อาวุโสจี้จะไม่ได้ส่งผลกับการดีใจของเธอโดยตรง แต่เธอรู้ว่าตอนนี้สามีของเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อของเขา ดังนั้นเมื่อผู้อาวุโสจี้หายดีสามีก็อารมณ์ดี และเขาก็สามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ
งั้นแค่นี้ก่อนนะผมยังมีงานที่ต้องสะสางอยู่อีกนิดหน่อย! จี้เจิ้นหัวพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากวางสายแล้วเซียวซูเหม่ยก็ยิ้มทันที
หญิงวัยกลางคนเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเซียวซูเหม่ยก็อดถามด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า พี่สะใภ้ใหญ่ พี่เขยโทรมาเหรอ มีเรื่องอะไรดีๆล่ะสิ! เซียวซูเหม่ยยิ้มและกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีจริงๆนั่นแหละ ผู้อาวุโสจี้หายดีแล้ว เห็นเจิ้นหัวบอกว่าเขากลับมาที่ซื่อเหอหยวนแล้วด้วยนะ!
จริงเหรอ! หญิงวัยกลางคนก็แปลกใจแต่เมื่อเธอกำลังจะอ้าปากคุยต่อ เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาทันที เจิ้นผิงโทรมา!
เซียวซูเหม่ยยิ้มทันที คงโทรมาบอกเรื่องมื้อค่ำวันนี้แน่ๆเลย
ตามที่คาดไว้จี้เจิ้นผิงโทรมาบอกภรรยาของเขาว่าคืนนี้ไปกินข้าวที่ซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสเฒ่าด้วยกัน
พี่สะใภ้พี่พูดถูกจริงๆด้วย! หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เสี่ยวหยูโทรหาฉันและบอกว่าเสี่ยวเฟิงก็มาที่หยานจิงเช่นกัน พี่สะใภ้ใหญ่บางทีวันนี้เราอาจจะได้เจอเสี่ยวเฟิง
เสี่ยวเฟิงก็มาด้วยเหรอ เซียวซูเหม่ยอึ้งไปทันทีเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทั้งสองคนสะดุ้งตกใจเสียงเคาะประตูนี้รุนแรงมากใครกันที่กล้ามาทำแบบนี้
คุณผู้หญิงฉันจะไปเปิดประตูนะคะ ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังโซฟา เธอเดินอย่างรวดเร็วไปที่ประตู
พี่สะใภ้ใหญ่ผู้คุ้มกันที่พี่เขยหามาให้นี่ไม่เลวเลย! หญิงวัยกลางคนยิ้มและชื่นชม
และในขณะนั้นเองมีเสียงที่แหลมบาดหูดังลอดเข้ามาจากทางประตู เซียวซูเหม่ยอยู่ที่ไหน ไปเรียกเซียวซูเหม่ยออกมาเดี๋ยวนี้! อะไรกันลูกชายของตัวเองมารังแกลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉัน แต่ไม่กล้าโผล่หัวออกมาเป็นแม่คนซะเปล่า!
ในห้องนั่งเล่นสีหน้าของเซียวซูเหม่ยกับหญิงวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปทันที