เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าถัง*เอ้อเหย่ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างและแค่นอย่างเย็นชาขึ้นจมูก “เสือถัง พูดจาระวังด้วย!”
“โฮะๆๆ!”
ผู้เฒ่าถังหัวเราะเยาะเย้ยและพูดอย่างเหยียดหยาม“นายท่านรอง! เจ้านี่สุดยอดจริงๆ พอแก่แล้วดูเหมือนจะเก่งกล้าขึ้นเยอะเลยนะ!” จากนั้นผู้เฒ่าถังก็ทุบโต๊ะเสียงดัง “เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าเคยถูกข้าทุบตีสั่งสอนยังไง!”
“เจ้า…..!”
ใบหน้าของเอ้อเหย่แดงก่ำขึ้นมาทันทีแม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวผู้เฒ่าถังอยู่ไม่น้อย
“เหอะ!” ผู้เฒ่าถังเหลือบมองเขาอย่างรังเกียจแต่ไม่ใช่แค่มองเขายังพูดโดยไม่ไว้หน้าอีกว่า “เอ้อเหย่ ต่อหน้าท่านหัวหน้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำตัวอวดดีเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านหัวหน้าต้องเข้าโรงพยาบาล ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า! แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาทำตัวขวางทางข้าเช่นนี้หรือ
“เอ้อเหย่ต่อหน้าตาแก่อย่างข้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาทำตัวหยิ่งยโสเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านหัวหน้าต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า! แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้ามาขวางทางข้าอีกงั้นรึ เชื่อหรือไม่ว่าแค่กระบวนท่าเดียวข้าก็ทำเจ้าล้มได้!”
ในประโยคสุดท้ายผู้เฒ่าถังพูดด้วยน้ำเสียงอันดุดัน ดวงตาพยัคฆ์คู่นั้นจ้องเขม็งไปที่เอ้อเหย่ ราวกับเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ สองมือกำแน่นเตรียมพร้อมที่จะล้มเอ้อเหย่ได้ทุกเวลา!
“ฮึ่ม!ข้าจะไม่ถือสาคนแก่อารมณ์ร้อนอย่างเจ้า!” เอ้อเหย่แค่นเสียงแล้วหันหน้าไปไม่สนใจผู้เฒ่าถังอีกราวกับว่าเขาไม่อยากจะทะเลาะกับคนแก่ขี้โมโห แต่หลายคนที่ตาดีพอนั้นย่อมจะมองออกว่าเอ้อเหย่ผู้นี้หวาดกลัวผู้เฒ่าถังมากทีเดียว
“ยังจะทำปากดีอีก!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ “ฉันขอเตือนเจ้าไว้เลยนะว่าถ้าในอนาคตเจ้ายังทำตัวไม่เหมาะสมกับท่านหัวหน้าอีก ข้านี่แหละจะเป็นคนทำลายเจ้าด้วยมือของข้าเอง และแม้แต่คำสั่งของท่านหัวหน้าก็ไม่อาจหยุดข้าได้!”
แม้จะถูกพูดใส่หน้าเช่นนี้แต่เอ้อเหย่กลับหลับตาลงและไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดอันดุดันของผู้เฒ่าถัง
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
ผู้อาวุโสจี้ที่นั่งอยู่ตรงกลางวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับพูดเสียงเบา
ผู้เฒ่าถังนั่งลงอย่างเงียบๆและไม่กล้าพูดอะไรอีก ผู้อาวุโสจี้ทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการถกเถียงทะเลาะกันระหว่างชายชราทั้งสองเขาแค่มองไปทางจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลิงน้อย รีบมาทักทายผู้หลักผู้ใหญ่เร็วเข้า เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้ไม่รู้จักมารยาทกันเลยหรืออย่างไร สงสัยต้องจับมาอบรมสั่งสอนกันชุดใหญ่ และถ้าครั้งหน้ายังเป็นเช่นนี้อีกข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่!”
จี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงยิ้มน้อยๆออกมาพร้อมกันและรีบเดินเข้าไปหา
ทั้งสองคนรู้ดีว่าคำพูดของผู้อาวุโสเฒ่าไม่ได้พูดถึงแค่พวกเขาเท่านั้นแต่ความหมายในคำพูดนั้น เห็นได้ชัดว่าไปกระทบกับการกระทำของท่านเอ้อเหย่และผู้เฒ่าถังอีกด้วย สำหรับคนอื่นๆตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ตาบอดหูหนวกก็คงจะเข้าใจถึงความหมายนี้เช่นกัน
และที่สำคัญจากสิ่งนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฒ่านั้นไม่พอใจเอ้อเหย่มากเหมือนกันดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ผู้เฒ่าถังปลดปล่อยอารมณ์โกรธและดุด่าเอ้อเหย่อย่างเต็มที่ เพราะถ้าผู้อาวุโสเฒ่าไม่อนุญาต ต่อให้ผู้เฒ่าถังเป็นคนเปิดเผยและใจกล้ามากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าทำตัวอวดดีข้ามหน้าข้ามตาท่านหัวหน้าของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเอ้อเหย่ได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาหลับตาลงอีกครั้งและหันหน้าหนีไม่กล้าพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“น้องสามนี่คือปู่รอง อย่างที่เจ้ารู้อยู่แล้ว เจ้าจะเรียกว่าปู่รองหรือปู่น้อยก็ได้” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณปู่รองสวัสดีครับ ผมคือจี้เฟิง!” จี้เฟิงทักทายด้วยความสุภาพและจริงใจ
ใครจะรู้ว่าเอ้อเหย่ลืมตาขึ้นเล็กน้อยเขาเหลือบมองจี้เฟิงและพูดขึ้นว่า “เจ้าคือจี้เฟิงหรือ เจ้ามาถึงหยานจิงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“เพิ่งมาถึงครับ”จี้เฟิงตอบอย่างใจเย็น “เหอะ!”
เห็นได้ชัดว่าเอ้อเหย่รู้ว่าจี้เฟิงโกหกในความเป็นจริงเอ้อเหย่รู้อยู่แล้วว่าจี้เฟิงมาที่หยานจิงนานแล้ว และเรื่องอาการของผู้อาวุโสเฒ่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับจี้เฟิงอย่างแน่นอน แต่เขาไม่สามารถเปิดโปงได้ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าจี้เฟิงถามกลับมาว่า ‘แล้วท่านปู่รองรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นี่นานแล้ว’ เพียงแค่คำถามง่ายๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาพูดไม่ออก
“เป็นเด็กต้องมีมารยาทซื่อสัตย์ และเคารพผู้อาวุโส!” ผู้อาวุโสรองเหลือบมองจี้เฟิงแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ถึงเจ้าจะเกิดและเติบโตในชนบท แต่ในเมื่อเจ้าเป็นลูกชายของเจิ้นหัว ก็เท่ากับว่าเป็นคนของตระกูลจี้ของพวกเรา ดังนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะเอาความมักง่ายอย่างในชนบทมาใช้ที่นี่ ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับตระกูลจี้ของพวกเรา และต้องมีวิสัยทัศน์หัดมองการณ์ไกลให้เป็น อย่าตาต่ำ! เจ้าทำได้หรือไม่!”
คำพูดนี้ทำให้จี้เจิ้นผิงและผู้เฒ่าถังต้องขมวดคิ้วแต่จี้เจิ้นหัวและผู้อาวุโสจี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสรองเพิ่งพูดกับจี้เฟิง
จี้เฟิงเองก็มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นกันเขายิ้มบางๆ “เรื่องการเคารพผู้อาวุโส ผมต้องทำอยู่แล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องวิสัยทัศน์ของผมนั้น… เฮ้อ~ แย่หน่อยนะครับ เพราะผมค่อนข้างจะโง่เรื่องแบบนี้ สงสัยว่าในอนาคตผมคงต้องเชิญคุณปู่รองมาที่บ้านบ่อยๆซะแล้วล่ะครับ เพราะถ้าไม่ได้คุณปู่รองมาช่วยสอนให้ ผมก็คงจะพัฒนาได้ยาก!”
ผู้อาวุโสรองเบิกตาโพลงขึ้นทันทีและจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิง“ไอ้หนู เจ้าหมายความว่ายังไง!”
จี้เฟิงหัวเราะเบาะๆและกล่าวว่า“คุณปู่รองโปรดอย่าเข้าใจผิด ผมเพิ่งมาจากชนบทอันห่างไกลความเจริญ ดังนั้นเลยอาจจะสื่อสารอะไรที่ทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อน! ในส่วนของเรื่องนี้ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ แต่ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณปู่ พวกท่านจะต้องต้อนรับคุณปู่รองในฐานะแขกอย่างดีที่สุดแน่นอน เพราะไม่ว่ายังไงพวกเราก็ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสรองเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงพูดเขาสูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
สิ่งที่จี้เฟิงเพิ่งพูดมานั้นสมเหตุสมผลและเป็นความจริงทุกประการเพราะที่นี่คือบ้านของผู้อาวุโสเฒ่า ดังนั้นจี้เจิ้นหัวและจี้เฟิงก็เหมือนเป็นเจ้าของที่นี่ด้วยเช่นกัน
และแน่นอนว่าปู่รองของจี้เฟิงคนนี้ก็ต้องมีบ้านที่เป็นของเขาเองและในเมื่อเขามาที่นี่ เขาก็ต้องกลายเป็นแขกไปโดยปริยาย แม้ว่าเขาและผู้อาวุโสเฒ่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นแขกด้วย!
สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสรองโกรธมากที่สุดคือความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดที่ดูเหมือนจะสุภาพของจี้เฟิง[ “พวกเราต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของตระกูลจี้ ต่อให้ผมมาจากชนบทแถมยังไม่รู้จักมารยาท แต่ก็ยังคงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ดี ส่วนคุณปู่รอง คุณเป็นแค่แขกก็ควรจะรู้จักฐานะของตัวเองให้ดี!” ]
ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจความหมายในคำพูดของจี้เฟิงแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดของจี้เฟิงนั้นเป็นคำพูดที่แฝงไว้ด้วยความหมายทุกคำที่เขาพูดล้วนอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ทุกคนจับผิดหาเรื่องเขาจากเรื่องนี้ไม่ได้ และอีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากฐานะของจี้เฟิง คนอื่นๆยังคงไม่ลืมว่าจี้เฟิงเป็นหลานชายคนโตของตระกูลจี้ แม้ว่าเขาจะถูกตั้งคำถามในเรื่องของความสามารถที่เหมาะสม แต่นอกเสียจากเขาจะทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ สถานะของเขาก็จะไม่เปลี่ยนไป
และในสถานการณ์เช่นนี้หากมีใครกล้าตำหนิจี้เฟิงต่อหน้าผู้อาวุโสเฒ่า มันจะไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้งั้นหรือ แล้วแบบนี้ใครล่ะที่จะกล้า?! ในขณะที่มองดูจี้เฟิงจี้ช่าวเหลยนั้นเหงื่อแตกพลั่ก มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมจี้เฟิงอยู่ในใจ เท่าที่เขาจำได้ มีคนไม่น้อยที่สามารถพูดคำพูดที่เฉียบคมดุจใบมีดได้แบบนี้ แต่คนที่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสรองนั้นไม่มีอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงเป็นคนแรก!และก็น่าจะเป็นคนเดียวด้วย!
อย่างไรก็ตามเอ้อเหย่กลับไม่สามารถตอบโต้คำพูดของจี้เฟิงได้เลยเขาแค่นเสียงอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก
จี้ช่าวเหลยอดใจเต้นไม่ได้คำพูดเมื่อกี้ของจี้เฟิงมันไม่ต่างจากการตบหน้าคุณปู่รองอย่างแรง!
อย่างน้อยการตบครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนสาขารองทั้งหมดต้องตาเบิกกว้างใบหน้าร้อนผ่าว คำพูดนี้เป็นการตบที่รุนแรงยิ่งกว่าที่จี้เส้าโหยวและจางหยุนเอ๋อโดนไปก่อนหน้านี้เสียอีก
พร้อมกันนั้นจี้เฟิงได้แสดงอำนาจในฐานะหลานชายคนโตของผู้นำตระกูลจี้อย่างแท้จริงทันทีที่ผู้อาวุโสรองพูดจายั่วยุเขา เขาก็ตบกลับไปอย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี!
ทุกคนอดรู้สึกตกใจไม่ได้แทบจะในเวลาเดียวกัน หัวใจของทุกคนพลันสั่นสะท้าน ช่างเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งจริงๆ!
“ฮ่าฮ่าฮ่า~!!”
ในเวลานี้แม้แต่เสียงเข็มร่วงก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจนเพราะทุกคนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่อยู่ๆ ผู้เฒ่าถังก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับตบต้นขาของตัวเองเบาๆ “เด็กดี คำพูดของเจ้านั้นถูกต้องแล้ว ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องเชิญนายท่านรองมาช่วยอบรมสั่งสอนเจ้าในฐานะแขกบ่อยๆ และเจ้าก็ควรที่จะตั้งใจเรียนรู้ให้ดี จะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเจริญก้าวหน้า!”
“คำพูดของท่านผู้เฒ่าจี้เฟิงจะจำไว้ให้ดีครับ!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ดูสง่างามมาก
หางตาของเอ้อเหย่กระตุกขึ้นๆลงๆหน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรออกไปได้ ความรู้สึกนี้มันช่าง…
ชายวัยกลางคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆถังเจี้ยนกั๋วก็มีสีหน้าน่าเกลียดอย่างชัดเจนอีกทั้งชายหนุ่มสองคนก็มีสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
การตบอย่างรุนแรงของจี้เฟิงในครั้งนี้ได้ฝากรอยประทับเป็นรูปฝ่ามือสีแดงสดไว้บนใบหน้าพวกเขาอย่างชัดเจนมันเจ็บปวดมาก!
จี้ช่าวเหลยมองฉากตรงหน้าเขารู้สึกราวกับว่าได้กินน้ำเย็นจัดที่ใส่น้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนร่างกายของเขารู้สึกได้ถึงความสดชื่นจนแทบจะตัวสั่น เขาฝืนกลั้นหัวเราะแล้วพูดกับจี้เฟิงว่า “น้องสาม สองคนนี้คือลุงจี้เจิ้นเย่ และอาจี้เจิ้นซาน เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของเรา”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคนทั้งสอง“สวัสดีครับคุณลุง คุณอา!”
“อืมไหว้พระเถอะ!” ใบหน้าของสองพี่น้องจี้เจิ้นเย่และจี้เจิ้นซานดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสรองก็เป็นพ่อของพวกเขา และแน่นอนว่าการตบของจี้เฟิงไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าผู้อาวุโสรองเท่านั้น แต่มันเหมือนกับจี้เฟิงได้ตบหน้าพวกเขาด้วย หากพวกเขายังคงฝืนสีหน้าได้เป็นปกติก็คงจะแปลก!
ทั้งสองคนนี้ดูไม่มีความสงบนิ่งและมั่นคงเหมือนอย่างจี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิงที่พวกเขาสามารถอยู่ในตำแหน่งระดับสูงอย่างในทุกวันนี้ได้ แทบไม่ได้เป็นเพราะความสามารถของพวกเขาเลย แต่เป็นเพราะอิทธิพลของตระกูลจี้!
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยไม่สนใจว่าสีหน้าของพวกเขาจะเป็นยังไงพวกเขาหันไปหาชายหนุ่มอีกสองคน
“น้องสามสองคนนี้คือลูกพี่ลูกน้องของนาย จี้เส้าหง และจี้เส้าโหยว!” จี้ช่าวเหลยแนะนำด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าสายตาของเขากวาดมองใบหน้าของจี้เส้าหงอย่างไร้ร่องรอย“สวัสดีครับญาติผู้พี่ทั้งสอง น้องชายคนนี้เพิ่งมาหยานจิงเป็นครั้งแรก หากเผลอทำอะไรไม่ดีก็ต้องขออภัยด้วย!”
“ฮึ่ม!”
จี้เส้าโหยวแค่นเสียงเบาๆด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
แต่จี้เส้าหงกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่มีปัญหา เสี่ยวเฟิง ต่อไปถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็มาถามฉันได้เลย”
แม้จี้เส้าหงจะพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่จี้เฟิงกลับมองเห็นประกายเย็นเยียบในดวงตาของจี้เส้าหงเห็นได้ชัดว่าในใจของคนผู้นี้ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นที่ภายนอก
“โอ้ว!”จี้เฟิงอุทานและหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณมากครับพี่ชาย ฉันมีคำถามจะถามพี่เส้าหงพอดีเลย ไม่ทราบว่าพี่ชายเส้าหงจะสะดวกให้คำชี้แนะน้องชายคนนี้สักหน่อยได้หรือเปล่า” ทุกคนพากันตกตะลึงทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่เส้าหงพูดนั้นเป็นเพียงการพูดตามมารยาทเท่านั้น แต่จี้เฟิงกลับ*ตีงูด้วยไม้เรียว และตั้งคำถามโดยไม่เกรงใจ เจ้าเด็กนี่มันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
มีเพียงผู้เฒ่าถังเท่านั้นที่มีสีหน้าตื่นเต้น
ส่วนผู้อาวุโสจี้ยังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย
“พี่ชายเส้าหงฉันอยากรู้จริงๆว่า ในขณะที่ดวงตาของคุณมีประกายเย็นเยียบขนาดนี้ทำไมใบหน้าของคุณถึงได้มีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเช่นนี้ได้” จี้เฟิงหัวเราะและถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เป็นไปได้หรือเปล่าว่าพี่ชายเส้าหงจะมีความสามารถทางด้านนี้เป็นพิเศษ ใจคิดอย่างหนึ่งแต่กลับแสดงสีหน้าออกมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง?”
“โฮะๆๆ!”
ผู้เฒ่าถังหัวเราะเยาะเย้ยและพูดอย่างเหยียดหยาม“นายท่านรอง! เจ้านี่สุดยอดจริงๆ พอแก่แล้วดูเหมือนจะเก่งกล้าขึ้นเยอะเลยนะ!” จากนั้นผู้เฒ่าถังก็ทุบโต๊ะเสียงดัง “เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าเคยถูกข้าทุบตีสั่งสอนยังไง!”
“เจ้า…..!”
ใบหน้าของเอ้อเหย่แดงก่ำขึ้นมาทันทีแม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวผู้เฒ่าถังอยู่ไม่น้อย
“เหอะ!” ผู้เฒ่าถังเหลือบมองเขาอย่างรังเกียจแต่ไม่ใช่แค่มองเขายังพูดโดยไม่ไว้หน้าอีกว่า “เอ้อเหย่ ต่อหน้าท่านหัวหน้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำตัวอวดดีเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านหัวหน้าต้องเข้าโรงพยาบาล ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า! แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาทำตัวขวางทางข้าเช่นนี้หรือ
“เอ้อเหย่ต่อหน้าตาแก่อย่างข้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาทำตัวหยิ่งยโสเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านหัวหน้าต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า! แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้ามาขวางทางข้าอีกงั้นรึ เชื่อหรือไม่ว่าแค่กระบวนท่าเดียวข้าก็ทำเจ้าล้มได้!”
ในประโยคสุดท้ายผู้เฒ่าถังพูดด้วยน้ำเสียงอันดุดัน ดวงตาพยัคฆ์คู่นั้นจ้องเขม็งไปที่เอ้อเหย่ ราวกับเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ สองมือกำแน่นเตรียมพร้อมที่จะล้มเอ้อเหย่ได้ทุกเวลา!
“ฮึ่ม!ข้าจะไม่ถือสาคนแก่อารมณ์ร้อนอย่างเจ้า!” เอ้อเหย่แค่นเสียงแล้วหันหน้าไปไม่สนใจผู้เฒ่าถังอีกราวกับว่าเขาไม่อยากจะทะเลาะกับคนแก่ขี้โมโห แต่หลายคนที่ตาดีพอนั้นย่อมจะมองออกว่าเอ้อเหย่ผู้นี้หวาดกลัวผู้เฒ่าถังมากทีเดียว
“ยังจะทำปากดีอีก!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ “ฉันขอเตือนเจ้าไว้เลยนะว่าถ้าในอนาคตเจ้ายังทำตัวไม่เหมาะสมกับท่านหัวหน้าอีก ข้านี่แหละจะเป็นคนทำลายเจ้าด้วยมือของข้าเอง และแม้แต่คำสั่งของท่านหัวหน้าก็ไม่อาจหยุดข้าได้!”
แม้จะถูกพูดใส่หน้าเช่นนี้แต่เอ้อเหย่กลับหลับตาลงและไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดอันดุดันของผู้เฒ่าถัง
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
ผู้อาวุโสจี้ที่นั่งอยู่ตรงกลางวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับพูดเสียงเบา
ผู้เฒ่าถังนั่งลงอย่างเงียบๆและไม่กล้าพูดอะไรอีก ผู้อาวุโสจี้ทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการถกเถียงทะเลาะกันระหว่างชายชราทั้งสองเขาแค่มองไปทางจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลิงน้อย รีบมาทักทายผู้หลักผู้ใหญ่เร็วเข้า เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้ไม่รู้จักมารยาทกันเลยหรืออย่างไร สงสัยต้องจับมาอบรมสั่งสอนกันชุดใหญ่ และถ้าครั้งหน้ายังเป็นเช่นนี้อีกข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่!”
จี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงยิ้มน้อยๆออกมาพร้อมกันและรีบเดินเข้าไปหา
ทั้งสองคนรู้ดีว่าคำพูดของผู้อาวุโสเฒ่าไม่ได้พูดถึงแค่พวกเขาเท่านั้นแต่ความหมายในคำพูดนั้น เห็นได้ชัดว่าไปกระทบกับการกระทำของท่านเอ้อเหย่และผู้เฒ่าถังอีกด้วย สำหรับคนอื่นๆตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ตาบอดหูหนวกก็คงจะเข้าใจถึงความหมายนี้เช่นกัน
และที่สำคัญจากสิ่งนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฒ่านั้นไม่พอใจเอ้อเหย่มากเหมือนกันดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ผู้เฒ่าถังปลดปล่อยอารมณ์โกรธและดุด่าเอ้อเหย่อย่างเต็มที่ เพราะถ้าผู้อาวุโสเฒ่าไม่อนุญาต ต่อให้ผู้เฒ่าถังเป็นคนเปิดเผยและใจกล้ามากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าทำตัวอวดดีข้ามหน้าข้ามตาท่านหัวหน้าของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเอ้อเหย่ได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาหลับตาลงอีกครั้งและหันหน้าหนีไม่กล้าพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“น้องสามนี่คือปู่รอง อย่างที่เจ้ารู้อยู่แล้ว เจ้าจะเรียกว่าปู่รองหรือปู่น้อยก็ได้” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณปู่รองสวัสดีครับ ผมคือจี้เฟิง!” จี้เฟิงทักทายด้วยความสุภาพและจริงใจ
ใครจะรู้ว่าเอ้อเหย่ลืมตาขึ้นเล็กน้อยเขาเหลือบมองจี้เฟิงและพูดขึ้นว่า “เจ้าคือจี้เฟิงหรือ เจ้ามาถึงหยานจิงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“เพิ่งมาถึงครับ”จี้เฟิงตอบอย่างใจเย็น “เหอะ!”
เห็นได้ชัดว่าเอ้อเหย่รู้ว่าจี้เฟิงโกหกในความเป็นจริงเอ้อเหย่รู้อยู่แล้วว่าจี้เฟิงมาที่หยานจิงนานแล้ว และเรื่องอาการของผู้อาวุโสเฒ่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับจี้เฟิงอย่างแน่นอน แต่เขาไม่สามารถเปิดโปงได้ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าจี้เฟิงถามกลับมาว่า ‘แล้วท่านปู่รองรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นี่นานแล้ว’ เพียงแค่คำถามง่ายๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาพูดไม่ออก
“เป็นเด็กต้องมีมารยาทซื่อสัตย์ และเคารพผู้อาวุโส!” ผู้อาวุโสรองเหลือบมองจี้เฟิงแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ถึงเจ้าจะเกิดและเติบโตในชนบท แต่ในเมื่อเจ้าเป็นลูกชายของเจิ้นหัว ก็เท่ากับว่าเป็นคนของตระกูลจี้ของพวกเรา ดังนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะเอาความมักง่ายอย่างในชนบทมาใช้ที่นี่ ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับตระกูลจี้ของพวกเรา และต้องมีวิสัยทัศน์หัดมองการณ์ไกลให้เป็น อย่าตาต่ำ! เจ้าทำได้หรือไม่!”
คำพูดนี้ทำให้จี้เจิ้นผิงและผู้เฒ่าถังต้องขมวดคิ้วแต่จี้เจิ้นหัวและผู้อาวุโสจี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสรองเพิ่งพูดกับจี้เฟิง
จี้เฟิงเองก็มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นกันเขายิ้มบางๆ “เรื่องการเคารพผู้อาวุโส ผมต้องทำอยู่แล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องวิสัยทัศน์ของผมนั้น… เฮ้อ~ แย่หน่อยนะครับ เพราะผมค่อนข้างจะโง่เรื่องแบบนี้ สงสัยว่าในอนาคตผมคงต้องเชิญคุณปู่รองมาที่บ้านบ่อยๆซะแล้วล่ะครับ เพราะถ้าไม่ได้คุณปู่รองมาช่วยสอนให้ ผมก็คงจะพัฒนาได้ยาก!”
ผู้อาวุโสรองเบิกตาโพลงขึ้นทันทีและจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิง“ไอ้หนู เจ้าหมายความว่ายังไง!”
จี้เฟิงหัวเราะเบาะๆและกล่าวว่า“คุณปู่รองโปรดอย่าเข้าใจผิด ผมเพิ่งมาจากชนบทอันห่างไกลความเจริญ ดังนั้นเลยอาจจะสื่อสารอะไรที่ทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อน! ในส่วนของเรื่องนี้ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ แต่ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณปู่ พวกท่านจะต้องต้อนรับคุณปู่รองในฐานะแขกอย่างดีที่สุดแน่นอน เพราะไม่ว่ายังไงพวกเราก็ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสรองเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงพูดเขาสูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
สิ่งที่จี้เฟิงเพิ่งพูดมานั้นสมเหตุสมผลและเป็นความจริงทุกประการเพราะที่นี่คือบ้านของผู้อาวุโสเฒ่า ดังนั้นจี้เจิ้นหัวและจี้เฟิงก็เหมือนเป็นเจ้าของที่นี่ด้วยเช่นกัน
และแน่นอนว่าปู่รองของจี้เฟิงคนนี้ก็ต้องมีบ้านที่เป็นของเขาเองและในเมื่อเขามาที่นี่ เขาก็ต้องกลายเป็นแขกไปโดยปริยาย แม้ว่าเขาและผู้อาวุโสเฒ่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นแขกด้วย!
สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสรองโกรธมากที่สุดคือความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดที่ดูเหมือนจะสุภาพของจี้เฟิง[ “พวกเราต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของตระกูลจี้ ต่อให้ผมมาจากชนบทแถมยังไม่รู้จักมารยาท แต่ก็ยังคงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ดี ส่วนคุณปู่รอง คุณเป็นแค่แขกก็ควรจะรู้จักฐานะของตัวเองให้ดี!” ]
ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจความหมายในคำพูดของจี้เฟิงแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดของจี้เฟิงนั้นเป็นคำพูดที่แฝงไว้ด้วยความหมายทุกคำที่เขาพูดล้วนอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ทุกคนจับผิดหาเรื่องเขาจากเรื่องนี้ไม่ได้ และอีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากฐานะของจี้เฟิง คนอื่นๆยังคงไม่ลืมว่าจี้เฟิงเป็นหลานชายคนโตของตระกูลจี้ แม้ว่าเขาจะถูกตั้งคำถามในเรื่องของความสามารถที่เหมาะสม แต่นอกเสียจากเขาจะทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ สถานะของเขาก็จะไม่เปลี่ยนไป
และในสถานการณ์เช่นนี้หากมีใครกล้าตำหนิจี้เฟิงต่อหน้าผู้อาวุโสเฒ่า มันจะไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้งั้นหรือ แล้วแบบนี้ใครล่ะที่จะกล้า?! ในขณะที่มองดูจี้เฟิงจี้ช่าวเหลยนั้นเหงื่อแตกพลั่ก มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมจี้เฟิงอยู่ในใจ เท่าที่เขาจำได้ มีคนไม่น้อยที่สามารถพูดคำพูดที่เฉียบคมดุจใบมีดได้แบบนี้ แต่คนที่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสรองนั้นไม่มีอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงเป็นคนแรก!และก็น่าจะเป็นคนเดียวด้วย!
อย่างไรก็ตามเอ้อเหย่กลับไม่สามารถตอบโต้คำพูดของจี้เฟิงได้เลยเขาแค่นเสียงอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก
จี้ช่าวเหลยอดใจเต้นไม่ได้คำพูดเมื่อกี้ของจี้เฟิงมันไม่ต่างจากการตบหน้าคุณปู่รองอย่างแรง!
อย่างน้อยการตบครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนสาขารองทั้งหมดต้องตาเบิกกว้างใบหน้าร้อนผ่าว คำพูดนี้เป็นการตบที่รุนแรงยิ่งกว่าที่จี้เส้าโหยวและจางหยุนเอ๋อโดนไปก่อนหน้านี้เสียอีก
พร้อมกันนั้นจี้เฟิงได้แสดงอำนาจในฐานะหลานชายคนโตของผู้นำตระกูลจี้อย่างแท้จริงทันทีที่ผู้อาวุโสรองพูดจายั่วยุเขา เขาก็ตบกลับไปอย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี!
ทุกคนอดรู้สึกตกใจไม่ได้แทบจะในเวลาเดียวกัน หัวใจของทุกคนพลันสั่นสะท้าน ช่างเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งจริงๆ!
“ฮ่าฮ่าฮ่า~!!”
ในเวลานี้แม้แต่เสียงเข็มร่วงก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจนเพราะทุกคนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่อยู่ๆ ผู้เฒ่าถังก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับตบต้นขาของตัวเองเบาๆ “เด็กดี คำพูดของเจ้านั้นถูกต้องแล้ว ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องเชิญนายท่านรองมาช่วยอบรมสั่งสอนเจ้าในฐานะแขกบ่อยๆ และเจ้าก็ควรที่จะตั้งใจเรียนรู้ให้ดี จะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเจริญก้าวหน้า!”
“คำพูดของท่านผู้เฒ่าจี้เฟิงจะจำไว้ให้ดีครับ!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ดูสง่างามมาก
หางตาของเอ้อเหย่กระตุกขึ้นๆลงๆหน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรออกไปได้ ความรู้สึกนี้มันช่าง…
ชายวัยกลางคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆถังเจี้ยนกั๋วก็มีสีหน้าน่าเกลียดอย่างชัดเจนอีกทั้งชายหนุ่มสองคนก็มีสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
การตบอย่างรุนแรงของจี้เฟิงในครั้งนี้ได้ฝากรอยประทับเป็นรูปฝ่ามือสีแดงสดไว้บนใบหน้าพวกเขาอย่างชัดเจนมันเจ็บปวดมาก!
จี้ช่าวเหลยมองฉากตรงหน้าเขารู้สึกราวกับว่าได้กินน้ำเย็นจัดที่ใส่น้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนร่างกายของเขารู้สึกได้ถึงความสดชื่นจนแทบจะตัวสั่น เขาฝืนกลั้นหัวเราะแล้วพูดกับจี้เฟิงว่า “น้องสาม สองคนนี้คือลุงจี้เจิ้นเย่ และอาจี้เจิ้นซาน เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของเรา”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคนทั้งสอง“สวัสดีครับคุณลุง คุณอา!”
“อืมไหว้พระเถอะ!” ใบหน้าของสองพี่น้องจี้เจิ้นเย่และจี้เจิ้นซานดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสรองก็เป็นพ่อของพวกเขา และแน่นอนว่าการตบของจี้เฟิงไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าผู้อาวุโสรองเท่านั้น แต่มันเหมือนกับจี้เฟิงได้ตบหน้าพวกเขาด้วย หากพวกเขายังคงฝืนสีหน้าได้เป็นปกติก็คงจะแปลก!
ทั้งสองคนนี้ดูไม่มีความสงบนิ่งและมั่นคงเหมือนอย่างจี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิงที่พวกเขาสามารถอยู่ในตำแหน่งระดับสูงอย่างในทุกวันนี้ได้ แทบไม่ได้เป็นเพราะความสามารถของพวกเขาเลย แต่เป็นเพราะอิทธิพลของตระกูลจี้!
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยไม่สนใจว่าสีหน้าของพวกเขาจะเป็นยังไงพวกเขาหันไปหาชายหนุ่มอีกสองคน
“น้องสามสองคนนี้คือลูกพี่ลูกน้องของนาย จี้เส้าหง และจี้เส้าโหยว!” จี้ช่าวเหลยแนะนำด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าสายตาของเขากวาดมองใบหน้าของจี้เส้าหงอย่างไร้ร่องรอย“สวัสดีครับญาติผู้พี่ทั้งสอง น้องชายคนนี้เพิ่งมาหยานจิงเป็นครั้งแรก หากเผลอทำอะไรไม่ดีก็ต้องขออภัยด้วย!”
“ฮึ่ม!”
จี้เส้าโหยวแค่นเสียงเบาๆด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
แต่จี้เส้าหงกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่มีปัญหา เสี่ยวเฟิง ต่อไปถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็มาถามฉันได้เลย”
แม้จี้เส้าหงจะพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่จี้เฟิงกลับมองเห็นประกายเย็นเยียบในดวงตาของจี้เส้าหงเห็นได้ชัดว่าในใจของคนผู้นี้ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นที่ภายนอก
“โอ้ว!”จี้เฟิงอุทานและหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณมากครับพี่ชาย ฉันมีคำถามจะถามพี่เส้าหงพอดีเลย ไม่ทราบว่าพี่ชายเส้าหงจะสะดวกให้คำชี้แนะน้องชายคนนี้สักหน่อยได้หรือเปล่า” ทุกคนพากันตกตะลึงทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่เส้าหงพูดนั้นเป็นเพียงการพูดตามมารยาทเท่านั้น แต่จี้เฟิงกลับ*ตีงูด้วยไม้เรียว และตั้งคำถามโดยไม่เกรงใจ เจ้าเด็กนี่มันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
มีเพียงผู้เฒ่าถังเท่านั้นที่มีสีหน้าตื่นเต้น
ส่วนผู้อาวุโสจี้ยังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย
“พี่ชายเส้าหงฉันอยากรู้จริงๆว่า ในขณะที่ดวงตาของคุณมีประกายเย็นเยียบขนาดนี้ทำไมใบหน้าของคุณถึงได้มีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเช่นนี้ได้” จี้เฟิงหัวเราะและถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เป็นไปได้หรือเปล่าว่าพี่ชายเส้าหงจะมีความสามารถทางด้านนี้เป็นพิเศษ ใจคิดอย่างหนึ่งแต่กลับแสดงสีหน้าออกมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง?”